นปช. ในยุคหลังการนองเลือด เมษาพฤษภา’53
ถือเป็นวิกฤตการณ์ของนปช. คนเสื้อแดง
เพราะอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้ดำเนินการปราบปรามประชาชนในนามรัฐบาล, ศอฉ. และกองทัพ
ตลอดจนเครือข่ายอนุรักษ์นิยมเผด็จการทั้งหลายมีอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม แกนนำถูกคุมขัง
ไม่ได้ประกันตัว คนบาดเจ็บนับพันคน และถูกจับกุมคุมขังนับพันคน
มีคุณจตุพรที่จะถูกดำเนินคดีฟ้องร้องตลอดเวลาที่ไม่ได้ถูกจองจำ
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำองค์กรเพื่อทำงานที่มีภารกิจมากมาย
ทั้งการประกันตัว การดูแลผู้ถูกคุมขัง การเยียวยาผู้บาดเจ็บ
การทวงความยุติธรรมให้คนตายและคนเป็นให้ได้รับการประกันตัว
และชีวิตความเป็นอยู่ในเรือนจำ
ตลอดจนการตอบโต้ฝ่ายจารีตอำนาจนิยมและฝ่ายปราบปรามประชาชน
ซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือเต็มเปี่ยม ผู้ถูกกระทำทั้งคนตาย คนมีชีวิตอยู่มีจำนวนมาก
ในเวลานั้นมีแกนนำจำนวนหนึ่งลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ แต่ส่วนมากถูกคุมขัง
เมื่อหาคนที่เหมาะสมกว่าดิฉันไม่ได้
ฝ่ายแกนนำในประเทศนั่นแหละที่มาขอให้ดิฉันรับหน้าที่รักษาการประธานนปช.ไปก่อน
แล้วจึงมาขอให้เป็นประธานนปช.ต่ออีก 2 ปี รวมเป็น 3 ปี
แม้ดิฉันไม่ประสงค์จะอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่ก็จำเป็นต้องรับ และเมื่อ 15
มีนาคม 2557 ก็ส่งต่อให้คุณจตุพร พรหมพันธุ์
ที่บอกว่าพร้อมจะเป็นประธานนปช.ต่อไป
มีคำถามว่าทำอย่างไร ทำไมคนเสื้อแดงและนปช. จึงอยู่ได้ยาวนาน จากปี 2549 ถึง 2562 ซึ่งยุติการนำของนปช.โดยปริยาย แต่จิตวิญญาณของคนเสื้อแดงในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ และต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ประชาชนและคนที่ตายในการต่อสู้ปี 2553 ยังดำรงอยู่
ดิฉันอยากจะเรียนว่ามีปัจจัยหลัก 2 ปัจจัย
- ปัจจัยแรก คือความก้าวหน้าของมวลชน
- ปัจจัยที่สอง คือความล้าหลังและพยายามรักษาอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำที่ผนึกกำลังฝ่ายต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายกษัตริย์นิยม ทั้งขุนนาง ขุนศึก และนายทุน รวมทั้งปัญญาชนและสื่อจำนวนหนึ่ง
ในส่วนปัจจัยแรกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คือความก้าวหน้าของมวลชนพื้นฐาน ตั้งแต่ชนชั้นกลางไปถึงมวลชนพื้นฐาน แรงงานนอกระบบ-ในระบบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นหลังจากการทำรัฐประหารปี 2549 การก่อตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จนเกิดรัฐธรรมนูญ 2550 เกิดการย้ายขั้วภายในพรรคพลังประชาชน ไปจนเกิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเกิดการต่อต้านจากประชาชนในปี 2552, 2553 ในช่วงเวลานั้นเราได้มีการสร้างหลักนโยบาย 6 ข้อ และยุทธศาสตร์ 2 ขา เกิดโรงเรียนการเมืองนปช. เพื่อประกอบการนำด้วยหลักการ รู้จักมิตร รู้จักศัตรูประชาชน รู้ทิศทางที่ก้าวหน้า และมีการปราศรัยทั่วประเทศ มีการจัดตั้งแกนนำใหม่ เพื่อเป็นโครงสร้างองคาพยพ การนำโดยยึดแนวทางมวลชนและการนำรวมหมู่
ในส่วนปัจจัยที่สอง คือการที่ชนชั้นนำจารีตอำนาจนิยมไทยทำทุก ๆ อย่าง ทุกวิธี แม้จะไม่ชอบธรรมใด ๆ แม้จะใช้การสร้างมวลชนฝ่ายจารีต การปราบปรามเข่นฆ่าการยุติระบอบประชาธิปไตย โดยการทำรัฐประหาร การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่เลวร้ายเรื่อย ๆ การทำนิติสงคราม การจับกุมคุมขังประชาชนผู้เห็นต่างและการไม่ให้ประกันตัว ไปจนเกิดความคลางแคลงใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม การยุบพรรคการเมืองซ้ำแล้วซ้ำอีก การใช้องค์กรอิสระร่วมกัน ทำให้การเมืองไทยเลวร้าย ไม่มีเสถียรภาพในระบอบประชาธิปไตย เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยต้องต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานจนถึงปัจจุบัน
คิดอย่างไรเมื่อมารับตำแหน่งประธานนปช. เวลานั้นในปี 2553
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าการมารับตำแหน่งประธานนปช. เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 ไม่ใช่ความประสงค์ของดิฉันเอง
แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีการนำที่สามารถต่อกรกับฝั่งปฏิปักษ์ประชาชนได้
(นี่เป็นความคิดของแกนนำที่เสนอให้ดิฉันทำหน้าที่)
แต่ที่เขาไม่ได้คิดไว้และหลายเป็นเรื่องเหนือความคาดคาดคือ
ดิฉันพยายามสร้างมวลชนเสื้อแดงให้เป็นประชาชนที่ตื่นรู้การเมืองด้วยหลักการ นโยบาย
และยุทธศาสตร์ที่เราวางไว้ ในเวลานั้นมีพรรคการเมืองที่ถูกกระทำอยู่พรรคเดียว
จึงช่วยให้มวลชนมีเอกภาพในการสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในขาเวทีรัฐสภา
ส่วนปฏิบัติการนอกเวทีรัฐสภาก็มีกลุ่มอิสระเกิดขึ้นจำนวนหนึ่งหลังจากการที่ประชาชนถูกปราบปรามหลัง
เมษา-พฤษภา53 แกนนำหลายคนก็ปรามาสดิฉันวามาจากไหน? จะมาเป็นประธานนปช.อย่างไร? แต่ฝั่งอนุรักษ์นิยมและปัญญารุ่นรุ่น
14ตุลา16 จนถึงพวกเข้าป่าร่วมกับพคท.
มาจนถึงพฤษภา35 พวกเขารู้จักดิฉันดีกว่าอดีตแกนนำเสื้อแดง
(สายพรรค) ว่าดิฉันไม่เป็นทาสน้ำเงินใคร
และทำงานสนับสนุนแนวทางของนักต่อสู้รุ่นก่อนเป็นอย่างดี
โดยไม่จำเป็นต้องแสดงตัวประกาศการต่อสู้ หรือขึ้นเวทีการนำมวลชน
ในปัจจัยแรกจึงไม่เป็นปัญหากับดิฉันเลย เราทำได้ด้วยดี โดยการจัดตั้งแกนนำทั่วประเทศ
และเปิดโรงเรียนการเมืองทั่วประเทศ
ดิฉันจึงเดินหน้าตามแนวคิดเพื่อเตรียมประชาชนในสงครามยืดเยื้อทางการเมืองกับชนชั้นนำฝ่ายจารีต/เผด็จการที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน
ภารกิจเฉพาะหน้าในเวลานั้น
มีประเด็นว่าจะแก้ปัญหาการประกันตัวและการทวงความยุติธรรมอย่างไร
ปัญหาหลังการนองเลือด 2553 และแกนนำสำคัญถูกคุมขังเป็นเวลาร่วม
9 เดือน ดิฉันรับตำแหน่งประธานนปช.ด้วยความรู้สึกถูกกดดัน
เพราะเราไม่ได้อยากเป็น เนื่องจาก Spotlight จะมาจับที่เรา
แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องรักษามวลชนและการนำองค์กร ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งมีภารกิจประกันตัวแกนนำ-ประชาชน
ปัญหาการเยียวยาผู้บาดเจ็บ ผู้ถูกคุมขัง
ปัญหาการนำองค์กรให้เข้มแข็งขึ้นใหม่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ให้เข้มแข็งในหลักการ
ไม่ได้ให้ยึดบุคคล การเรียกร้องความยุติธรรมให้คนตายและคนเป็นที่ถูกคุมขังอยู่
ไม่ได้รับการประกันตัว
เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่แบกบนบ่าของดิฉันและคนบางส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ช่วยกัน
ทั้งเรื่องเงินประกันตัว ทนายความ และส่วนที่ต้องการเตรียมดำเนินคดีกับผู้สั่งฆ่าและฆ่าประชาชน
ดิฉันต้องให้เครดิตกับบุคลากร.....ในพรรคเพื่อไทยเวลานั้นจำนวนหนึ่ง
ที่ให้ความร่วมมือด้วยดีในการทวงความยุติธรรมให้คนตาย
และช่วยเหลือคนที่ถูกคุมขังในเรือนจำ
การเป็นประธานนปช. เวลานั้น เผชิญปัญหาอะไรบ้าง?
ในตอนต้นที่รับตำแหน่ง แม้จะใช้คำว่า “รักษาการ”
ก็เผชิญกับสถานการณ์การตั้งคำถามของสื่อ
(ส่วนมากเป็นฝ่ายขวาและเป็นผู้เกลียดชังคุณทักษิณ/พรรคเพื่อไทยและนปช.)
ซึ่งดิฉันสบายมากในการตอบคำถามทุกคำถาม ทุกเวที รวมทั้งการตอบโต้ฝ่ายมวลชนขวาจัด
ซึ่งใช้สื่อดาวเทียมและสื่อหลักฝ่ายขวา
แต่ที่ดิฉันไม่คาดคิดคือการที่ฝ่ายอดีตแกนนำสายนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่พึงพอใจ
รวมทั้งคนสำคัญในพรรคที่มองว่า ดิฉันไม่ใช่ลูกน้องที่ว่าได้ใช้ฟัง สั่งการได้หมด
กลายเป็นว่าดิฉันต้องถูกโจมตีทั้งฝ่ายปฏิปักษ์และคนในฝ่ายเดียวกันที่ไม่อยากยอมรับดิฉันเป็นประธานนปช.
และบรรดาแกนนำเหล่านั้นเขารู้ว่าเขาพูดคนละภาษาและเป้าหมายคนละอย่างกัน
สำหรับดิฉัน ทุกคำพูดและทุกการกระทำ ล้วนยืนอยู่บนหลักการ
นโยบายที่เราตกลงมีมติร่วมกัน กระทั่งพิมพ์ไว้ในบัตรนปช.
และการทำงานโดยใช้มติการนำรวมหมู่ ผู้ที่ไม่ได้เข้าประชุม แต่อยากขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาที่เขาต้องการ
เช่น 1-2 ทุ่ม จะมาบังคับเรา
ก็เท่ากับไม่เป็นไปตามมติที่ประชุม ก็ทำไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่างที่พบตลอดเวลา
ไม่ทำงาน ไม่มาประชุม แต่อยากขึ้นเวทีปราศรัย เรื่องนี้จะพบได้เสมอ
และดิฉันจะเคยถูกโจมตีอย่างรุนแรง (พวกเราสารภาพกับดิฉันเองว่าไม่พอใจอะไร)
เมื่อเริ่มต้นทำงานในฐานะประธานนปช. เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสำนักงาน
เราก็ต้องสร้างขึ้นเอง (ไม่ใช่การสนับสนุนจากพรรค) ต้องมีเจ้าหน้าที่ทำงานเอกสาร
สื่อ ประสานมวลชน ฯลฯ
ประเด็นประกันตัวแกนนำและมวลชน
หลังจากทนายความพยายามหลายสิบครั้งก็ไม่สำเร็จ กรณีแกนนำหลัก
ดิฉันจึงปรึกษากับคุณวัฒนา เมืองสุข ในการวางแผนประกันตัว
จนสุดท้ายได้ประกันหลังติดคุก 9 เดือน
(หลังจากดิฉันเป็นประธานในวันที่ 1 ธ.ค. 2553) เรื่องประกันตัว คุณวัฒนาจะร่างเอกสารเอง
โดยส่งให้ดิฉันช่วยดูปรับปรุงเป็นระยะ ๆ
ทำในนามสมาคมทนายความที่คุณวัฒนาสัมพันธ์อยู่ (มาห่างไปเพราะในภายหลัง
การกำหนดพยานร่วมกันนั้น คุณวัฒนาเสนอ พล.อ.ดาวน์พงษ์ ที่ดิฉันไม่เห็นด้วย
แต่สุดท้ายก็ประกันตัวได้ โดยเรา (ดิฉันและคุณวัฒนา)
ได้ติดต่อผู้ใหญ่หลายคนเพื่อมาเป็นพยาน แต่แกนนำบางคน (หลายคน)
ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ากว่าที่พวกเขาจะออกมา เราต้องออกแรงพละกำลังเพียงใด
ลองถามภรรยาพวกเขาดูก็ได้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นปช #คนเสื้อแดง #ธิดาถาวรเศรษฐ