วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

‘รำลึก-สดุดีวีรชนคนเสื้อแดง 14 ปี เมษา-พฤษภา 53’ ที่อนุสรณ์สถาน14 ตุลา อ.ธิดาย้ำ เอาเงินฟาดไม่จบ! ชี้ต้องนิรโทษกรรมคนให้เป็น ทวงความยุติธรรมให้คนตาย ณัฐวุฒิ-หมอเหวง ยันเดินหน้าทวงความยุติธรรมให้ถึงที่สุด อ.ธเนศ ปาฐกถา ขอสดุดีการต่อสู้ของประชาชน แนวร่วมมธ.-ทะลุฟ้า ร่วมออกบูธ นักศึกษา 26 องค์กรร่วมออกแถลงการณ์

 


รำลึก-สดุดีวีรชนคนเสื้อแดง 14 ปี เมษา-พฤษภา 53’ ที่อนุสรณ์สถาน14 ตุลา อ.ธิดาย้ำ เอาเงินฟาดไม่จบ! ชี้ต้องนิรโทษกรรมให้คนเป็น ทวงความยุติธรรมให้คนตาย ณัฐวุฒิ-หมอเหวง ยันเดินหน้าทวงความยุติธรรมให้ถึงที่สุด อ.ธเนศ ปาฐกถา ขอสดุดีการต่อสู้ของประชาชน แนวร่วมมธ.-ทะลุฟ้า ร่วมออกบูธ นักศึกษา 26 องค์กรร่วมออกแถลงการณ์

 

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ญาติวีรชน คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 จัดกิจกรรม ‘รำลึกและสดุดีวีรชน 14ปี เมษาพฤษภา 53’

 

เริ่มต้นจากช่วง 12.00 น. มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมษาในปี 2553 รวมถึงนิทรรศการการขับเคลื่อนทวงความยุติธรรมของคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 จัดแสดง นอกจากนี้ ยังมีการขึงป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่มีการเขียนข้อความว่า “คนตายกลางเมือง นักการเมืองสั่งยิง” และ “ไม่มีเสรีภาพไหนได้มาด้วยการไม่ต่อสู้” รวมถึงซุ้มขายหนังสือ การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 โดย UDD News ไปจนถึงอาหารและเครื่องดื่มแจกจ่ายฟรี และมีพี่น้องประชาชนนำมาร่วมแจกจ่ายเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ยังมีบูธแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดซุ้มนักโทษการเมือง คลีนิคสว. รวมถึงเขียนจดหมายถึงคนเสื้อแดง จากนั้นเวลา 13.30 น. แป๊ะ บางสนาน ร่วมร้องเพลงในช่วงก่อนประกอบพิธีสงฆ์

 

โดยเวลา 15.00 น. ได้ถวายสังฆทานพระสงฆ์ 6 รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชนประชาธิปไตย เมษา-พฤษภา 2553 ที่เสียชีวิต เหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 บริเวณถนนราชดำเนิน โดยขณะประกอบพิธีได้มีการชูภาพผู้เสียชีวิตและตั้งบอร์ดรายชื่อวีรชนประชาธิปไตย เมษา-พฤษภา 2553

 

จากนั้น 15.35 น. เข้าสู่ช่วงการวางพวงหรีดแสดงความคารวะและสดุดี เริ่มต้นด้วยหรีดจากญาติวีรชน นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ กมนเกด หรือพยาบาลเกด และนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ บิดานายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ เป็นตัวแทนวาง ตามด้วยหรีดของคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) ตามด้วย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และตามด้วยอดีตแกนนำ นปช. นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

 

นอกจากยังมีพวงหรีดจาดพรรคการเมือง อาทิ พรรคเพื่อไทย ซึ่งนำโดย ทันตแพทย์หญิงศรีญาดา ปาสิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการ พรรคเพื่อไทย และสส.เพ็ญชิสา หงษ์อุปถัมภ์ชัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

 

พรรคก้าวไกล นำโดย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สมาชิกพรรคก้าวไกล นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ทนายแจม สส.กทม. พรรคก้าวไกล

 

ขณะที่ พรรคไทยสร้างไทย และ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดร. พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ จาตุรนต์ ฉายแสง ได้ส่งพวงหรีดมาร่วมคารวะด้วย

 

และยังมีพวงหรีด จากองค์กรเพื่อประชาธิปไตยหลากหลายกลุ่ม อาทิ มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ด้านกลุ่มนักกิจกรรม นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล วางพวงหรีดแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ วางพวงหรีดทะลุฟ้า รวมถึง ทะลุแก๊ส ยูดีดีนิวส์ และองค์กร นักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและธรรมศาสตร์หลากหลายกลุ่ม

 

จากนั้นศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวปาฐกถา ขอคารวะจิตใจของทุกท่านในขบวนการเสื้อแดงที่กล้าหาญ และขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย ซึ่งนั่นถือเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ประชาชนที่อยู่นอกศูนย์กลางกรุงเทพฯ ทั่วทุกภาคทั้งเหนือและอีสาน ตัดสินใจออกมาประท้วงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเรียกร้องสิทธิให้แก่ตนเอง จึงเชื่อว่าขบวนการดังกล่าวในปี 53 จะเป็นการต่อสู้ที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นขอให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนยั่งยืนต่อไปและมาถึงในวันข้างหน้า

 

ด้าน อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวโดยระบุว่า 14 ปีแล้วที่เกิดเหตุการณ์ฆ่าปราบปรามประชาชนที่ต้องการทวงความยุติธรรม ซึ่งการต่อสู้นี้ได้สืบทอดมายังเยาวชนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ฉะนั้นขอให้จับมือร่วมกันสู้เพื่อลูกหลานในอนาคต โดยย้ำคำขวัญนิรโทษกรรมให้คนเป็น และทวงความยุติธรรมให้คนตาย

 

อ.ธิดา ย้ำว่าใครจะเป็นแฟนคลับพรรคไหนไม่ว่ากัน ไม่ต้องใส่เสื้อแดงก็ได้ แต่ขอให้เป็นนักต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่เครื่องมือของพรรคการเมืองก็พอ โดยระบุว่าใส่เสื้อแดงหรือไม่ อยู่ที่จิตใจ ใส่เสื้อแดงแต่ไม่มีจิตวิญญาณต่อสู้ก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่คนที่ไม่ใส่เสื้อแดง แต่มีดวงจิตวิญญาณต่อสู้เต็มเปี่ยม นั่นคือคนเสื้อแดง

 

ดังนั้น ประชาชนต้องแข็งแรง ต้องไม่ใช่เครื่องมือของพรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองต้องเป็นเครื่องมือของประชาชน ไม่อย่างนั้นก็รบกันอีก

ดังนั้น จึงจำเป็นมี่ฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภา ขาหนึ่งสู้ในรัฐสภา อีกขาสู้ข้างนอก ส่วน อ.ธิดาอยู่ข้างประชาชนขาเดียว เพราะถือว่าขบวนการประชาชนต้องเติบใหญ่ ขบวนการประชาธิปไตยจึงจะเข้มแข็ง

 

พร้อมทั้งกล่าวถึงหนังสือ การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 จากนปช. ถึงคปช 53 นั้นว่าอัพเดตที่สุด เราจำเป็นต้องต่อสู้ทุกทาง จาก 8 ข้อเรียกร้องเหลือ 3 ข้อ ข้อเดียวก็เอา คือ 1. ตั้งคณะกรมการไต่สวนพลิกศพ ภายใน 30 วัน ผ่านไป 14 ปี ยังไม่ทำเลย

 

2. ฝากพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย ต้องแก้ไขกฎหมาย ให้ทหารและนักการเมืองที่ทำผิดทางอาญาต่อพลเรือน ขึ้นศาลพลเรือน แบบประชาชนทั่วไป เราทำเพื่ออนาคตประเทศชาติ ไม่ให้มาฆ่ากันฟรี ๆ ถ้าทหารถูกนำขึ้นศาล จะได้ไม่ต้องเชื่อนายอีก เพราะตัวเองต้องขึ้นศาล ไม่มีนายคุ้มหัว

3. นำคดีขึ้นศาล ICC แต่ทั้งนี้อ. ธิดา ได้กล่าวเข้าใจว่ารัฐบาลนั้นทำได้ เท่าที่ได้รับอนุญาตให้ทำเท่านั้น แต่การต่อสู้ของประชาชนต้องดำเนินต่อไป แม้ยากลำบาก

 

โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่งานเชงเม้งเฉย ๆ แต่เป็นงานที่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ประเทศนี้ ทหารและรัฐบาลเผด็จการจะมาฆ่าประชาชนตายกลางถนนฟรี ๆ ไม่ได้อีกต่อไป อ.ธิดา กล่าว

 

ด้านนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขึ้นกล่าวว่า การมาที่นี่ของพรรคเพื่อไทยอาจมีบางท่านไม่สบายใจ ยอมรับว่ามีหลายท่านไม่เห็นด้วย แต่ตนขอเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยมายืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังอยู่เคียงข้างกับคนเสื้อแดงตลอดมาและตลอดไป แต่พรรคเพื่อไทยเรามีอุปสรรค และมีความยากลำบากในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยถูกตราหน้าว่าเป็นการทำนิรโทษกรรมสุดซอย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการทำนิรโทษกรรม เพราะเรายืนยันสนับสนุนเรื่องนี้มาตลอดว่า การนิรโทษกรรมเป็นขบวนการก้าวข้ามความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา

 

ทั้งนี้นายชนินทร์ ได้กล่าวด้วยว่า พร้อมน้อมรับความเห็นต่างทุกความเห็น ซึ่งเรื่องนิรโทษกรรมขณะนี้ กรรมาธิการวิสามัญกำลังอยู่ระหว่างศึกษาอยู่

 

จากนั้น นพ.เหวง ได้กล่าวฝากนายชนินทร์ ให้ไปถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้าพรรค แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะไม่อยากเป็นประเด็น ว่าเห็นด้วยกับการยึดอำนาจรัฐประหารหรือไม่ พร้อมกับขอให้นำตัวทหารที่ฆ่าประชาชนมาลงโทษ เพราะพรรคเพื่อไทยดันไปจับมือกับคสช. ก่อนกล่าวด้วยว่า เพื่อไทยได้เอาสีแดงไปเป็นโลโก้ เพราะต้องการให้คนเสื้อแดงโหวตให้ แต่ก็ยังดึงคนมาไม่ได้ เนื่องจากคุณไม่มีความซื่อสัตย์ต่อประชาชน ดังนั้นหากจะให้ประชาชนคนเสื้อแดงกลับมา เพื่อไทยจะต้องเสนอเป็นญัตติแก้ไขกฎหมายให้ทหารขึ้นศาลพลเรือน และตั้งส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด

 

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ในกล่าวว่าวันนี้บรรยากาศแตกต่างไปจากทุกปี เพราะพี่น้องที่เคยต่อสู้กับคนเสื้อแดงมีความเชื่อทางการเมืองต่างกันเสียแล้ว แต่ไม่ว่าจะเชื่ออย่างไร อยากให้เก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ เพราะตนเข้าใจความรู้สึกของญาติวีรชน ตัวแทนพรรคการเมือง และผู้ที่มาร่วมงานทุกคน จึงขอขอบคุณทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะก้าวไกล และเพื่อไทย ที่ส่งตัวแทนมา เพราะทั้งนายชนินทร์ และ นางสาวศศินันท์ เป็นลูกหลานคนเสื้อแดงที่ต่อสู้กับเรามาเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเห็นอย่างไร หรือสังกัดพรรคไหน แต่น่าภูมิใจว่าเด็กที่ต่อสู้กับเรามาวันนี้ได้เป็นสส.แล้ว จึงอยากฝากคนเสื้อแดงว่า ไม่ว่าวันนี้จะใส่เสื้อสีอะไรก็ยังเป็นเสื้อแดง ไม่ว่ามวลชนจะเป็นกปปส.ที่เป่านกหวีด หรือ เสื้อแดงตนไม่รู้สึกอาฆาต ว่าจะต้องให้ใครติดคุกมากกว่ากัน แต่อยากให้ปล่อยนักโทษทุกคน รวมถึงผู้ติดคุกในคดีมาตรา 112 เพราะเมื่อ 14 ปีที่แล้ว เราอยู่ด้วยกันบนถนนเส้นนี้ ด้วยจิตใจที่ผูกพัน

 

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรม เกี่ยวกับคดีสลายการชุมนุมปี 53 ที่มีอายุความเหลือเพียง 1 ปี จาก 15 ปี ของกฎหมาย ป.ป.ช. ด้วยว่า ขออย่ามองในเรื่องของพรรคการเมือง โดยอยากให้มีการแก้กฎหมายป.ป.ช. ให้นำคดีที่ป.ป.ช.ยกคำร้องส่งให้อัยการไปพิจารณาฟ้องต่อ นอกจากนี้ ยังยืนยันด้วยว่าตนยังเป็นเสื้อแดงอยู่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ โดยยังสามารถสบตากับพี่น้องคนเสื้อแดงและภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตได้ ขณะเดียวกัน ยังยืนยันด้วยว่า จะยังไม่หยุดเคลื่อนไหวและมุ่งแก้รัฐธรรมนูญต่อไป เพราะการเมืองแบบนี้ต้องอดทนและมุ่งมั่นเดินไปข้างหน้า จึงไม่แปลกที่คนใส่เสื้อแดงจะเชื่อคนละอย่าง วางใจคนละพรรค รักคนละกลุ่ม ฉะนั้นหากวันนี้พี่น้องเลือกก้าวไกล ตนก็เคารพ จะไปประนามไม่ได้ อยากให้มองไปข้างหน้าตนไม่รู้ว่ามีสิทธิ์จะพูดหรือไม่ แต่อยากให้เรากระทบกระทั่งความรู้สึกกันให้น้อยลง เพราะคำพูดและการกระทำที่ฝ่ายตรงข้ามกระทำกับเราเจ็บน้อยลงเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เคยกอดคอมาด้วยกัน

 

ด้าน นางสาวศศินันท์ เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลในการกล่าวคำรำลึก ระบุว่าเหตุการณ์ 14 ปีที่แล้วเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของคนหลายคน รวมทั้งตนที่เป็นนักศึกษาเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ครั้งแรกได้เริ่มสนใจการเมืองอย่างเข้มข้น และปฎิเสธไม่ได้ว่าวีรชนและแกนนำ นปช. วันนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ตนสนใจทำงานทางการเมืองต่อไป

 

นางสาวศศินันท์ยังกล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่วันนี้พรรคก้าวไกลมุ่งหวังขับเคลื่อน คือการเรียกร้องให้มีการประกันตัวนักโทษทางการเมืองที่ถูกขังอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีการนิรโทษกรรมเมื่อไหร่ แต่ระหว่างนี้ที่มีการประชุมสัปดาห์ละครั้งของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มันคือคนในเรือนจำที่คอยอยู่และเวลาของเขายาวนานกว่าเรา และก่อนที่จะมีการนิรโทษกรรม สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการค้นหาความจริงให้กับผู้ที่เสียชีวิต การค้นหาความจริงเป็นอีกกระบวนการหนึ่งในการเยียวยานอกเหนือจากการเดินหน้าคดีความต่าง ๆ ให้ผู้เสียชีวิตถูกพูดถึงในมุมของการเสียสละของพวกเขา

 

จากนั้นเป็นการอ่านแถลงการณ์ร่วมเครือข่ายองค์กรและกลุ่มนักศึกษา 26 องค์กรกรณี 14 ปีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

 

และปิดท้ายด้วยการจุดเทียนสีแดงรำลึกและวางดอกไม้ อธิษฐานจิตต่อดวงวิญญาณวีรชน เมษา-พฤษภา53 โดยได้มีการเปิดเพลงนักสู้ธุลีดินที่ประพันธ์และขับร้องโดยจิ้น กรรมาชน ประกอบไปด้วย เป็นกิจกรรมสุดท้าย ก่อนยุติในเวลา 18.30 น.

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #14ปีเมษาพฤษภา53