วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568

สมบัติ บุญงามอนงค์ : รอยเท้าและคราบเลือดในการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นหลักฐานและอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน

 


รอยเท้าและคราบเลือดในการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นหลักฐานและอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน


คำกล่าวปราศรัยของ สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)

ในงานรำลึก #15ปีเมษาพฤษภา53 ณ ราชประสงค์


ที่อาจารย์ธิดาบอกว่าเราไม่มีอนุสรณ์สถานนั้น ผมอาจจะขอแย้งสักนิดหนึ่ง แม้ว่าในทางนิตินัยอาจจะไม่มี แต่ว่าในทางพฤตินัย ถนนตรงนี้ทั้งสายเป็นอนุสรณ์สถานของคนเสื้อแดง แม้นว่าจะมีกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ที่เคยมาจัดการเคลื่อนไหวทางการเมืองบนถนนแห่งนี้เช่นเดียวกับคนเสื้อแดง แต่ผมเชื่อว่ารอยเท้าของคนเสื้อแดงที่เหยียบย่ำบนถนนเส้นนี้เป็นรอยเท้าที่หนักแน่นที่สุด เพราะนอกจากรอยเท้าของคนเสื้อแดงแล้ว มันยังมีคราบเลือดของคนเสื้อแดงยืนยันอีกว่านี่คือการต่อสู้ เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง และไม่ว่าจะลบ จะมีความพยายามในการลบภาพ ลบหลักฐานหลังเหตุการณ์ในปี 53 อย่างไรก็ตาม แต่ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวมันยังเป็นความทรงจำเป็นหลักฐานอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่เราจะต้องมีชีวิตต่อไป และทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด


ผมเห็นครูประทีป อาจารย์ธิดา หมอเหวง และผมหมายถึงอีกหลาย ๆ ท่านนะครับที่เป็นผู้อาวุโสในที่นี้ โดยเฉพาะอาจารย์ธิดาและหมอเหวงนะ ผมพยายามมานั่งนึกดูนะ คนเหล่านี้ผ่านเวทีการต่อสู้ที่เลือดอาบถึง 3 ครั้ง วันนี้ วันที่ 19 พฤษภา เรายืนอยู่ที่นี่ แต่เมื่อสองวันที่แล้ว กลุ่มที่ต่อสู้กับเผด็จการในช่วงพฤษภาปี 35 กับสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร, พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เขาก็ไปจัดงานกันที่อนุสรณ์สถานสำหรับปี 35 แล้วก็จัดงานเสวนาการรำลึกกันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ โรงแรมรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกับถนนราชประสงค์เรานี่แหละครับ เป็นพื้นที่การต่อสู้และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของคนในช่วงพฤษภาปี 35



ก็อย่างเช่นอาจารย์ธิดาพูดก็คือว่า แม้นว่าจะผ่านเหตุการณ์มา 3 ครั้ง ที่ชนชั้นนำของเราฆ่าประชาชนในที่สาธารณะในที่แจ้ง 2 ครั้งนั้นฆ่าเราในเวลากลางคืน ทั้งกลางวันและกลางคืน ว่าอย่างนั้นดีกว่า จริง ๆ 10 เมษายน ปี 53 ผมไม่เชื่อนะหมอเหวง จริง ๆ ผมไม่เชื่อ ให้ตายผมไม่เชื่อ ผมคิดว่าบ้านเมืองเราอารยะข้ามพ้นการกระทำอันป่าเถื่อนของชนชั้นนำ แล้วผมไม่เชื่อว่าคนพวกนี้กล้าที่จะทำเช่นนั้นอีกใน พ.ศ. ที่เปลี่ยนไปเป็น 10 ปี 20 ปี คือผมไม่เชื่อ!


ตอนที่มีการระดมคนจากถนนนี้เลย ตรงนี้เลย สี่แยกนี้เลยผมจำได้ ผู้ปราศรัยบนเวทีบอกว่าเราระดมคนจากถนนราชประสงค์ไปรวมตัวกันที่ถนนราชดำเนิน เพราะว่ามีการจะล้อมปราบและพี่น้องเราถูกวงล้อมอยู่ที่นั่น ยืนหยัดต่อสู้ที่นั่น ผมเจออาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย อยู่ตรงเนี้ย ผมมากับลูกสาว ผมพาลูกสาวซึ่งตอนนั้นยังเล็กอยู่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองกับคนเสื้อแดง ผมคิดว่าผมและเพื่อน ๆ คนเสื้อแดงในเวลานั้นหลายคนที่มีลูกหลานก็คิดว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมพาลูกมา อาจารย์จรัลบอกผมบอกว่า “หนูหริ่ง นี่มันหกโมงเย็นแล้ว เหมือนเวลาตอนนี้แหละครับ ใครมันจะเอาอาวุธสงครามไปล้อมปราบไปสลายการชุมนุมตอนกลางคืน เพราะมันอันตราย พี่น้องเสื้อแดงจำเรื่องนี้ได้ใช่มั้ย?” พวกเราที่ขี่มอเตอร์ไซด์กันไปเป็นม้าเร็วไปเป็นพัน ๆ คัน ผมจำได้เลย แปร้ดดออกมา ไอ้คนที่จอดมอเตอร์ไซด์อยู่ตรงนี้ไปกันเกือบหมดเลย ไปถนนราชดำเนินกันหมด


ลึก ๆ แล้วคนเสื้อแดงก็เชื่อว่าจะไม่มีการกระทำการอันอุกอาจเช่นนั้น แต่การณ์ก็หาไม่ครับ คือมันสอนเราว่ายังไง อันนี้ผมฝากไว้เลยนะ ผมทันสองครั้ง ผมทันพฤษภาปี35 ผมทันพฤษภาปี53 หมอเหวง อาจารย์ธิดาทัน 6ตุลาเลย 14ตุลาด้วย 14ตุลาก็ยิงมีคนตาย ตกลง 4 รอบแล้วนะ 2 คนนี้ 4 รอบแล้ว คือวิธีคิดของชนชั้นนำหรือคนที่มีอำนาจ วิธีคิดเขามีวิธีคิดเดียวคือรักษาอำนาจ ช่วงชิงอำนาจและรักษาอำนาจ จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้คิดช่วงชิงนะ เขาเชื่อเหมือนกับที่เราเชื่อนั่นแหละ เขาเชื่อว่าอำนาจเป็นของเขา เขาเชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเขาเชื่อว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเขา ใครก็ตามที่ท้าทาย พยายามที่จะดึงอำนาจออกจากมือเขา คนพวกนั้นบังอาจมาปล้นอำนาจของเขา



พวกเราก็เชื่อ พวกเราก็เชื่อว่าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนของประชาชน เราเชื่อว่าอำนาจนั้นเป็นของเราเพราะว่ามันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มันสอนกันในโรงเรียน มันพูดกันทุกที่ในสื่อสาธารณะ ในทุกพื้นที่ ในสภา ในการหาเสียง ทุกพื้นที่บอกเราว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน แต่ว่าเมื่อมีคน 2 กลุ่ม จะว่า 2 กลุ่มก็ไม่ได้นะ ประชาชนมันมากกว่าเยอะ จะเรียกว่าประชาชนเป็นกลุ่มนั้นไม่ได้ ประชาชนมันเป็นรากฐานเลย แต่ผู้มีอำนาจมันเป็นคนแค่เพียงกลุ่มหนึ่ง เกิดการสู้กันทางความคิดก่อน แล้วมันลงกันไม่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายนะในความเห็นผมนะ ผมยังคิดว่าสังคมเราวิวัฒนาการมาถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องนี้มันควรมีทางคลี่คลาย หรือมีคำตอบ หรือมีทางออก ไม่ต้องเผชิญหน้ากันแบบนี้


อย่างไรก็ตามครับ อย่างที่อาจารย์ธิดาได้กล่าวไว้ เราอย่าลืมและอย่าคิดไปเอง อย่างแรกเราไม่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้วว่าความคิดความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้น อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของประชาชน อันนี้เราเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าคุณจะไปเปลี่ยนความคิดของคนชั้นนำว่าประเทศนี้ไม่ใช่ของเขา อำนาจไม่ใช่ของเขา เราก็เปลี่ยนเขาไม่ได้ เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ดังนั้นมันก็ไม่เปลี่ยนหรอกครับ โดยเฉพาะพวกทหารรุ่นใหม่ ๆ ผมบอกไว้ก่อนนะ พอมันยึดอำนาจนะ นายพลมันยึดอำนาจได้ ไอ้พวกร้อยตรีมันก็เห็นพวกพี่มัน มันก็คิดว่าถ้า “นักการเมืองคุณภาพแบบนี้ กูก็เป็นได้” คำพูดนี้มันอยู่ในวงเหล้า อยู่ในวงประชุมของพวกนายทหารระดับนายร้อยนายพัน มันคิดมันเชื่อกันอย่างนั้นจริง มันขายไวรัสทางความคิดแพร่เชื้อนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันเชื่อว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมือง ความเชื่อนี้มันสร้างมายาคติเพื่อจะสร้างความชอบธรรมของพวกเขาในการที่จะเข้ามาปกครองและจัดการกับคนที่แข็งขืน



ดังนั้น มีวิธีการเดียว เราเปลี่ยนความคิดของไอ้คนพวกนี้ไม่ได้ เราต้องควบคุมมันให้ได้ นี่คือโจทย์! ข้อเสนอของอาจารย์ธิดาเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับศาลทหารนั้นสำคัญมาก  ศาลทหารนั้นมันมีไว้ใช้ยามที่เกิดศึกสงคราม ผมถามว่าช่วงที่ประชาชนมีความเห็นแตกต่าง แล้วก็แค่เรียกร้องให้รัฐบาลที่มาบอกว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่เราไม่เห็นด้วยนะ แต่มันอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วมันไปผสมพันธุ์กัน ทำนิติกฎหมายกัน สับสนนิติสงครามกันจนข้ามขั้ว จนผสมพันธุ์กันเอาอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ คนเสื้อแดงแค่บอกว่าขอคืนอำนาจให้กับประชาชน มันเอากระสุนปืนยิงใส่เราเลย คือมันเป็นเรื่อง (พูดตรง ๆ นะ) มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ๆ ตอนผมมาอยู่ที่นี่พาลูกมาเนี่ยผมคิดว่าพวกเรา คนเสื้อแดงนะ เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องวิวัฒนาการคนเสื้อแดงในมุมมองของผมนะ


ไอ้ตอนเรามาเรียกร้องขอให้มีการคืนอำนาจ ไอ้เนี่ย การกระทำของเราเนี่ยคือการเรียกร้อง แต่วันที่มันยิงเรา นี่คือการต่อสู้ มันไม่ใช่การเรียกร้องแล้ว เรารู้อยู่แล้วว่าการที่มันยิงเราขนาดนี้เราจะไปบอกให้มันยุบสภา มันไม่ยุบคุณหมอ มันไม่ยุบ แต่ที่เรายังยืนอยู่เพราะอะไร เพราะเราต่อสู้ เราต่อสู้ด้วยอะไร เราต่อสู้ด้วยการเอาร่างกายของเราเองมายืนอยู่ตรงนี้ เป็นการยืนหยัดว่ากูไม่มีอะไร แต่กูสู้มึง! ถ้ามึงจะยิงมา เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ยืนให้ยิงนะ มีอยู่คนเดียวที่ยืนให้ยิง วันนี้มาหรือเปล่าครับ? แต่ว่าเราเอาร่างกายของเรามายืนหยัดต่อสู้เพื่อจะบอกว่ากูไม่ยอมแพ้!


ดังนั้น เสื้อแดงของเราเวลาเราพูดถึงเสื้อแดง มันไม่ใช่แค่คนใส่เสื้อสีแดงนะครับ ผมเรียนก่อน การเป็นคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่คนใส่เสื้อสีแดง แต่มันเป็นเครื่องแบบของนักต่อสู้ในปี 52 และปี 53 มันเป็นเครื่องแบบ แล้วต่อให้เราถอดเครื่องแบบเราออกเรายังเป็นนักต่อสู้ปี 52 ปี 53 ครับ เรายังเป็นคนเสื้อแดงอยู่ ผมไม่อยากอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับสีเสื้อนะในเวลานี้ ผมรำคาญพูดตรง ๆ มีคนมาถามผม วันก่อนมีนักวิจัยจากต่างประเทศมาสัมภาษณ์ผม ถามว่าคุณสมบัติคุณจะยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่มั้ย? คุณนิยามตัวเองว่าเป็นคนเสื้อสีอะไร? ผมยืนยันนะครับ ผมเป็นคนเสื้อแดงครับ ผมยืนยัน



เอาล่ะ แม้นว่าในเวลานี้มันจะมีสถานการณ์ที่นำไปสู่ความคิดความอ่านของผู้คนที่เคยร่วมต่อสู้กันในเวลาหนึ่ง วันนี้ความคิดความอ่านบางเรื่องมันอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง สำหรับผมนะที่จริงผมอยากจะเคลียร์เรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าคงทานกระแสนี้ไม่ไหว สักวันผมจะออกมารณรงค์สักทีเมื่อสถานการณ์สุกงอม ผมคิดว่าคนที่เคยเป็นคนเสื้อแดงแล้วยืนหยัดต่อสู้ตรงนี้ เวลาจัดงานรำลึกจัดงานเวทีเดียวกันหมด วันหลังมาจัดงานเวทีเดียวกัน เราต้องผ่านเส้นไอ้เรื่องที่เราทะเลาะกันตอนนี้นะ มันกระจอกมากเลย มันเทียบเท่ากับวันนั้นตอนที่เรายืนตรงนี้แลกชีวิตกันขนาดนั้นไม่ได้เลย แล้วคนเสื้อแดงมันไม่ได้อยู่ดี ๆ แล้วมันเกิดขึ้นนะ แล้วจริง ๆ ผมไม่กล้าเคลม ผมไม่กล้าเอามาเคลมตัวเองว่าเป็นคนสร้างคนเสื้อแดง ผมเป็นแค่คนที่ริเริ่มการใช้สัญลักษณ์เสื้อแดงเท่านั้นอาจารย์ ผมแค่เป็นแค่นักเทคนิคคนหนึ่งที่คิดอ่านว่าวันที่เขามีการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น พวกเราจะต้องแสดงจุดยืนว่าเราไม่เอารัฐธรรมนูญเผด็จการ


ดังนั้น มันมีคนกลุ่มหนึ่งเห็นด้วยว่ารัฐธรรมนูญ 50 ต่อมาก็มีรัฐธรรมนูญ 60 มันพูดภาษาเดียวกัน wording เดียวกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโจร แล้วคุณดูครับ รัฐธรรมนูญปราบโจร แล้วตอนนี้โจรเข้าสภาไปเท่าไหร่ครับ ตำรวจจะไปจับออกหมายเรียกออกหมายจับไอ้พวกนั้น มันแข็งขืนครับ คนทั้งประเทศเห็นว่าพวกมึงเป็นหัวขโมย แต่พวกคุณใส่สูทนั่งกันอยู่ในสภา หน้าด้านมาก ๆ ดังนั้น คนเสื้อแดงเป็นผลผลิต จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ผลผลิตธรรมดานะ แต่มันเป็นการกะเทาะเปลือก กะเทาะความคิดที่ในยุคเก่าก่อนนั้นได้ครอบงำความคิดของเรา ของประชาชน ของไพร่ฟ้าทั้งหลาย ว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำต้อย แต่วันนี้การศึกษาก็ดี ความเป็นจริงนั้นปรากฏขึ้น ที่อาจารย์ธิดาพูดคำว่าเราเป็นเสรีชนนั้น ก็เพราะว่าแท้จริงแล้วเราเป็นเสรีชนแต่ต้นแล้ว แต่มีผู้อื่นครอบงำเราว่าเราไม่ใช่เป็นเจ้าของชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่โคตรตลก เมื่อการศึกษาเกิดขึ้น การตั้งคำถามเกี่ยวกับว่าเราเป็นใครในประเทศนี้ ผมมั่นใจว่าคนเสื้อแดงหรือคนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมากไม่ว่าจะในยุคนี้ หรือยุคไหน หรือยุคอนาคต มันต้องตั้งคำถามนี้ “ประชาชนเป็นใครในประเทศไทยนี้?” จริง ๆ ทั้งหมดนี้เราสู้กันอยู่แค่นี้ นิยามกันอยู่แค่นี้ มันสู้กันว่า “คุณเป็นเจ้าของประเทศนี้หรือเปล่า?” มันแค่นี้เลยไอ้ที่สู้กัน เพราะว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของประเทศนี้ ทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองเคารพศักดิ์ศรีของคนที่เป็นเจ้าของประเทศนี้ คือประชาชนครับ



เวลาคุณชี้วัดประเทศเป็นประชาธิปไตยหรือยัง คุณดูว่าองคาพยพทั้งหมดมันจัดวาง มันตอบสนอง มันใช้งบประมาณ มันใช้ทรัพยากร มันใช้กำลังคน เพื่อตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของคนที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างเต็มที่หรือไม่? ถ้าทรัพยากรเหล่านั้น องคาพยพเหล่านั้น โครงสร้างเหล่านั้น กฎ กติกา รัฐธรรมนูญทุกอย่างเหล่านั้นมันชี้ไปว่า คนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่สำคัญที่สุดนั้นคือประชาชน ผมมั่นใจได้เลยว่าประเทศนี้แม่งเปลี่ยนเลย มันจะเปลี่ยน ที่มันไม่เปลี่ยนเพราะว่ามันอยู่ระหว่างรอยต่อ มันสู้กันระหว่างสองชุดความคิด ฝั่งหนึ่งมันบอกว่าเอาล่ะ ประเทศมันก็จะต้องมีประชาชนเพราะมันต้องเสียภาษี ถ้าไม่เสียภาษีแล้วใครจะไปเลี้ยงพวกมัน แต่ว่ามันก็เลี้ยงพวกเราเหมือนวัวเหมือนควาย ให้ทำงานแล้วก็เก็บผลผลิต ฉกฉวยการผลิตเอาภาษีรีดนาทาเร้น เอาภาษีเหล่านั้นเอาไปปรนเปรอ


เวลาเราพูดเรื่องประชาธิปไตยมันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แน่นอนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราจะมีตัวแทนของเราเข้าไปที่นั้น จริง ๆ ผมไม่ต้องพูดหรอก พวกเสื้อแดงมันฟัง มันอ่าน มันอภิปรายเรื่องนี้จนมันอยู่ในอณู อยู่ใน DNA พวกเราหมดแล้ว ผมแค่ฝากไว้ครับ ต่อให้วันหนึ่งนะเราแก่ชรา ต่อให้วันหนึ่งเราไม่มีแรง สิ่งที่คุณจะต้องส่งต่อก็คือ DNA ทางความคิด ทำให้คนไทยและอนุชนรุ่นหลัง ๆ เชื่อได้ เชื่ออย่างไม่มีคำถามว่าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนเท่านั้น ขอบคุณครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #คนเสื้อแดง #15ปีเมษาพฤษภา53 #ราชประสงค์