“ชูศักดิ์”
แจงการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 2568 โดยนำงบประมาณที่กรรมาธิการปรับลด จำนวน 35,000 ล้านบาท ไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โครงการเงินหมื่น)
ไม่เข้าข่ายข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
ตามที่มีการร้องเรียนเอาผิดแก่ ครม. สส. สว. และอื่น ๆ
วันที่
11 มิถุนายน 2568 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ได้ชี้แจงว่า ข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
ห้ามแปรญัตติปรับลดหรือตัดทอนรายการเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้
และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย รายการทั้งสามนี้
เรียกว่ารายการงบประมาณเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ เป็นหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน
และหนี้ของรัฐวิสาหกิจ รวมเจ็ดหน่วยงาน เป็นหนี้สาธารณะที่บังคับให้รัฐต้องตั้งงบประมาณชดใช้ทั้งเงินต้น
ดอกเบี้ย เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ
จะเอาแต่กู้แต่ไม่ใช้คืนประเทศก็จะล้มละลาย
รายการทั้งสามนี้จึงห้ามกรรมาธิการปรับลดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคแรก
สำหรับรายการส่วนที่ปรับลดไป
35,000 ล้านบาท
เป็นงบประมาณในส่วนที่กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจห้าแห่งได้ทบทวนงบประมาณในส่วนที่สามารถชะลอการดำเนินการได้
และเป็นงบประมาณในส่วนของการชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐอันเกิดจากโครงการของรัฐบาล
ซึ่งรัฐต้องรับภาระชดเชยให้ โดยสามารถที่จะมียอดค้างได้
ทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละสามสิบสองของงบประมาณแผ่นดิน
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
ดังนั้น
งบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่นำไปใช้ในโครงการ Digital Wallet (หนึ่งหมื่นบาท)
ที่เป็นประเด็นร้องเรียน จึงมิใช่งบประมาณชำระหนี้ภาครัฐ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ห้ามแตะต้องแต่อย่างใด เท่าที่ตรวจสอบดู การแปรญัตติตอนจัดทำงบประมาณปี 2565
ก็ดำเนินการทำนองนี้เช่นกัน
หลักการตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 144
วรรคหนึ่ง มีมานานแล้ว สาระสำคัญคือห้าม สส.
แปรญัตติรายจ่ายตามที่มีข้อผูกพัน
มีหลักการสำคัญที่มิให้ฝายนิติบัญญัติเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมรายจ่ายในโครงการที่มิได้เสนอโดยฝ่ายบริหาร
ส่วนหลักการตามมาตรา 144 วรรคสอง มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540,
2550 เพียงแต่รัฐธรรมนูญ 2560 เพิ่มมาตรการที่เข้มข้นขึ้นตามที่พยายามร้องเรียนเอา
ครม. สส. สว. ทั้งสภาให้สิ้นสุดสมาชิกภาพไป