ยุบสภาวันไหน
เอาที่นายกฯ สบายใจเลย “ณัฐวุฒิ” แจง! พร้อมเจอในสนามเลือกตั้ง
ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน!
เมื่อวันที่
22 กุมภาพันธ์ 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย
ได้กล่าวผ่านยูทูป ทางช่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official ในประเด็น
: ยุบเมื่อไหร่ก็ช่าง เจอกันในสนามเลือกตั้ง
แบบประยุทธ์ถูกต้ม ? โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวในรายการว่า
นายกรัฐมนตรีพูดถึงกำหนดยุบสภาอย่างเป็นทางการครั้งแรกนะครับว่าจะภายในเดือนมีนาคมนี้
หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าคงเป็นราววันที่ 15 มีนาคม แต่สำหรับผม เมื่อไหร่
ยังไง ก็ได้ครับ เอาเลย เอาที่ พล.อ.ประยุทธ์ สบายใจ จะยุบวันนี้ วันที่ 22 มีนา หรือวันที่ 23 วินาทีสุดท้าย
เอาที่ท่านว่าเถอะครับ เราพร้อมที่จะเจอกันในสนามเลือกตั้ง
ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าจะมองจากมุม พล.อ.ประวิตร ผมว่าเร็ว ๆ หน่อยก็ดีนะ
ท่านจะได้ประหยัดเงินซื้อเสื้อ ลายมาดขึ้นทุกทีแล้วนะครับ
เอาล่ะ
ทีนี้กลับมาเรื่องของการยุบสภาครับ
แม้ว่าอาจจะยังมีข้อวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งต้องรอกันอยู่ว่าการนับรวมเอาคนต่างด้าวเข้าไปในเขตเลือกตั้งจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
แต่ไม่ว่าจะตัดสินออกมายังไงนะครับ
เชื่อว่าการเลือกตั้งก็จะไม่หลุดเกินไปจากกรอบวันที่ 7
พฤษภาคม ที่กกต.ได้วางเอาไว้ ไม่น่าจะมีเกม
ไม่น่าจะมีกลอะไรที่จะทำให้การเลือกตั้งต้องล่าช้าออกไป
หรือกระทั่งล้มเลือกตั้งไม่ให้มีการลงคะแนน
หลังจากนี้คงเห็นทุกพรรคเร่งสปีดเร่งขยับตัวทั้งเรื่องเปิดตัวผู้สมัคร
เรื่องการลงพื้นที่ และการประกาศนโยบายเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ
ในขณะที่ปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้นทุกวัน
ไปดูทางด้านส.ว.นะครับ เมื่อวานนี้มีการประชุมวุฒิสภา ที่ประชุมไม่ล่ม
แต่ญัตติล่มครับ เป็นญัตติที่สภาผู้แทนราษฎรเขาเห็นชอบตรงกันมาแล้วว่าจะให้มีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียในช่วงของการเลือกตั้งนี้
ส.ว.อภิปรายกันยกใหญ่ได้ความประมาณว่า ไม่ควรที่จะมีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเป็นพวกเชื่อไม่ได้
เป็นพวกทำให้บ้านเมืองมีความเสียหาย
ส่วนส.ว.ที่พล.อ.ประวิตรเลือกให้พล.อ.ประยุทธ์ตั้ง
คนพวกนี้คือคนดีที่จะเข้ามาถ่วงดุลตัวแทนจากการเลือกตั้งของประชาชน ระหว่าง
“ถ่วงดุล” กับ “ถ่วงความเจริญ” พิจารณากันเอาเองนะครับว่าส.ว.กำลังทำอะไรอยู่
สัญญาณแบบนี้ชัดเจนไม่ต้องหมุนเสานะครับว่าส.ว.คณะนี้ไม่สนใจใยดีต่อความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชนเลย
ไม่มีแนวความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
และไม่มีแนวความคิดที่จะรับฟังการตัดสินใจของประชาชน
ดังนั้นหลังการเลือกตั้งถ้ารวมไทยสร้างชาติได้คะแนนเสียงมากพอที่จะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
ได้
จะเห็นส.ว.เหล่านี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะดันพล.อ.ประยุทธ์สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจเขาชัดเจนมาก ส.ว.เขายิ่งชัดเจนหนักขึ้นไปอีก
อยู่ที่ประชาชนล่ะครับว่าจะตัดสินใจให้ชัดเจนได้หรือยัง
ว่าเลือกตั้งคราวนี้ต้องเทคะแนนไปให้พรรคใดพรรคหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตยชนะอย่างเด็ดขาด
จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้นมาให้ได้ พลาดคราวนี้พลาดยาวนะครับ
รัฐธรรมนูญนอกจากจะไม่ได้แก้เป็นฉบับประชาชนแล้ว ถ้าจะมีการแก้ก็จะเพียงแค่กรอบเวลา
8 ปี ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส.ว.เขาเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์แน่ ๆ
ในทางกลับกันนะครับ
ถ้าหากคนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหรือคนของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี
ส.ว.กลุ่มนี้จะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราใด ๆ เลย แม้แต่วาระ 8 ปีก็ตาม
เอากันชัด ๆ ง่าย ๆ แบบนี้ล่ะครับ นาทีนี้ไม่มีใครอายใครกันแล้ว
มาดูในซีกพรรคการเมือง
หลายพรรคก็มีสถานการณ์ที่น่าสนใจนะครับ “ประชาธิปัตย์” พลันที่คุณสาธิต ปิตุเตชะ
โยนข้อเสนอให้คุณจุรินทร์หัวหน้าพรรค ไปตามคุณอภิสิทธิ์อดีตหัวหน้าพรรค กลับเข้าพรรค
ช่วยลงพื้นที่และทำงานสนามเลือกตั้ง คุณจุรินทร์ได้แต่นั่งเงียบ มีแต่รอยยิ้ม
ซึ่งแปลความไม่ได้ว่าคืออะไร?
ส่วนคุณอภิสิทธิ์ก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาชัดเจนนัก
ส่วนตัวผมมองเข้าไปก็เชื่อว่าใจคุณจุรินทร์ไม่อยากได้คุณอภิสิทธิ์มาชั่วโมงนี้หรอกครับ
ตัวคุณจุรินทร์เองอยากถือธงนำพรรคประชาธิปัตย์และกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันลงสู่สนามเลือกตั้งสู้กันให้สมศักดิ์ศรีสักยกหนึ่งดีกว่า
ส่วนคุณอภิสิทธิ์ผ่าหัวใจดูก็เชื่อว่าลึก
ๆ คงไม่ต้องการกลับเข้ามาแล้วมาอยู่ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ลำดับอื่นที่ไม่ใช่ลำดับ 1
ไม่ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรค
ดังนั้นสิ่งที่น่าจะเป็นคือคุณจุรินทร์และคณะทั้งหมดนำพาพรรคประชาธิปัตย์ลงสู่สนามเลือกตั้ง
ซึ่งผลการเลือกตั้งก็คงจะได้ไม่มากมายไปกว่าเดิมนะครับ
หลังจากนั้นกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันก็จะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก
ลาออกไปแล้ว
สมาชิกพรรคส่วนหนึ่งก็จะไปเชิญคุณอภิสิทธิ์กลับมา ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในพรรค
เป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง เมื่อคุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค
ภารกิจแรกที่จะทำก็คือพยายามไปตามคนประชาธิปัตย์ที่แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปอยู่ตามพรรคต่าง
ๆ กลับมา ซึ่งภาพที่ปรากฏในสายตาประชาชนก็คือภาพเก่าอยู่ดีนะครับ
ไม่มีผลต่อคะแนนนิยมที่จะยกระดับสูงขึ้นแต่อย่างใด ไม่ได้สบประมาทกันนะครับ
แต่มองจากสายตาของการวิเคราะห์ทางการเมือง ผมเห็นภาพแบบนี้จริง ๆ
ส่วน
“รวมไทยสร้างชาติ” ก็มีสีสันน่าตื่นตาตื่นใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนะครับ ล่าสุดเห็นส่งแม่ทัพนายกองขุนพลทั้งหลายไปคุมภูมิภาคต่าง
ๆ ที่อีสานนี่น่าสนใจเลย เอาอดีตส.ส.หลายสมัยจากปากใต้นี่แหละครับ ข้ามห้วยไปคุม
ไปถึงก็ประกาศว่าได้พูดคุยกับคนเสื้อแดงในอีสานมากมายซึ่งเป็นแถวสองของพรรคเพื่อไทย
คนนะครับไม่ใช่ปลาหมึกปิ้ง ไปบอกว่าเขาเป็นแถวสองแล้วจะชวนเขาลงผู้แทน
อย่างนี้หัวใจของคนที่เขาไปคุยด้วยเขาจะว่ายังไง?
คึกครื้นนะครับ
เพราะว่าขุนพลแต่ละคนเป็นเจ้าของคะแนนเสียงมหาศาลทั้งนั้น แทนที่จะเอา “ซิลเวสเตอร์
สตอลโลน” มา ก็ไปเอา “แรมโบ้” ที่ไหนมาก็ไม่รู้ เป็นแม่ทัพเข้าอีกคนนึง “อานนท์
นำภา” ก็ไม่ใช่ ไปได้อีกอานนท์นึง
ขุนพลอีสานของรวมไทยสร้างชาตินี่น่าสนใจทีเดียวนะครับ ไม่รู้ไปคุยกันยังไง
พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเชื่อกันไปได้ขนาดนี้ งานนี้ไม่มีผัด ไม่มีทอดอะครับ
หนักไปทางต้ม!!!
ส่วนทางด้านพรรคฝ่ายค้าน
เห็นข่าวว่ามีคลื่นลมภายในอยู่หลาย ๆ พรรคเหมือนกันนะครับ หวังว่าคลื่นลมนั้นจะสงบโดยเร็วเพราะมีศึกใหญ่รออยู่ข้างหน้า
ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้คราวนี้ แพ้ยาวครับ
แต่ถ้าชนะแล้วแก้ปัญหาให้กับประชาชนประเทศชาติได้ ชนะยาว ๆ ไปเหมือนกัน