"ทนายวิญญัติ" เผย ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 3 จำเลย คดี "ร่มเกล้า" เหตุฟ้องซ้อน พยานโจทก์ให้การขัดแย้งกัน ไม่น่าเชื่อถือ
วันที่
21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีการเสียชีวิตของ
พล.อ.รุ่มเกล้า ธุวธรรมและนายทหารอีก 4 นาย บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ถนนดินสอ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ
ธุวธรรม ร่วมกันเป็นโจทก์ ฟ้อง นายสุกเสก พลตื้อ หรือ เสก, นางกนกพร
ศิริพรรณาภิรัตน์ และนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ หรั่ง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ,
พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คดีดังกล่าว
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15
พฤศจิกายน 2552 ถึง 20 พฤษภาคม 2553 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ร่วมกันชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง กระทั่งวันที่
7 เมษายน 2553 นายอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร
และออำคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินกลางตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
วันที่
10 เมษายน 2553 จำเลยที่ 1
และจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ M67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2
เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและจัดหาระเบิดให้
พวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2
ลูกใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ
เป็นเหตุให้ พล.อ.ร่มเกล้า กับนายทหารรวม 5 นาย เสียชีวิต
และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา
“ยกฟ้อง” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ระบุว่าคำเบิกความพยานโจทก์มีข้อพิรุธ ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ
ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ และศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลยเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้าย
ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อน
พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3
ในวันนี้
ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษา โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ (คดีอื่น)
ต่อมาทนายวิญญัติ
ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน “ยกฟ้อง” จำเลยทั้ง 3 คน
โดยศาลวินิจฉัยประเด็นแรกว่า จำเลยที่ 1-3
ในคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดี นปช.ก่อการร้าย หรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า
บทบัญญัติเรื่องฟ้องซ้อนในคดีอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องฟ้องซ้อน มาตรา 173 มาบังคับใช้โดยอนุโลม
ที่ห้ามมิให้โจก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น
ซึ่งคดีนั้นโจทก์บรรยายฟ้องคดีทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนนั้นชอบแล้ว
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3
ทนายวิญญัติ
กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่
1 และจำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้อง
หรือไม่ คดีจึงมีข้อที่ศาลต้องพิจารณาก่อนว่าจำเลยที่ 1
และจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า
คำให้การชั้นสอบสวนของพานที่อ้างว่ามีลูกระเบิดอยู่ในกระเป๋า และเห็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าที่ข้างเต็นท์
ข้อนำสืบของพยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าสะพาย ต่อมาทราบว่าเป็นลูกระเบิด M67 จึงเป็นข้อกล่าวอ้างในชั้นพิจารณาโดยไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การพยาน
2 ปากดังกล่าวกลับยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีลูกระเบิด M67 ติดตัวคนละ 3 ลูก โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยนำลูกระเบิดติดตัวมาจากที่ใด
ศาลมองว่า
ทราบได้อย่างไรว่าจำเลยมีลูกระเบิด M67 ติดตัวคนละ 3 ลูก ข้อนำสืบของพยานไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนซึ่งเป็นสาระสำคัญ
อีกทั้งพยานบางปากเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง จึงไม่มีน้ำหนักให้รรับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์
ส่วนที่พยานให้การว่า
จำเลยที่ 3 เล่าให้ฟังว่าอยู่ในเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่ทหารเท่านั้น
และยังมีพยานพบจำเลยที่ 1 ถือและใช้อาวุธเครื่องยิงระเบิด M79 ยิงใส่ทหาร และกระสุนมีทิศทางมาจากฝั่งผู้ชุมนุม
พยานหันไปมองวัตถุดังกล่าว และมีการระเบิดขึ้น
ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ด้านหน้าพยานล้มลง
แต่ก็มีพยานปากนายทหารให้การว่าเห็นวัตถุสีดำกลิ้งมาจากฝั่งผู้ชุมนุม
วัตถุดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น
คำให้การชั้นสอบสวนจึงแตกต่างจากคำเบิกความที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่
1 ขว้างระเบิดออกมาจากบ้านโบราณ
ในข้อสาระสำคัญย่อมทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธน่าสงสัยอยู่ตามสมควร
พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 กระทำผิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2
จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2
มานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้อง