รอยเท้าและคราบเลือดในการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
เป็นหลักฐานและอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน
คำกล่าวปราศรัยของ
สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)
ในงานรำลึก #15ปีเมษาพฤษภา53 ณ
ราชประสงค์
ที่อาจารย์ธิดาบอกว่าเราไม่มีอนุสรณ์สถานนั้น
ผมอาจจะขอแย้งสักนิดหนึ่ง แม้ว่าในทางนิตินัยอาจจะไม่มี แต่ว่าในทางพฤตินัย
ถนนตรงนี้ทั้งสายเป็นอนุสรณ์สถานของคนเสื้อแดง แม้นว่าจะมีกลุ่มการเมืองอื่น ๆ
ที่เคยมาจัดการเคลื่อนไหวทางการเมืองบนถนนแห่งนี้เช่นเดียวกับคนเสื้อแดง
แต่ผมเชื่อว่ารอยเท้าของคนเสื้อแดงที่เหยียบย่ำบนถนนเส้นนี้เป็นรอยเท้าที่หนักแน่นที่สุด
เพราะนอกจากรอยเท้าของคนเสื้อแดงแล้ว
มันยังมีคราบเลือดของคนเสื้อแดงยืนยันอีกว่านี่คือการต่อสู้
เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง และไม่ว่าจะลบ จะมีความพยายามในการลบภาพ ลบหลักฐานหลังเหตุการณ์ในปี
53 อย่างไรก็ตาม
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวมันยังเป็นความทรงจำเป็นหลักฐานอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน
ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่เราจะต้องมีชีวิตต่อไป
และทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด
ผมเห็นครูประทีป
อาจารย์ธิดา หมอเหวง และผมหมายถึงอีกหลาย ๆ ท่านนะครับที่เป็นผู้อาวุโสในที่นี้
โดยเฉพาะอาจารย์ธิดาและหมอเหวงนะ ผมพยายามมานั่งนึกดูนะ
คนเหล่านี้ผ่านเวทีการต่อสู้ที่เลือดอาบถึง 3 ครั้ง วันนี้ วันที่ 19 พฤษภา
เรายืนอยู่ที่นี่ แต่เมื่อสองวันที่แล้ว กลุ่มที่ต่อสู้กับเผด็จการในช่วงพฤษภาปี
35 กับสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร, พลเอกสุนทร คงสมพงษ์
เขาก็ไปจัดงานกันที่อนุสรณ์สถานสำหรับปี 35
แล้วก็จัดงานเสวนาการรำลึกกันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์
โรงแรมรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกับถนนราชประสงค์เรานี่แหละครับ เป็นพื้นที่การต่อสู้และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของคนในช่วงพฤษภาปี
35
ก็อย่างเช่นอาจารย์ธิดาพูดก็คือว่า
แม้นว่าจะผ่านเหตุการณ์มา 3 ครั้ง
ที่ชนชั้นนำของเราฆ่าประชาชนในที่สาธารณะในที่แจ้ง 2 ครั้งนั้นฆ่าเราในเวลากลางคืน
ทั้งกลางวันและกลางคืน ว่าอย่างนั้นดีกว่า จริง ๆ 10 เมษายน ปี 53
ผมไม่เชื่อนะหมอเหวง จริง ๆ ผมไม่เชื่อ ให้ตายผมไม่เชื่อ
ผมคิดว่าบ้านเมืองเราอารยะข้ามพ้นการกระทำอันป่าเถื่อนของชนชั้นนำ
แล้วผมไม่เชื่อว่าคนพวกนี้กล้าที่จะทำเช่นนั้นอีกใน พ.ศ. ที่เปลี่ยนไปเป็น 10 ปี
20 ปี คือผมไม่เชื่อ!
ตอนที่มีการระดมคนจากถนนนี้เลย
ตรงนี้เลย สี่แยกนี้เลยผมจำได้
ผู้ปราศรัยบนเวทีบอกว่าเราระดมคนจากถนนราชประสงค์ไปรวมตัวกันที่ถนนราชดำเนิน
เพราะว่ามีการจะล้อมปราบและพี่น้องเราถูกวงล้อมอยู่ที่นั่น ยืนหยัดต่อสู้ที่นั่น
ผมเจออาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย อยู่ตรงเนี้ย ผมมากับลูกสาว ผมพาลูกสาวซึ่งตอนนั้นยังเล็กอยู่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองกับคนเสื้อแดง
ผมคิดว่าผมและเพื่อน ๆ
คนเสื้อแดงในเวลานั้นหลายคนที่มีลูกหลานก็คิดว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
ผมพาลูกมา อาจารย์จรัลบอกผมบอกว่า “หนูหริ่ง นี่มันหกโมงเย็นแล้ว เหมือนเวลาตอนนี้แหละครับ
ใครมันจะเอาอาวุธสงครามไปล้อมปราบไปสลายการชุมนุมตอนกลางคืน เพราะมันอันตราย
พี่น้องเสื้อแดงจำเรื่องนี้ได้ใช่มั้ย?”
พวกเราที่ขี่มอเตอร์ไซด์กันไปเป็นม้าเร็วไปเป็นพัน ๆ คัน ผมจำได้เลย แปร้ดดออกมา
ไอ้คนที่จอดมอเตอร์ไซด์อยู่ตรงนี้ไปกันเกือบหมดเลย ไปถนนราชดำเนินกันหมด
ลึก
ๆ แล้วคนเสื้อแดงก็เชื่อว่าจะไม่มีการกระทำการอันอุกอาจเช่นนั้น
แต่การณ์ก็หาไม่ครับ คือมันสอนเราว่ายังไง อันนี้ผมฝากไว้เลยนะ ผมทันสองครั้ง
ผมทันพฤษภาปี35 ผมทันพฤษภาปี53 หมอเหวง อาจารย์ธิดาทัน 6ตุลาเลย 14ตุลาด้วย
14ตุลาก็ยิงมีคนตาย ตกลง 4 รอบแล้วนะ 2 คนนี้ 4 รอบแล้ว
คือวิธีคิดของชนชั้นนำหรือคนที่มีอำนาจ วิธีคิดเขามีวิธีคิดเดียวคือรักษาอำนาจ
ช่วงชิงอำนาจและรักษาอำนาจ จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้คิดช่วงชิงนะ
เขาเชื่อเหมือนกับที่เราเชื่อนั่นแหละ เขาเชื่อว่าอำนาจเป็นของเขา
เขาเชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเขาเชื่อว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเขา
ใครก็ตามที่ท้าทาย พยายามที่จะดึงอำนาจออกจากมือเขา
คนพวกนั้นบังอาจมาปล้นอำนาจของเขา
พวกเราก็เชื่อ
พวกเราก็เชื่อว่าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนของประชาชน
เราเชื่อว่าอำนาจนั้นเป็นของเราเพราะว่ามันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
มันสอนกันในโรงเรียน มันพูดกันทุกที่ในสื่อสาธารณะ ในทุกพื้นที่ ในสภา
ในการหาเสียง ทุกพื้นที่บอกเราว่าประเทศนี้เป็นของประชาชน แต่ว่าเมื่อมีคน 2 กลุ่ม
จะว่า 2 กลุ่มก็ไม่ได้นะ ประชาชนมันมากกว่าเยอะ
จะเรียกว่าประชาชนเป็นกลุ่มนั้นไม่ได้ ประชาชนมันเป็นรากฐานเลย
แต่ผู้มีอำนาจมันเป็นคนแค่เพียงกลุ่มหนึ่ง เกิดการสู้กันทางความคิดก่อน
แล้วมันลงกันไม่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายนะในความเห็นผมนะ
ผมยังคิดว่าสังคมเราวิวัฒนาการมาถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องนี้มันควรมีทางคลี่คลาย
หรือมีคำตอบ หรือมีทางออก ไม่ต้องเผชิญหน้ากันแบบนี้
อย่างไรก็ตามครับ
อย่างที่อาจารย์ธิดาได้กล่าวไว้ เราอย่าลืมและอย่าคิดไปเอง
อย่างแรกเราไม่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้วว่าความคิดความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้น
อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของประชาชน อันนี้เราเปลี่ยนไม่ได้
แต่ว่าคุณจะไปเปลี่ยนความคิดของคนชั้นนำว่าประเทศนี้ไม่ใช่ของเขา
อำนาจไม่ใช่ของเขา เราก็เปลี่ยนเขาไม่ได้ เราเปลี่ยนเขาไม่ได้
ดังนั้นมันก็ไม่เปลี่ยนหรอกครับ โดยเฉพาะพวกทหารรุ่นใหม่ ๆ ผมบอกไว้ก่อนนะ
พอมันยึดอำนาจนะ นายพลมันยึดอำนาจได้ ไอ้พวกร้อยตรีมันก็เห็นพวกพี่มัน
มันก็คิดว่าถ้า “นักการเมืองคุณภาพแบบนี้ กูก็เป็นได้” คำพูดนี้มันอยู่ในวงเหล้า
อยู่ในวงประชุมของพวกนายทหารระดับนายร้อยนายพัน มันคิดมันเชื่อกันอย่างนั้นจริง
มันขายไวรัสทางความคิดแพร่เชื้อนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
แล้วมันเชื่อว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมือง
ความเชื่อนี้มันสร้างมายาคติเพื่อจะสร้างความชอบธรรมของพวกเขาในการที่จะเข้ามาปกครองและจัดการกับคนที่แข็งขืน
ดังนั้น
มีวิธีการเดียว เราเปลี่ยนความคิดของไอ้คนพวกนี้ไม่ได้ เราต้องควบคุมมันให้ได้
นี่คือโจทย์!
ข้อเสนอของอาจารย์ธิดาเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับศาลทหารนั้นสำคัญมาก ศาลทหารนั้นมันมีไว้ใช้ยามที่เกิดศึกสงคราม ผมถามว่าช่วงที่ประชาชนมีความเห็นแตกต่าง
แล้วก็แค่เรียกร้องให้รัฐบาลที่มาบอกว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่เราไม่เห็นด้วยนะ
แต่มันอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วมันไปผสมพันธุ์กัน ทำนิติกฎหมายกัน
สับสนนิติสงครามกันจนข้ามขั้ว จนผสมพันธุ์กันเอาอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
คนเสื้อแดงแค่บอกว่าขอคืนอำนาจให้กับประชาชน มันเอากระสุนปืนยิงใส่เราเลย
คือมันเป็นเรื่อง (พูดตรง ๆ นะ) มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ๆ
ตอนผมมาอยู่ที่นี่พาลูกมาเนี่ยผมคิดว่าพวกเรา คนเสื้อแดงนะ
เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องวิวัฒนาการคนเสื้อแดงในมุมมองของผมนะ
ไอ้ตอนเรามาเรียกร้องขอให้มีการคืนอำนาจ
ไอ้เนี่ย การกระทำของเราเนี่ยคือการเรียกร้อง แต่วันที่มันยิงเรา นี่คือการต่อสู้
มันไม่ใช่การเรียกร้องแล้ว
เรารู้อยู่แล้วว่าการที่มันยิงเราขนาดนี้เราจะไปบอกให้มันยุบสภา มันไม่ยุบคุณหมอ
มันไม่ยุบ แต่ที่เรายังยืนอยู่เพราะอะไร เพราะเราต่อสู้ เราต่อสู้ด้วยอะไร
เราต่อสู้ด้วยการเอาร่างกายของเราเองมายืนอยู่ตรงนี้ เป็นการยืนหยัดว่ากูไม่มีอะไร
แต่กูสู้มึง!
ถ้ามึงจะยิงมา เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ยืนให้ยิงนะ
มีอยู่คนเดียวที่ยืนให้ยิง วันนี้มาหรือเปล่าครับ?
แต่ว่าเราเอาร่างกายของเรามายืนหยัดต่อสู้เพื่อจะบอกว่ากูไม่ยอมแพ้!
ดังนั้น
เสื้อแดงของเราเวลาเราพูดถึงเสื้อแดง มันไม่ใช่แค่คนใส่เสื้อสีแดงนะครับ
ผมเรียนก่อน การเป็นคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่คนใส่เสื้อสีแดง แต่มันเป็นเครื่องแบบของนักต่อสู้ในปี
52 และปี 53 มันเป็นเครื่องแบบ
แล้วต่อให้เราถอดเครื่องแบบเราออกเรายังเป็นนักต่อสู้ปี 52 ปี 53 ครับ
เรายังเป็นคนเสื้อแดงอยู่ ผมไม่อยากอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับสีเสื้อนะในเวลานี้
ผมรำคาญพูดตรง ๆ มีคนมาถามผม วันก่อนมีนักวิจัยจากต่างประเทศมาสัมภาษณ์ผม
ถามว่าคุณสมบัติคุณจะยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่มั้ย?
คุณนิยามตัวเองว่าเป็นคนเสื้อสีอะไร? ผมยืนยันนะครับ ผมเป็นคนเสื้อแดงครับ
ผมยืนยัน
เอาล่ะ
แม้นว่าในเวลานี้มันจะมีสถานการณ์ที่นำไปสู่ความคิดความอ่านของผู้คนที่เคยร่วมต่อสู้กันในเวลาหนึ่ง
วันนี้ความคิดความอ่านบางเรื่องมันอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง
สำหรับผมนะที่จริงผมอยากจะเคลียร์เรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าคงทานกระแสนี้ไม่ไหว
สักวันผมจะออกมารณรงค์สักทีเมื่อสถานการณ์สุกงอม
ผมคิดว่าคนที่เคยเป็นคนเสื้อแดงแล้วยืนหยัดต่อสู้ตรงนี้
เวลาจัดงานรำลึกจัดงานเวทีเดียวกันหมด วันหลังมาจัดงานเวทีเดียวกัน
เราต้องผ่านเส้นไอ้เรื่องที่เราทะเลาะกันตอนนี้นะ มันกระจอกมากเลย
มันเทียบเท่ากับวันนั้นตอนที่เรายืนตรงนี้แลกชีวิตกันขนาดนั้นไม่ได้เลย
แล้วคนเสื้อแดงมันไม่ได้อยู่ดี ๆ แล้วมันเกิดขึ้นนะ แล้วจริง ๆ ผมไม่กล้าเคลม
ผมไม่กล้าเอามาเคลมตัวเองว่าเป็นคนสร้างคนเสื้อแดง
ผมเป็นแค่คนที่ริเริ่มการใช้สัญลักษณ์เสื้อแดงเท่านั้นอาจารย์
ผมแค่เป็นแค่นักเทคนิคคนหนึ่งที่คิดอ่านว่าวันที่เขามีการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น
พวกเราจะต้องแสดงจุดยืนว่าเราไม่เอารัฐธรรมนูญเผด็จการ
ดังนั้น
มันมีคนกลุ่มหนึ่งเห็นด้วยว่ารัฐธรรมนูญ 50 ต่อมาก็มีรัฐธรรมนูญ 60
มันพูดภาษาเดียวกัน wording
เดียวกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโจร แล้วคุณดูครับ รัฐธรรมนูญปราบโจร
แล้วตอนนี้โจรเข้าสภาไปเท่าไหร่ครับ ตำรวจจะไปจับออกหมายเรียกออกหมายจับไอ้พวกนั้น
มันแข็งขืนครับ คนทั้งประเทศเห็นว่าพวกมึงเป็นหัวขโมย แต่พวกคุณใส่สูทนั่งกันอยู่ในสภา
หน้าด้านมาก ๆ ดังนั้น คนเสื้อแดงเป็นผลผลิต จริง ๆ
แล้วมันไม่ใช่แค่ผลผลิตธรรมดานะ แต่มันเป็นการกะเทาะเปลือก
กะเทาะความคิดที่ในยุคเก่าก่อนนั้นได้ครอบงำความคิดของเรา ของประชาชน
ของไพร่ฟ้าทั้งหลาย ว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำต้อย แต่วันนี้การศึกษาก็ดี
ความเป็นจริงนั้นปรากฏขึ้น ที่อาจารย์ธิดาพูดคำว่าเราเป็นเสรีชนนั้น
ก็เพราะว่าแท้จริงแล้วเราเป็นเสรีชนแต่ต้นแล้ว
แต่มีผู้อื่นครอบงำเราว่าเราไม่ใช่เป็นเจ้าของชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่โคตรตลก
เมื่อการศึกษาเกิดขึ้น การตั้งคำถามเกี่ยวกับว่าเราเป็นใครในประเทศนี้ ผมมั่นใจว่าคนเสื้อแดงหรือคนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนมากไม่ว่าจะในยุคนี้
หรือยุคไหน หรือยุคอนาคต มันต้องตั้งคำถามนี้ “ประชาชนเป็นใครในประเทศไทยนี้?”
จริง ๆ ทั้งหมดนี้เราสู้กันอยู่แค่นี้ นิยามกันอยู่แค่นี้ มันสู้กันว่า “คุณเป็นเจ้าของประเทศนี้หรือเปล่า?”
มันแค่นี้เลยไอ้ที่สู้กัน เพราะว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของประเทศนี้
ทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองเคารพศักดิ์ศรีของคนที่เป็นเจ้าของประเทศนี้
คือประชาชนครับ
เวลาคุณชี้วัดประเทศเป็นประชาธิปไตยหรือยัง
คุณดูว่าองคาพยพทั้งหมดมันจัดวาง มันตอบสนอง มันใช้งบประมาณ มันใช้ทรัพยากร
มันใช้กำลังคน
เพื่อตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของคนที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างเต็มที่หรือไม่?
ถ้าทรัพยากรเหล่านั้น องคาพยพเหล่านั้น โครงสร้างเหล่านั้น กฎ กติกา
รัฐธรรมนูญทุกอย่างเหล่านั้นมันชี้ไปว่า
คนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่สำคัญที่สุดนั้นคือประชาชน
ผมมั่นใจได้เลยว่าประเทศนี้แม่งเปลี่ยนเลย มันจะเปลี่ยน
ที่มันไม่เปลี่ยนเพราะว่ามันอยู่ระหว่างรอยต่อ มันสู้กันระหว่างสองชุดความคิด
ฝั่งหนึ่งมันบอกว่าเอาล่ะ ประเทศมันก็จะต้องมีประชาชนเพราะมันต้องเสียภาษี
ถ้าไม่เสียภาษีแล้วใครจะไปเลี้ยงพวกมัน แต่ว่ามันก็เลี้ยงพวกเราเหมือนวัวเหมือนควาย
ให้ทำงานแล้วก็เก็บผลผลิต ฉกฉวยการผลิตเอาภาษีรีดนาทาเร้น
เอาภาษีเหล่านั้นเอาไปปรนเปรอ
เวลาเราพูดเรื่องประชาธิปไตยมันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง
แน่นอนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราจะมีตัวแทนของเราเข้าไปที่นั้น จริง ๆ
ผมไม่ต้องพูดหรอก พวกเสื้อแดงมันฟัง มันอ่าน มันอภิปรายเรื่องนี้จนมันอยู่ในอณู
อยู่ใน DNA พวกเราหมดแล้ว ผมแค่ฝากไว้ครับ ต่อให้วันหนึ่งนะเราแก่ชรา
ต่อให้วันหนึ่งเราไม่มีแรง สิ่งที่คุณจะต้องส่งต่อก็คือ DNA ทางความคิด
ทำให้คนไทยและอนุชนรุ่นหลัง ๆ เชื่อได้
เชื่ออย่างไม่มีคำถามว่าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนเท่านั้น ขอบคุณครับ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #คนเสื้อแดง #15ปีเมษาพฤษภา53 #ราชประสงค์