วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ศาลนัดไต่สวนเพิ่ม 6 นัด ตลอดเดือน ก.ค. นี้ ด้าน “ทนายวิญญัติ” ย้ำ ประวัติการรักษา “ทักษิณ” มีจริง ป่วยจริง แต่ถือเป็นข้อมูลสำคัญและได้รับการคุ้มครอง

 


ศาลนัดไต่สวนเพิ่ม 6 นัด ตลอดเดือน ก.ค. นี้ ด้าน “ทนายวิญญัติ” ย้ำ ประวัติการรักษา “ทักษิณ” มีจริง ป่วยจริง แต่ถือเป็นข้อมูลสำคัญและได้รับการคุ้มครอง


วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ในฐานตัวแทนของจำเลยคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังเข้าร่วมฟังการไต่สวนตามนัดของศาล


โดยทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เผยว่า วันนี้เป็นวันที่เราในฐานะฝ่ายจำเลยที่ศาลมีหมายนัดแจ้งมาเพื่อนัดไต่สวน จากเดิมที่ยังไม่ทราบว่าท่านจะดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างไร ตอนนี้ก็มีความชัดเจนขึ้นหลาย ๆ ส่วน มีการกำหนดแนวทางเป็นรูปแบบและชัดว่าต่อไปนี้จะดำเนินการอย่างไร โดยวันนี้ศาลได้มีการไต่สวนพยาน 1 ปาก คือ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร


อย่างไรก็ดี ศาลเห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงอีกจำนวนหนึ่งที่ศาลจะต้องแสวงหาความจริงและหลักฐานต่าง ๆ เพื่อประกอบการวินิจฉัย เท่าที่ทราบมีพยานบุคคลอีกประมาณ 20 ปาก ที่ศาลมีหมายเรียกให้มาให้การโดยการไต่สวนต่อศาล นอกจากนี้ศาลได้ให้โอกาสจำเลย ซึ่งตนได้แถลงขอนำเสนอพยานบุคคลเพื่อประกอบการชี้แจงต่อศาล และศาลจะพิจารณาว่าอนุญาตหรือไม่ต่อไป ทนายวิญญัติ กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางการไต่สวนของศาล ประเด็นที่ศาลให้น้ำหนักดูเป็นคุณหรือเป็นโทษกับลูกความ ทนายวิญญัติ กล่าวว่า ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษ แต่สิ่งที่ยืนยันได้ ณ วันนี้ว่า ความจริงคือท่านป่วย และความจริงคือท่านได้รับการบังคับโทษตามหมายของศาลครบถ้วนแล้ว และปล่อยตัวออกมาแล้ว ทั้งหมดคือกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทย


ตอบคำถามว่าท่านทักษิณผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง ทนายวิญญัติ กล่าวว่า วันที่ 22 ส.ค. 2566 ท่านได้มามอบตัวและถูกหมายจำคุก ศาลก็ส่งตัวให้ราชทัณฑ์ นั่นคือหน้าที่ราชทัณฑ์เข้ามาแล้ว ราชทัณฑ์รับตัวไปซักประวัติทำกระบวนการที่อยู่เรือนจำและนำตัวเข้าเรือนจำแล้ว และอยู่ในแดนที่อยู่ในบริเวณของเรือนจำ ถือว่าได้อยู่ในกระบวนการของการบังคับโทษเบื้องต้นแล้ว หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ที่แทรกซ้อนขึ้นมาก็คือเป็นอาการป่วยที่มีอยู่เดิม และอาการทีเกิดขึ้นหลังจากภาวะที่ท่านเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ถูกจำกัดอิสรภาพ ก็เกิดอาการเครียดทางร่างกายและมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น ท่านก็ได้รับการตรวจอย่างน้อย 3 เวลา และการตรวจ 3 เวลาดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องปกติ หรือการเตรียมการอะไรไว้เป็นมาตรฐานทั่วไป ซึ่งหมอเห็นว่าโรคต่าง ๆ ที่ท่านเป็นก็เป็นเรื่องที่จะต้องให้การเฝ้าระวังหรือการติดตามอยู่ตลอด


ทนายวิญญัติกล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่ท่านถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลก็มีกระบวนการรับตัว และกระบวนการหลังจากนี้ไป ต้องเรียนว่าเป็นการถูกจำคุกตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ผมพูดตามหลักการและกฎหมาย แต่ทั้งหมดคือศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อเป็นกระบวนการตามมาตรา 55 หลังจากนั้นก็ถือว่าท่านอยู่ในการควบคุมของราชทัณฑ์ และถือว่าโรงพยาบาลก็เป็นสถานที่คุมขังที่หนึ่ง เมื่อมีสิทธิประโยชน์เรื่องของผู้ต้องขังอย่างไร ท่านก็ใช้กระบวนการนั้นมาตลอด เช่น ท่านได้ขอพระราชทานอภัยโทษ หลังจากนั้นระหว่างที่ท่านถูกควบคุมตัวที่ รพ.ตำรวจ ก็พักรักษาตัว ตลอดเวลามีการควบคุมตัวโดยเรือนจำ เมื่อถึงเวลามีคณะอนุกรรมการพิจารณาการพักโทษ ซึ่งประกอบด้วยหลายองค์กร หลายหน่วยงานของรัฐเป็นผู้พิจารณา คุณสมบัติเหล่านี้ที่พิจารณาอันดับแรกประการสำคัญคือต้องถูกคุมขังและเป็นนักโทษเด็ดขาด ถ้าไม่เป็นผู้ถูกคุมขังและเป็นนักโทษเด็ดขาด ไม่มีการบังคับโทษ จะไม่มีคุณสมบัติในการพักโทษแน่นอน ท่านทักษิณผ่านกระบวนการเหล่านี้ของรัฐมาหมด ในที่สุดท่านได้พักโทษและออกไปเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2567 หลังจากนั้นท่านก็มีฐานะเป็นนักโทษเด็ดขาดแต่ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ ซึ่งยังถือว่ามีหน้าที่ต้องรายงานตัวต่อสำนักงานคุมประพฤติ


ท่านทักษิณทำตามกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่มีการผิดวินัยหรือผิดระเบียบใด ๆ เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษลงมาเมื่อ 28 ก.ค. 2567 ท่านทักษิณในฐานะเป็นผู้ต้องขังที่มีประวัติเป็นผู้ต้องขังดี ได้รับโทษจำคุกมาแล้ว ท่านเป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและผ่านการพิจารณาแล้วว่าได้รับการอภัยโทษ นี่คือการบังคับโทษ ท่านจึงได้รับการพิจารณาปล่อยตัวหลังจากได้รับหมายปล่อยจากศาลอาญาธนบุรีเป็นผู้พิจารณาออกหมายปล่อย นี่คือกระบวนการที่สื่อมวลชนถาม นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ศาลมีข้อสงสัยหรือข้อเท็จจริงใดที่ศาลอยากจะได้ เช่น การป่วยต้องส่งตัวอย่างไร การรักษาอย่างไร มีกระบวนการที่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ อันนั้นเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจในการไต่สวนอีกครั้งหนึ่ง ทนายวิญญัติ กล่าว


ทนายวิญญัติ ตอบกรณีเรื่องแพทยสภา ว่า เรื่องนี้เป็นคนละประเด็นกับประเด็นที่ศาลไต่สวน เรื่องแพทยสภาก็เป็นเรื่องของหมอกับหมอ ก็ว่ากันไป แพทยสภาก็ใช้กระบวนการตามข้อบังคับของตน มีเรื่องของจริยธรรม กฎอะไรต่าง ๆ เป็นการตรวจสอบมาตรฐานการปฏิบัติ แต่แพทยสภาจะมีความชัดเจน หรือมีข้อเคลือบแคลง หรือความไม่เป็นกลาง หรือไม่อย่างไร ผมไม่มีความเห็น แต่ผมยืนยันว่าเป็นคนละกรณีกับกรณีที่ศาลไต่สวน เพราะว่าแพทยสภาไม่เคยบอกว่าท่านทักษิณไม่ได้ป่วย เพียงแต่มีคำว่าวิกฤตหรือไม่วิกฤต ซึ่งไม่ใช่ประเด็น และผมสรุปว่าแพทย์ที่ถูกลงโทษทั้ง 3 ท่านก็ยังมีกระบวนการที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมและต่อสู้ได้ ก็คือยื่นศาลปกครองได้


สำหรับพยานในส่วนของจำเลย ทนายวิญญัติ กล่าว่า ตนได้เห็นรายชื่อที่ศาลท่านเรียกมา 20 รายชื่อแล้ว ผมจะต้องอ้างบุคคลที่ไม่ซ้ำกับที่ศาลเรียกมาแน่นอน แต่จะเป็นใครบ้างขออนุญาตยังไม่เปิดเผยรายชื่อ ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ทำไมไม่แนบเอกสารที่เป็นประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศ ยืนยันได้หรือไม่ว่าป่วย ทนายวิญญัติ กล่าวว่า ประวัติการรักษาตัวของผู้ป่วยถือว่าเป็นข้อมูลสุขภาพของบุคคลที่สำคัญและได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ผมยืนยันว่ามีแน่นอน เพราะท่านไปรักษาตัวจริงและได้นำมายื่นให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราชทัณฑ์และแพทย์ผู้ทำการตรวจร่างกาย มันเป็นข้อมูลที่ต้องได้รับการคุ้มครองและท่านไม่ต้องการที่จะเปิดเผยหรือให้ใครคัดลอกสำเนาไป เมื่อผมทราบว่าศาลท่านอยากได้ประวัติ ก็ต้องรอให้ทางราชทัณฑ์ตอบว่าราชทัณฑ์มีสำเนาหรือการบันทึกข้อมูลอยู่หรือไม่ อันนั้นก็เป็นประบวนการไป แต่ผมยืนยันว่าท่านป่วยจริง


สุดท้ายผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านทักษิณจะไม่หลบหนีใช่ไหม? ทนายวิญญัติ ตอบว่า ผมไม่ใช่ท่านครับ


อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวที่เข้าไปฟังรายงานว่า สำหรับนัดหมายไต่สวนในคดีดังกล่าวนี้ ศาลนัดการไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด ประกอบด้วย วันที่ 4, 8, 15, 18, 25 และ 30 กรกฎาคม 2568 นี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลฎีกา #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14 #รพตำรวจ #ราชทัณฑ์