“ภัณฑิล” ยื่นถอดถอน “พิเชษฐ์” พ้นรองประธานสภาฯ หลักฐานชี้ทุจริต
เอางบลงเขตตัวเอง เจตนาใช้ภาษีประชาชนเป็นงบกลางส่วนตัว ส่อขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144
วันที่
6 มิถุนายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ ภัณฑิล น่วมเจิม
สส.กรุงเทพฯ (คลองเตย-วัฒนา) พรรคประชาชน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีการยื่นถอดถอน
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากตำแหน่ง
จากกรณีการตั้งโครงการของบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรที่ส่อไปในทางทุจริต
โดยภัณฑิลระบุว่าในช่วงก่อนการจัดทำคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 พิเชษฐ์มีความตั้งใจที่จะเอางบประมาณแผ่นดินไปแจกจ่ายให้กลุ่มเป้าหมายหรือฐานเสียงที่สนับสนุนตนเองและพวกพ้อง
ในรูปแบบการ “แจกทุน” หรือเงิน “สนับสนุนโครงการ” ให้ประชาชนโดยตรง
โดยได้มอบหมายให้
จีรพงศ์ ที่ปรึกษาในคณะทำงานทางการเมืองของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในขณะนั้น
ยกร่างโครงการขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย
โครงการสภาผู้แทนบรรเทาทุกข์และความจำเป็นเร่งด่วน, โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย,
โครงการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
และโครงการส่งเสริมความมั่นคงอาชีพสตรี เพื่อให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
จัดทำคำของบประมาณปี 2568 มูลค่า 443 ล้านบาท
ภัณฑิลกล่าวต่อไปว่า
ต่อมาพิเชษฐ์ได้ลงนามไปถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร
มีคำสั่งเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งฝ่ายข้าราชการเห็นก็เกิดความหนักใจ
สำนักนโยบายและแผนได้มีการขอความเห็นไปยังสำนักต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งสำนักกฎหมาย สำนักการคลังและงบประมาณ
จนนำมาสู่ข้อสรุปว่าโครงการแจกเงินในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถทำได้เพราะขัดกับกฎหมายหลายข้อ
โดยสำนักนโยบายและแผน
ที่เห็นว่า ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา 2554 และไม่เป็นไปตามระเบียบรัฐสภา
ว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา 2557
ข้อ 13 (2) เงินหรือสิ่งของบริจาคมิให้เบิกจ่าย
ไม่เป็นไปตามแบบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไม่มีวิธีการดำเนินกิจกรรม
ไม่มีระยะเวลาที่ใช้ดำเนินกิจกรรม ไม่มีรายละเอียดการใช้งบประมาณ
โครงการยังไม่มีการกำหนดตัวชี้วัด
ประกอบกับหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ
ขณะที่กลุ่มการเงิน
สำนักการคลังและงบประมาณ
เห็นว่าไม่เป็นไปตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา
2557 ข้อ 13 (2) เช่นกัน
นอกจากนี้สำนักกฎหมายยังเห็นว่าไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาตาม
พ.ร.บ.การบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา 2554 ขัดต่อ
พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 และขัด
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 และสุ่มเสี่ยงที่จะผิดรัฐธรรมนูญ
มาตรา 144
ภัณฑิลกล่าวต่อไปว่า
ต่อมาเมื่อวันอังคารที่ 7
พฤศจิกายน 2566 ผู้แทนจากสำนักนโยบายและแผนได้เข้าประชุมกับพิเชษฐ์และจีรพงศ์
แจ้งให้ทราบว่าหากยืนยันจะเสนอคำขอตั้งงบประมาณปี 2568 ดังกล่าวให้ได้
จะต้องมีการปรับแก้ไขรายละเอียดโครงการให้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นโครงการจัดสัมมนา
พิเชษฐ์หลังทราบคำชี้แจงจากสำนักนโยบายและแผนแล้ว
จึงสั่งการให้คณะทำงานปรับรูปแบบคำของบประมาณปี 2568 โดยให้เขียนเป็นโครงการสัมมนาขึ้นมา
3 โครงการ
โดยในโครงการทั้งสามมีความผิดปกติหลายอย่าง
เช่น จำนวนงานสัมมนาที่โครงการตั้งเป้าไว้สูงจนแทบจะเป็นไปไม่ได้
อย่างเช่นในโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ถูกซอยย่อยออกเป็น 7 โครงการ
รวมจัดสัมมนา 800 ครั้ง เป้าหมาย 80,000 คน ขณะที่ในโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนถูกแบ่งออกเป็น 2
โครงการ รวมจัดสัมมนา 600 ครั้ง
และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง กำหนดเป้าหมายการจัดสัมมนา 894 ครั้ง ผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 44,700 คน
รวมตามคำขอทั้งหมดจะต้องจัดงานสัมมนา 2,294 ครั้งภายในเวลา 1
ปี
สุดท้ายได้มีการทำคำขอโครงการ
3 โครงการ ของบประมาณ 350 ล้านบาท
บรรจุเข้าเป็นแผนในปี 2568 เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในชั้นคณะรัฐมนตรีถูกตัดเหลือ
83 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้กับรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
และมีการกดดันเพื่อขอแปรงบประมาณเพิ่มจนสุดท้ายได้มา 178 ล้านบาท
ภัณฑิลกล่าวต่อไปว่าเมื่อได้รับจัดสรรงบประมาณปี
2568 แล้ว พิเชษฐ์ได้จัดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อกำกับ
ดูแล และเห็นชอบการจัดโครงการ ตามนโยบายของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมี เทอดชาติ
ชัยพงษ์ สส.เชียงราย เขต 5 ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับเขต 7
ซึ่งเป็นเขตที่พิเชษฐ์เป็น สส.
ร่วมเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการบริหารทั้ง 3 โครงการ
ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าเป็นการตั้งเพื่อที่จะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตนเองหรือไม่
ต่อมาหลังจากโครงการได้รับการอนุมัติแล้ว
มีการจัดทำคำขอที่แสดงความต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรลงไปจัดสัมมนาที่ จ.เชียงราย
เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เป็นการทั่วไป
โดยสัดส่วนคำขอที่ถูกส่งเข้ามาในแต่ละโครงการเป็นของ จ.เชียงราย เกินครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน
มีคำขอ 50
โครงการ ไปที่เชียงราย 28 โครงการ คิดเป็น 56%
มี 15 โครงการลงที่เขตของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร,
โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน มีคำขอ 85 โครงการ ไปที่เชียงราย 75 โครงการ คิดเป็น 88.2%
มี 51 โครงการลงที่เขตของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง มีคำขอ 305 โครงการ
ไปที่เชียงราย 266 โครงการ คิดเป็น 87.2% มี 191 โครงการลงในพื้นที่ของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ภัณฑิลระบุว่าข้อน่าสังเกตคือคำของบประมาณที่ส่งมาจาก
จ.เชียงราย ล้วนแต่พิมพ์มาเหมือนกันทุกตัวอักษร เว้นแค่วันที่ ชื่อ
และที่อยู่ที่ต่างกัน
อีกทั้งวันที่ที่ระบุอยู่ในเอกสารหลายชิ้นก็ล้วนเป็นวันเดียวกัน
ลายมือจำนวนมากก็เหมือนกัน อีกทั้งเมื่อนำยอดการของบประมาณทั้งหมดที่มีมาหารเฉลี่ย
และแม้จะมีการตัดงบประมาณในชั้นกรรมาธิการไปแล้ว
แต่ก็ยังต้องมีการจัดสัมมนามากกว่า 1,300 ครั้งต่อปี หรือวันละเกือบ 4
งานต่อวันอยู่ดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดได้มากขนาดนั้นใน 1
ปี
ทำให้สรุปได้ว่าการของบประมาณอบรมสัมนาทั้งสามโครงการ
เป็นการขอตั้งโดยที่รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถใช้งบประมาณตามวัตถุประสงค์โครงการได้
โดยมีความตั้งใจจะโยกงบประมาณไปใช้ในโครงการอื่นตั้งแต่แรก
มีหลักฐานสำคัญคือเอกสารของสำนักรักษาความปลอดภัย วันที่ 30 ตุลาคม
2567 ระบุชัดเจนว่ารองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ดำริว่าจะให้มีกองเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ
จึงให้จัดโครงการฝึกอบรมงบประมาณ 3.5 แสนบาท
โดยให้โยกงบประมาณจากโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนไปใช้
นอกจากนี้
ยังมีหลักฐานอีกว่ากลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ลงวันที่
13 กุมภาพันธ์ 2568 แจ้งว่าสำนักเลขาธิการได้อนุมัติให้สำนักอาคารสถานที่ดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นที่ภูมิทัศน์ภายในอาคารสนามหญ้าภายนอกอาคาร
และระบบน้ำพุวงเวียนสุริยัน-จันทรา วงเงินงบประมาณ 35 ล้านบาท,
โครงการปรับปรุงไฟฟ้าส่องสว่างยอดอาคาร ต้นไม้ วงเงินงบประมาณ 11
ล้านบาท
และการจ้างออกแบบโครงการปรับปรุงพื้นที่ห้องครัวของอาคารรัฐสภา 5 ล้านบาท รวม 51 ล้านบาท
โดยให้โยกงบประมาณจากโครงการอบรมทั้ง 3 โครงการ
ข้อน่าสังเกตคือสำนักที่ทำเรื่องขอโยกงบประมาณจากโครงการอบรมสัมมนาทั้ง 3 โครงการนี้ไปใช้ ได้แก่สำนักรักษาความปลอดภัย และสำนักอาคารสถานที่
ล้วนแต่เป็นสำนักที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรอประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
ทั้งสิ้น
ภัณฑิลกล่าวว่าหลังจากดำเนินโครงการในงบประมาณปี
2568 โดยไม่มีใครทักท้วงได้สำเร็จ ในงบประมาณปี 2569 จึงมีการของบประมาณเพิ่มเป็น
594 ล้านบาท จากที่เคยขอ 350 ล้านบาทในงบประมาณปี
2568 โดยพบว่ามีการของบประมาณเช่นเดิม
ทำกิจกรรมอบรมสัมมนาแบบเดิมแต่มีจำนวนมากขึ้น เป้าหมายการจัดสัมมนาของทั้ง 3
โครงการพุ่งขึ้นไปเป็น 2,800 งานใน 1 ปี
ด้วยเหตุนี้
ตนจึงต้องการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่าการกระทำของพิเชษฐ์
เข้าข่ายการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
ที่ห้ามไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำด้วยประการใดๆ
เพื่อเข้าไปมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่
ซึ่งไม่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องจริยธรรม
แต่เป็นเรื่องของการทุจริต
“การใช้งบประมาณแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ประชาชน ทุจริตเอางบลงตัวเอง
ฝ่ายนิติบัญญัติเรามีหน้าที่ในการออกกติกา ตรวจสอบงบประมาณ เราชงเองตบเองไม่ได้
เอาเงินเข้าเขตตัวเองแล้วก็มาแจกเงินจัดงาน
เจตนาคือต้องการจะมีงบกลางของตัวเองเอาไว้ใช้ เงินภาษีจากประชาชนท่านจะเอาไปใช้แบบนี้ไม่ได้”
ภัณฑิลกล่าว
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #มาตรา144