“พนิดา” ตั้งข้อสังเกต เงินสด 12 ล้านในกล่องพลาสติกมหัศจรรย์ที่มีเอกสาร กสทช. วางอยู่ข้างๆ จะเกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่นของ กสทช. หรือไม่ ?
วันนี้ (6 มิถุนายน 2568) พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ เขต 1 พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีมีการพบธนบัตรไทยจำนวนมากถูกซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องพลาสติกบริเวณคอนโดแห่งหนึ่งในเมืองทองธานี จ.นนทบุรี จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้างกล่องพลาสติกดังกล่าวพบเอกสารเกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมายเกี่ยวกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อยู่ด้วย
พนิดากล่าวว่า ขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องมหากาพย์การประมูลคลื่น กสทช. ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ กสทช. เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านหลัก โดยมีการตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้ต่ำเตี่ยเรี่ยดินอย่างมีข้อกังขา เสี่ยงจะทำให้การเปิดประมูลคลื่นรอบใหม่นี้ ทำรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล โดยเฉพาะคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ และ 2300 เมกะเฮิรตซ์
โดยมติบอร์ด กสทช. อนุมัติการนำคลื่นความถี่ 4 ย่านออกมาประมูล และเคาะราคาเป็นที่เรียบร้อย ดังนี้ 850 เมกะเฮิรตซ์ ราคา 7,738.23 ล้านบาท, 1500 เมกะเฮิรตซ์ ราคา 1,057.49 ล้านบาท, 2100 เมกะเฮิรตซ์ราคา 4,500 ล้านบาท และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ ราคา 2,596.15 ล้านบาท
ประเด็นมีอยู่ว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบันเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย คือ AIS และ True/DTAC โดยปัจจุบัน AIS ใช้คลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ ส่วน TRUE ใช้คลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ พอเป็นแบบนี้ก็แบ่งเค้กลงตัวพอดี ประมูลพอเป็นพิธีไม่ต้องแย่งกันประมูล แต่ละคนก็เอาคลื่นเดิมของตัวเองไป ราคาเคาะจบก็คงเป็นราคาเริ่มต้นการประมูล รัฐคงไม่ได้รายได้เพิ่มจากการประมูลคลื่นความถี่ตามที่ควรจะได้รับ
ซึ่งเรื่องนี้มีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรก เป็นเรื่องการผูกขาดที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และ กสทช. สององค์กรกำกับดูแลที่ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ากำลังดูแลผลประโยชน์ของรัฐหรือกำลังดูแลให้กับเหล่าเอกชนทุนผูกขาด ปล่อยให้มีการควบรวมจนสภาพตลาดไม่เหลือการแข่งขันใดๆ
ประเด็นที่สอง ในเมื่อตลาดไม่เหลือการแข่งขันใดๆ อีกแล้ว ราคาคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ ที่ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้ ต่ำเกินไปหรือไม่ เราพบว่าราคาขั้นต่ำที่ทาง กสทช. ประกาศออกมาผ่านการรับฟังความคิดเห็นทั้ง 2 ครั้ง และใช้แนวทางการประมาณการราคาโดยโมเดลทางเศรษฐมิติ ประกอบกับราคาประมูลครั้งก่อนหน้า แต่กลับไม่ได้มีรายละเอียดที่ชัดเจนของที่มาที่ไปของโมเดลที่ใช้ในการประมาณการ
ยกตัวอย่าง คลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ มีการตั้งราคาประมูลเริ่มต้นที่ 4,500 ล้านบาท โดยอ้างราคาจากการประมูลคลื่น 3G เมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นราคาของปี 2555 ทาง กสทช. กลับไม่แม้แต่จะคำนวณให้เป็นราคา ณ ปี 2568 โดยนำปัจจัยของเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณ ซึ่งหากเรานำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมาคิดให้เป็นราคาในปัจจุบัน ราคาที่ควรจะเป็น 5,150 ล้านบาท สูงกว่าราคาขั้นต่ำ 650 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความยินดีจะจ่าย (willingness to pay) ของบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูล เราพบว่าในปัจจุบันบริษัท AIS จ่ายค่าบริการเช่าใช้โครงข่ายในราคา 12,669.10 ล้านบาทให้กับ NT อยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทมีความสามารถที่จะจ่ายได้สูงกว่าราคาตั้งต้นเกือบ 3 เท่า
ราคาตั้งต้นของคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ ก็เช่นเดียวกัน กสทช. ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นที่เพียง 2,596.15 ล้านบาท ในขณะที่ DTAC ซึ่งเช่าใช้อยู่ในปัจจุบันจ่ายให้รัฐในราคาที่สูงกว่ามากถึง 7,309.10 ล้านบาทหรือเกือบ 3 เท่าเช่นกัน ดังนั้น การกำหนดราคาขั้นต่ำในการเริ่มต้นประมูลที่ต่ำเกินไปย่อมทำให้เกิดข้อครหาขึ้นได้ว่า กสทช. ตั้งใจจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทโทรคมนาคมหรือไม่
แม้ว่าจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเงิน 12 ล้านในกล่องพลาสติกมหัศจรรย์นี้ จะเกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่นของ กสทช. ที่ตั้งราคาประมูลไว้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงคือเราพบเอกสารเกี่ยวกับ กสทช. จำนวนหนึ่งอยู่ข้างๆ กล่องเงิน จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมติดตามกรณีนี้กันต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พนิดามงคลสวัสดิ์ #กสทช #ประมูลคลื่นความถี่