วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : นปช. ในยุคหลังการนองเลือด เมษาพฤษภา'53 [บันทึกไว้เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นใหม่ในเรื่ององค์กรประชาชน และเพื่อให้คนรุ่นเก่า ไม่บิดเบือน!!!]

 



บันทึกไว้เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นใหม่ในเรื่ององค์กรประชาชน และเพื่อให้คนรุ่นเก่า ไม่บิดเบือน!!! [ตอนที่ 1/3]



นปช. ในยุคหลังการนองเลือด เมษาพฤษภา’53


ถือเป็นวิกฤตการณ์ของนปช. คนเสื้อแดง เพราะอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้ดำเนินการปราบปรามประชาชนในนามรัฐบาล, ศอฉ. และกองทัพ ตลอดจนเครือข่ายอนุรักษ์นิยมเผด็จการทั้งหลายมีอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม แกนนำถูกคุมขัง ไม่ได้ประกันตัว คนบาดเจ็บนับพันคน และถูกจับกุมคุมขังนับพันคน มีคุณจตุพรที่จะถูกดำเนินคดีฟ้องร้องตลอดเวลาที่ไม่ได้ถูกจองจำ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำองค์กรเพื่อทำงานที่มีภารกิจมากมาย ทั้งการประกันตัว การดูแลผู้ถูกคุมขัง การเยียวยาผู้บาดเจ็บ การทวงความยุติธรรมให้คนตายและคนเป็นให้ได้รับการประกันตัว และชีวิตความเป็นอยู่ในเรือนจำ ตลอดจนการตอบโต้ฝ่ายจารีตอำนาจนิยมและฝ่ายปราบปรามประชาชน ซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือเต็มเปี่ยม ผู้ถูกกระทำทั้งคนตาย คนมีชีวิตอยู่มีจำนวนมาก ในเวลานั้นมีแกนนำจำนวนหนึ่งลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ แต่ส่วนมากถูกคุมขัง เมื่อหาคนที่เหมาะสมกว่าดิฉันไม่ได้ ฝ่ายแกนนำในประเทศนั่นแหละที่มาขอให้ดิฉันรับหน้าที่รักษาการประธานนปช.ไปก่อน แล้วจึงมาขอให้เป็นประธานนปช.ต่ออีก 2 ปี รวมเป็น 3 ปี


แม้ดิฉันไม่ประสงค์จะอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่ก็จำเป็นต้องรับ และเมื่อ 15 มีนาคม 2557 ก็ส่งต่อให้คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่บอกว่าพร้อมจะเป็นประธานนปช.ต่อไป





มีคำถามว่าทำอย่างไร ทำไมคนเสื้อแดงและนปช. จึงอยู่ได้ยาวนาน จากปี 2549 ถึง 2562 ซึ่งยุติการนำของนปช.โดยปริยาย แต่จิตวิญญาณของคนเสื้อแดงในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ และต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ประชาชนและคนที่ตายในการต่อสู้ปี 2553 ยังดำรงอยู่


ดิฉันอยากจะเรียนว่ามีปัจจัยหลัก 2 ปัจจัย


- ปัจจัยแรก คือความก้าวหน้าของมวลชน
- ปัจจัยที่สอง คือความล้าหลังและพยายามรักษาอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำที่ผนึกกำลังฝ่ายต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายกษัตริย์นิยม ทั้งขุนนาง ขุนศึก และนายทุน รวมทั้งปัญญาชนและสื่อจำนวนหนึ่ง


ในส่วนปัจจัยแรกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คือความก้าวหน้าของมวลชนพื้นฐาน ตั้งแต่ชนชั้นกลางไปถึงมวลชนพื้นฐาน แรงงานนอกระบบ-ในระบบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นหลังจากการทำรัฐประหารปี 2549 การก่อตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จนเกิดรัฐธรรมนูญ 2550 เกิดการย้ายขั้วภายในพรรคพลังประชาชน ไปจนเกิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเกิดการต่อต้านจากประชาชนในปี 2552, 2553 ในช่วงเวลานั้นเราได้มีการสร้างหลักนโยบาย 6 ข้อ และยุทธศาสตร์ 2 ขา เกิดโรงเรียนการเมืองนปช. เพื่อประกอบการนำด้วยหลักการ รู้จักมิตร รู้จักศัตรูประชาชน รู้ทิศทางที่ก้าวหน้า และมีการปราศรัยทั่วประเทศ มีการจัดตั้งแกนนำใหม่ เพื่อเป็นโครงสร้างองคาพยพ การนำโดยยึดแนวทางมวลชนและการนำรวมหมู่





ในส่วนปัจจัยที่สอง คือการที่ชนชั้นนำจารีตอำนาจนิยมไทยทำทุก ๆ อย่าง ทุกวิธี แม้จะไม่ชอบธรรมใด ๆ แม้จะใช้การสร้างมวลชนฝ่ายจารีต การปราบปรามเข่นฆ่าการยุติระบอบประชาธิปไตย โดยการทำรัฐประหาร การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่เลวร้ายเรื่อย ๆ การทำนิติสงคราม การจับกุมคุมขังประชาชนผู้เห็นต่างและการไม่ให้ประกันตัว ไปจนเกิดความคลางแคลงใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม การยุบพรรคการเมืองซ้ำแล้วซ้ำอีก การใช้องค์กรอิสระร่วมกัน ทำให้การเมืองไทยเลวร้าย ไม่มีเสถียรภาพในระบอบประชาธิปไตย เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยต้องต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานจนถึงปัจจุบัน


คิดอย่างไรเมื่อมารับตำแหน่งประธานนปช. เวลานั้นในปี 2553


ดังได้กล่าวมาแล้วว่าการมารับตำแหน่งประธานนปช. เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 ไม่ใช่ความประสงค์ของดิฉันเอง แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีการนำที่สามารถต่อกรกับฝั่งปฏิปักษ์ประชาชนได้ (นี่เป็นความคิดของแกนนำที่เสนอให้ดิฉันทำหน้าที่) แต่ที่เขาไม่ได้คิดไว้และหลายเป็นเรื่องเหนือความคาดคาดคือ ดิฉันพยายามสร้างมวลชนเสื้อแดงให้เป็นประชาชนที่ตื่นรู้การเมืองด้วยหลักการ นโยบาย และยุทธศาสตร์ที่เราวางไว้ ในเวลานั้นมีพรรคการเมืองที่ถูกกระทำอยู่พรรคเดียว จึงช่วยให้มวลชนมีเอกภาพในการสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในขาเวทีรัฐสภา ส่วนปฏิบัติการนอกเวทีรัฐสภาก็มีกลุ่มอิสระเกิดขึ้นจำนวนหนึ่งหลังจากการที่ประชาชนถูกปราบปรามหลัง เมษา-พฤษภา53 แกนนำหลายคนก็ปรามาสดิฉันวามาจากไหน? จะมาเป็นประธานนปช.อย่างไร? แต่ฝั่งอนุรักษ์นิยมและปัญญารุ่นรุ่น 14ตุลา16 จนถึงพวกเข้าป่าร่วมกับพคท. มาจนถึงพฤษภา35 พวกเขารู้จักดิฉันดีกว่าอดีตแกนนำเสื้อแดง (สายพรรค) ว่าดิฉันไม่เป็นทาสน้ำเงินใคร และทำงานสนับสนุนแนวทางของนักต่อสู้รุ่นก่อนเป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องแสดงตัวประกาศการต่อสู้ หรือขึ้นเวทีการนำมวลชน ในปัจจัยแรกจึงไม่เป็นปัญหากับดิฉันเลย เราทำได้ด้วยดี โดยการจัดตั้งแกนนำทั่วประเทศ และเปิดโรงเรียนการเมืองทั่วประเทศ ดิฉันจึงเดินหน้าตามแนวคิดเพื่อเตรียมประชาชนในสงครามยืดเยื้อทางการเมืองกับชนชั้นนำฝ่ายจารีต/เผด็จการที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน


ภารกิจเฉพาะหน้าในเวลานั้น มีประเด็นว่าจะแก้ปัญหาการประกันตัวและการทวงความยุติธรรมอย่างไร


ปัญหาหลังการนองเลือด 2553 และแกนนำสำคัญถูกคุมขังเป็นเวลาร่วม 9 เดือน ดิฉันรับตำแหน่งประธานนปช.ด้วยความรู้สึกถูกกดดัน เพราะเราไม่ได้อยากเป็น เนื่องจาก Spotlight จะมาจับที่เรา แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องรักษามวลชนและการนำองค์กร ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งมีภารกิจประกันตัวแกนนำ-ประชาชน ปัญหาการเยียวยาผู้บาดเจ็บ ผู้ถูกคุมขัง ปัญหาการนำองค์กรให้เข้มแข็งขึ้นใหม่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ให้เข้มแข็งในหลักการ ไม่ได้ให้ยึดบุคคล การเรียกร้องความยุติธรรมให้คนตายและคนเป็นที่ถูกคุมขังอยู่ ไม่ได้รับการประกันตัว เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่แบกบนบ่าของดิฉันและคนบางส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ช่วยกัน ทั้งเรื่องเงินประกันตัว ทนายความ และส่วนที่ต้องการเตรียมดำเนินคดีกับผู้สั่งฆ่าและฆ่าประชาชน ดิฉันต้องให้เครดิตกับบุคลากร.....ในพรรคเพื่อไทยเวลานั้นจำนวนหนึ่ง ที่ให้ความร่วมมือด้วยดีในการทวงความยุติธรรมให้คนตาย และช่วยเหลือคนที่ถูกคุมขังในเรือนจำ




การเป็นประธานนปช. เวลานั้น เผชิญปัญหาอะไรบ้าง?


ในตอนต้นที่รับตำแหน่ง แม้จะใช้คำว่า “รักษาการ” ก็เผชิญกับสถานการณ์การตั้งคำถามของสื่อ (ส่วนมากเป็นฝ่ายขวาและเป็นผู้เกลียดชังคุณทักษิณ/พรรคเพื่อไทยและนปช.) ซึ่งดิฉันสบายมากในการตอบคำถามทุกคำถาม ทุกเวที รวมทั้งการตอบโต้ฝ่ายมวลชนขวาจัด ซึ่งใช้สื่อดาวเทียมและสื่อหลักฝ่ายขวา แต่ที่ดิฉันไม่คาดคิดคือการที่ฝ่ายอดีตแกนนำสายนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่พึงพอใจ รวมทั้งคนสำคัญในพรรคที่มองว่า ดิฉันไม่ใช่ลูกน้องที่ว่าได้ใช้ฟัง สั่งการได้หมด กลายเป็นว่าดิฉันต้องถูกโจมตีทั้งฝ่ายปฏิปักษ์และคนในฝ่ายเดียวกันที่ไม่อยากยอมรับดิฉันเป็นประธานนปช. และบรรดาแกนนำเหล่านั้นเขารู้ว่าเขาพูดคนละภาษาและเป้าหมายคนละอย่างกัน สำหรับดิฉัน ทุกคำพูดและทุกการกระทำ ล้วนยืนอยู่บนหลักการ นโยบายที่เราตกลงมีมติร่วมกัน กระทั่งพิมพ์ไว้ในบัตรนปช. และการทำงานโดยใช้มติการนำรวมหมู่ ผู้ที่ไม่ได้เข้าประชุม แต่อยากขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาที่เขาต้องการ เช่น 1-2 ทุ่ม จะมาบังคับเรา ก็เท่ากับไม่เป็นไปตามมติที่ประชุม ก็ทำไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่างที่พบตลอดเวลา ไม่ทำงาน ไม่มาประชุม แต่อยากขึ้นเวทีปราศรัย เรื่องนี้จะพบได้เสมอ และดิฉันจะเคยถูกโจมตีอย่างรุนแรง (พวกเราสารภาพกับดิฉันเองว่าไม่พอใจอะไร) เมื่อเริ่มต้นทำงานในฐานะประธานนปช. เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสำนักงาน เราก็ต้องสร้างขึ้นเอง (ไม่ใช่การสนับสนุนจากพรรค) ต้องมีเจ้าหน้าที่ทำงานเอกสาร สื่อ ประสานมวลชน ฯลฯ


ประเด็นประกันตัวแกนนำและมวลชน หลังจากทนายความพยายามหลายสิบครั้งก็ไม่สำเร็จ กรณีแกนนำหลัก ดิฉันจึงปรึกษากับคุณวัฒนา เมืองสุข ในการวางแผนประกันตัว จนสุดท้ายได้ประกันหลังติดคุก 9 เดือน (หลังจากดิฉันเป็นประธานในวันที่ 1 ธ.ค. 2553) เรื่องประกันตัว คุณวัฒนาจะร่างเอกสารเอง โดยส่งให้ดิฉันช่วยดูปรับปรุงเป็นระยะ ๆ ทำในนามสมาคมทนายความที่คุณวัฒนาสัมพันธ์อยู่ (มาห่างไปเพราะในภายหลัง การกำหนดพยานร่วมกันนั้น คุณวัฒนาเสนอ พล.อ.ดาวน์พงษ์ ที่ดิฉันไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ประกันตัวได้ โดยเรา (ดิฉันและคุณวัฒนา) ได้ติดต่อผู้ใหญ่หลายคนเพื่อมาเป็นพยาน แต่แกนนำบางคน (หลายคน) ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ากว่าที่พวกเขาจะออกมา เราต้องออกแรงพละกำลังเพียงใด ลองถามภรรยาพวกเขาดูก็ได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นปช #คนเสื้อแดง #ธิดาถาวรเศรษฐ