วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

"จิราพร" ประกาศ พ.ร.บ.THACCA เสร็จกลางปี 68 - เปิด TCDC 14 จังหวัด สร้างโอกาส สร้าง 12 อาชีพ ไปไกลทั่วโลก คิกออฟ OFOS มิ.ย.นี้

 


"จิราพร" ประกาศ พ.ร.บ.THACCA เสร็จกลางปี 68 - เปิด TCDC 14 จังหวัด สร้างโอกาส สร้าง 12 อาชีพ ไปไกลทั่วโลก คิกออฟ OFOS มิ.ย.นี้


วันที่ 3 พ.ค. 67 ในงาน "10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10" ของพรรคเพื่อไทย งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่างๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยน.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐาจัดตั้ง หนึ่งในคำที่โด่งดังและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือคำว่า Soft Power จากการสื่อสารอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล โดย 1 สัปดาห์หลังจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และเพียงแค่ 1 วันหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา มีการตั้ง ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ’ และคณะทำงาน 12 คณะ ครอบคลุม 11 อุตสาหกรรม มีผู้เชี่ยวชาญจากทุกอุตสาหกรรมเป็นประธาน ทำงานบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน


น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า จะเริ่มเดินหน้าโครงการที่จะพัฒนาคนในทุกอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่จะใช้ Soft Power พัฒนาแรงงานไทยและสร้างงานกว่า 20 ล้านตำแหน่ง รายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ผ่านโครงการ “หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์” เปิดให้ลงทะเบียนในเดือนมิ.ย.นี้ และกำลังอยู่ในระหว่างการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือ พ.ร.บ.THACCA (Thailand Creative Culture Agency) คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2568 พร้อมกันนี้ กำลังเตรียมการเปิดศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC เพิ่มอีก 10 จังหวัด และในปี 2568 จะมีศูนย์ TCDC ครอบคลุม 14 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ที่สร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ Soft Power และจะจัดให้มีสถานีโทรทัศน์ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ เปิดพื้นที่ให้คนในอุตสาหกรรม Soft Power ได้ปลดปล่อยศักยภาพ


รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ในปี 2570 สินค้า บริการ และศักยภาพของคนไทยเดินหน้าเข้าสู่เวทีระดับโลกอย่างต่อเนื่อง จะมีร้านอาหารไทย เพิ่มขึ้นมากถึง 100,000 ร้านทั่วโลก ,มวยไทย จะต้องถูกสอนในยิมกว่า 100,000 แห่ง ,หนังสือไทย จะต้องถูกแปลเป็นภาษาที่สาม และถูกวางอยู่ในร้านหนังสือต่างประเทศ , ศิลปินไทย วงดนตรีไทย T-POP จะต้องได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีนานาชาติ , เทศกาลสงกรานต์ จะต้องถูกจดเป็น IP Festival และกลายเป็นเทศกาลที่คนทั่วโลกอยากมาสักครั้งหนึ่งในชีวิต ,ภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ จากประเทศไทยจะสร้างกระแสความนิยมอย่างกว้างขวางและประเทศไทยจะกลายเป็นจุดหมายที่ค่ายหนังระดับโลกเลือกมา


“พรรคเพื่อไทยจะใช้ทุกวินาทีต่อจากนี้อย่างคุ้มค่า เมื่อได้เริ่มเดินหน้า เราจะไม่มีวันหยุด เราจะทุ่มทุกสรรพกำลังที่มีเพื่อต่อยอดสิ่งที่เราวางรากฐานไว้ในอดีต ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปไกลกว่าทุกวันนี้ เพื่อเป้าหมายสำคัญคือการยกระดับรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน” น.ส.จิราพร กล่าว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย

‘ชัยธวัช’ ขีดเส้น 1 เดือน ให้รัฐบาลส่งร่างแก้กม.ประชามติต่อสภาฯ ชี้หากรัฐบาลสื่อสารเรื่องนี้ไม่ชัด อาจถูกครหายื้อเวลา

 


ชัยธวัช’ ขีดเส้น 1 เดือน ให้รัฐบาลส่งร่างแก้กม.ประชามติต่อสภาฯ ชี้หากรัฐบาลสื่อสารเรื่องนี้ไม่ชัด อาจถูกครหายื้อเวลา

 

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งส่งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ (แก้ไขเพิ่มเติม) ต่อสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่มีมติชัดเจนว่าจะแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มทำประชามติถามประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งตนมองว่าควรเร่งทำให้เร็วที่สุด ภายในเวลา 1 เดือน และในช่วงเดือนมิ.ย. ที่สภาฯ จะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ควรเริ่มพิจารณาได้ เพราะขณะนี้มีร่างแก้ไขที่บรรจุในวาระแล้ว คือ ฉบับของพรรคก้าวไกล และของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นควรร่วมมือกันทำ ให้พ.ร.บ.ประชามติฉบับแก้ไขประกาศใช้เร็วที่สุด

 

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่าระหว่างที่รอแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ตนมองว่ารัฐบาลมีเวลาที่จะทบทวนคำถามประชามติ ซึ่งฝ่ายค้านได้ท้วงติงไปแล้วว่า คำถามที่รัฐบาลเห็นชอบกับข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นคำถามที่มีปัญหาและไม่ดีในเชิงหลักการของการตั้งคำถามประชามติ โดยการตั้งคำถามที่ดีต้องไม่ซับซ้อน หรือเป็นคำถามซ้อนคำถาม และคำถามที่ดีที่สุด คือ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

ควรเอาความเห็นต่างในรายละเอียดออกไป ขณะที่ความเห็นต่างนั้น รัฐบาลสามารถใส่ไว้ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เตรียมเสนอต่อรัฐสภาได้ หากประชามติผ่านแล้ว ดังนั้นในชั้นประชามติไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดที่คนเห็นต่างกัน หากอยากให้ประชามติผ่าน หรือเป็นเอกภาพที่สุด” นายชัยธวัช กล่าว

 

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจน นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นปัญหาของรัฐบาลที่สื่อสารไม่ชัดเจน เพราะในวันที่ ครม. มีมติต่อการทำประชามติ เมื่อ 23 เม.ย. ในเอกสารที่เผยแพร่ในเว็ปไซต์ของรัฐบาลไม่ชัดเจนว่ามีมติอย่างไร จนล่าสุดมีมติว่าต้องแก้พ.ร.บ.ประชามติก่อนทำประชามติครั้งที่หนึ่ง ดังนั้นการทำประชามติรอบแรกในเดือนส.ค. จะไม่เกิดขึ้น เพราะต้องรอแก้ พ.ร.บ.ประชามติก่อน

 

เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวถือว่าจงใจยื้อเวลาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวย้ำว่า ตนมองว่ารัฐบาลต้องสื่อสารตรงไปตรงมาและชัดเจนกับประชาชน ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่ายื้อเวลา กลับไปกลับมา

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ

“เพื่อไทย” เปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.สู้ศึกเลือกตั้ง เน้นคนในพื้นที่ ทำงานเพื่อ ปชช. พร้อมเปิดตัวเพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ” โดยคณะหมอลำ “รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์”

 


เพื่อไทย” เปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.สู้ศึกเลือกตั้ง เน้นคนในพื้นที่ ทำงานเพื่อ ปชช. พร้อมเปิดตัวเพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ” โดยคณะหมอลำ “รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์”

 

วันที่ 3 พ.ค.67 ภายในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ของพรรคเพื่อไทย งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ซึ่งจะหมดวาระลงในช่วงปลายปีนี้ โดยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคเพื่อไทย บางส่วน รวม 9 คน

 

ได้แก่ นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน (นายก อบจ. ลำพูน ปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามายกระดับจังหวัดลำพูนสู่เมืองกีฬา โดยจะพัฒนาสนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องให้สำเร็จ

 

นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.แพร่ (นายก อบจ.แพร่ปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนสานงานต่อเนื่องให้สำเร็จ

 

น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำปาง (นายก อบจ.ลำปางปัจจุบัน) พร้อมเข้ามาผลักดันการท่องเที่ยวแบบมีเป้าหมาย ส่งเสริมอุทยานธรณี หรือ จีโอพาร์ค ส่งเสริมให้แหล่งทรัพยากรที่มีมาก ทั้งเหมืองแม่เมาะ ซากดึกดำบรรพ์ โบราณสถาน วัดเก่าแก่ จำนวนมาก

 

นายศราวุธ เพชรพนมพร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี อดีต สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ขออาสาเข้ามาพัฒนาระบบสาธารณูปโภค พัฒนาแหล่งน้ำที่สะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการ แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในจังหวัดเพื่อพี่น้องประชาชน

 

นายวิเชียร สมวงศ์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ยโสธร (นายก อบจ.ยโสธรปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามาสานต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในพื้นที่ให้สำเร็จ พร้อมชูโครงการสร้างศูนย์ฟอกไตสำหรับบริการประชาชน ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไต ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนในจังหวัดยโสธร

 

นายอนุชิต หงษาดี ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม อดีตนายก อบต.โพนสวรรค์ มาพร้อมแนวคิด ‘คนรุ่นใหม่ เข้าใจปัญหา พัฒนานครพนม’ ขออาสาเข้ามาดูแลโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสร้างแอปพลิเคชันให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแต่ละอำเภอ พัฒนาสาธารณูปโภคเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น

 

นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคาม คนรุ่นใหม่ใส่ใจประชาชน คุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดีเนื่องจากลงพื้นที่แูแลพี่น้องประชาชนร่วมกันกับพี่ชาย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด ขออาสาเข้ามาดูแลชาวมหาสารคามตั้งแต่วัยเด็กถึงผู้สูงวัยเพื่อไทย เพื่อมหาสารคาม’

 

นายอัครา พรหมเผ่า ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา (นายก อบจ.พะเยาปัจจุบัน) พร้อมพัฒนาต่อยอดโครงการส่งเสริมอาชีพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ จ.พะเยา เพิ่มแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน เพิ่มขีดความสามารถ และขยายโอกาสด้านการศึกษา พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์ Daycare ร่วมกับหน่วยงานในเครือข่ายเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น

 

นายมนู พุกประเสริฐ ว่าที่ผู้สมัคร นายก อบจ.สุโขทัย (นายก อบจ. สุโขทัยปัจจุบัน) อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย 2 สมัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขออาสาเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนสานงานต่อเนื่องให้สำเร็จ

 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแสดงของคณะหมอลำคณะรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ ร่วมขับร้องเพลงหมอลำ ที่รวบรวมนโยบายของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไพเราะสนุกสนาน โดยหมอลำคณะนี้เปรียบเสมือนโรงเรียนสอนหมอลำที่ถ่ายทอดการแสดงศิลปะอีสานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมหมอลำอีสาน ประจำ จ.ขอนแก่น จากศูนย์วัฒนธรรม จ.ขอนแก่น

 

สำหรับเพลงหมอลำที่คณะรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ คือ เพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ




“เพื่อไทย” จัดอีเวนต์ใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร นายกอบจ. “แพทองธาร” ยันตัดสินใจถูกต้องมาก ที่จัดตั้งรัฐบาลผสม เมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ชี้ “ครม.เศรษฐา 2” ถูกฝาถูกตัว นโยบายการเงิน ต้องดันเศรษฐกิจประเทศ ด้วย

 


เพื่อไทย” จัดอีเวนต์ใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร นายกอบจ. “แพทองธาร” ยันตัดสินใจถูกต้องมาก ที่จัดตั้งรัฐบาลผสม เมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ชี้ “ครม.เศรษฐา 2” ถูกฝาถูกตัว นโยบายการเงิน ต้องดันเศรษฐกิจประเทศ ด้วย

 

วันนี้ (3 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ พรรคเพื่อไทย จัดงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ งานแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเข้าสู่เดือนที่ 9 พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยภายในงาน มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คณะรัฐมนตรีสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรค ผู้บริหารพรรค, สส., ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของพรรคเพื่อไทย และ บุคลากรของพรรค เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่าเราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนชาติ จากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ประชาชนขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

 

เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

 

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

 

ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆได้ และมี super app ในการบริการ ทุกมิติของภาครัฐ และเราจะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฏหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็น Hub ทั้งการบินและการเงิน ของอาเซียนให้ได้

 

ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย

 

พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี มีรัฐมนตรีที่เก่ง สร้างอนาคตให้ประเทศไทย และที่สำคัญ จะต้องสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้คู่แข่งพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา ด้อยค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยไทยรักไทย เกิดวาทกรรม “30 บาทตายทุกโรค” แต่ทุกอย่างผ่านไป ด้วยการทำงานนโยบายสำเร็จ ผลงานเท่านั้นจะพิสูจน์ ไม่ใช่วาทกรรม หรือการใส่ความต่อว่าจากใคร เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคใช้ได้จริง และกำลังเดินหน้าพัฒนาครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เป็น 30 บาทรักษาทุกที่”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว

 

น.ส.แพทองธาร ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์ พรรคเพื่อไทยในอนาคต จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี สร้างอนาคตให้ประเทศไทย พร้อมเปิดตัว ทีม PTP Academy อย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) หน่วยงานพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ เปิดพื้นที่เชื่อมโยงการทำงานของพรรคกับหน่วยงานข้างนอก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วระยะหนึ่ง มีการจัดอบรมเพิ่มองค์ความรู้ให้กับ สส.ของพรรค เพื่อให้การทำงานการเมืองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

พรรคเพื่อไทยจะครองสติ ไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมส์โต้ตอบไปมาเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในมือซึ่งกำลังลงมือทำ และเราทำได้ อย่างแน่นอน ในขณะที่นโยบายกำลังเดินไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็กำลังพัฒนาไม่หยุดยั้งเพื่ออนาคตของประเทศไทย รัฐบาลเพิ่งปรับ ครม. ซึ่งมีเสียงจากนักวิชาการหลายท่านที่น่าเชื่อถือได้ให้คำยืนยันว่า ถูกฝาถูกตัวมากที่สุด ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีทางเลยที่เราจะแย่กว่าเดิม เรารู้ว่าการทำงานให้บ้านเมืองนั้น เป็นงานที่ Thank Less and End Less ต้องทุ่มเทและไม่มีวันสิ้นสุด แต่เราเต็มใจที่จะทำ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญของประเทศ นางสาวแพรทองธาร กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #แพรทองธารชินวัตร

"จาตุรนต์" ซัดระเบียบ "กกต." ทำให้การเลือก " สว." แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก !

 


"จาตุรนต์" ซัดระเบียบ "กกต." ทำให้การเลือก " สว." แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก !

 

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ระบุว่า

 

ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา มีปัญหาอย่างมากทั้งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ยิ่งไปกว่านั้นไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะจงใจปิดกั้นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่าย ทั้งผู้สมัคร ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้สมัคร ประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีส่วนร่วม รวมไปถึงสื่อมวลชน

 

ขัดต่อ “พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา” ได้แก่

 

- ในมาตรา 21 ระบุว่า “ให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับอำเภอต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครที่อย่างน้อยต้องระบุอาชีพและอายุของผู้สมัครให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป…” จะเห็นเลยว่าเจตนาของกฎหมายต้องการให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่ระเบียบกลับห้ามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ

 

- ในมาตรา 37 และมาตรา 38 ที่กฎหมายจะระบุชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ไปหาเสียงกันในวันเลือกตั้ง แต่ตอนที่จะแนะนำตัวก่อนถึงช่วงเลือกนั้นได้ระบุไว้ในมาตรา 36 ว่า “ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด…” จะเห็นว่าในมาตรานี้ไม่ได้ระบุว่าห้ามทำสิ่งใดเหมือนในมาตรา37และ38 แต่ กกต.กลับออกระเบียบห้ามสารพัดจึงถือว่าการออกระเบียบนี้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้

 

ขัด “รัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย” ได้แก่

 

- มาตรา 114 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย…” : ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหลักประชาธิปไตยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจะต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แต่ระเบียบกลับออกมาไม่ให้ประชาชนรับรู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

 

- สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยดูจากระเบียบ ข้อ 11 ที่จงใจไม่ให้สื่อมวลชนมาทำหน้าที่ แม้ไม่ได้ห้ามสื่อมวลชนโดยตรงเพราะในรัฐธรรมนูญจะถือว่าไปจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อ แต่กกต.ไปพลิกแพลงห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแทน รวมถึงห้ามแจกใบปลิว ห้ามติดป้ายประกาศ ห้ามลงสื่อออนไลน์ จึงเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดมากที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆทั้งสิ้น แต่จำกัดข้อมูลอยู่แต่ผู้สมัครด้วยกัน ก็หมายความว่าผู้สมัครจะต้องส่งไลน์หรือสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมาส่งประวัติเท่านั้น

 

ทั้งนี้ในระบบกติกาแบบนี้ต้องการให้สว.เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ แต่วิธีการเลือกแบบไขว้คือผู้ที่จะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพที่ได้รับเลือกในขั้นตอนสุดท้ายจะมาจากการเลือกของผู้ที่อยู่ในอาชีพอื่นเป็นหลัก ดังนั้นการเลือกคนในกลุ่มอาชีพใดกลุ่มอาชีพหนึ่งนี้โดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย แล้วประชาชนก็ไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องเลย ก็หมายความว่าจะไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าผู้ที่ได้รับเลือกมีความเหมาะสมจะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพได้จริง

 

การทำแบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งแย่กว่าการจับฉลาก มันจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะแทนที่ กกต.จะไปให้ความสำคัญ กับการป้องกันการทุจริต เช่น คนมีอำนาจ คนมีเครือข่าย คนมีเงินมากๆจะได้เปรียบมาก ที่สามารถจะจ้างคนจำนวนมากๆไปสมัคร แต่ กกต.กลับไม่เน้นเรื่องนี้

 

ที่แย่ไปกว่านั้น กกต.ไม่เข้าใจเลยว่าว่าการป้องกันการทุจริตเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้มากที่สุด ประชาชนถึงจะช่วยป้องกัน ช่วยกันตรวจสอบ เพราะฉะนั้นการแนะนำการเชิญชวน ให้มีการมาสมัครกันมากๆก็ดี การให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนให้มากๆก็ดี หรือการให้ผู้ที่สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องควรห้ามแต่เป็นเรื่องควรส่งเสริมอย่างจริงจัง

 

เปรียบเทียบได้จากเงื่อนไขการเลือกตั้งสส. ที่ห้ามจูงใจด้วยการสัญญาว่าจะให้ ห้ามจัดมหรสพ หรือการข่มขู่ แต่สามารถจูงใจได้ถ้าทำโดยสุจริต ทั้งจูงใจให้ไปเลือกตั้งหรือแม้กระทั่งจูงใจให้ไปเลือกผู้สมัครแต่ละคน ซึ่งตรงข้ามกับกฎระเบียบการเลือก สว. ที่ห้ามไม่ให้จูงใจให้คนไปสมัคร และห้ามไม่ให้ข้อมูลแก่ประชาชน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สมัครเป็นที่ยอมรับของคนในอาชีพนั้นหรือไม่ ผู้สมัครมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับป้องกันการไปทุจริตคอรัปชั่น มีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลให้ได้องค์กรอิสระ หรือเวลาจะรับรอง ประธานตุลาการ ศาลปกครอง อัยการ การไปทำหน้าที่สำคัญทั้งหลายเหล่านี้คนที่ไปสมัครมีความคิดอย่างไร จึงจะไม่มีใครรู้

 

ดังนั้นระเบียบของ กกต. นี้จึงขัดต่อหลักการสำคัญของประชาธิปไตยคือสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหลักการที่สำคัญคือ “สมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย” แต่จะเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพวกคุณเลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #เลือกสว #จาตุรนต์ฉายแสง

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

"ชูศักดิ์" เผย “กมธ.นิรโทษ” จ่อชงนิรโทษฯคดีเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 48 ถึง ปัจจุบัน พร้อมแยกพิจารณาคดี ม.112 เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

 


"ชูศักดิ์" เผย “กมธ.นิรโทษ” จ่อชงนิรโทษฯคดีเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 48 ถึง ปัจจุบัน พร้อมแยกพิจารณาคดี ม.112 เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน


วันที่ 2 พ.ค.2567 เวลา 15.50 น.ที่รัฐสภา นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันว่า จะมีการนิรโทษกรรมการกระทำและการแสดงออกทั้งหลายที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง โดยมีคำนิยามว่ามูลเหตุทางการเมือง หมายถึงการกระทำอะไรบ้าง โดยจะนิรโทษกรรมตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนจะนิรโทษกรรมการกระทำอะไรบ้าง ที่ประชุมมีความเห็นชอบร่วมกันว่าการกระทำที่มีโทษนั้นควรจะเป็นการกระทำที่อยู่ในบทนิยามคำว่า”มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ จะไปสรุปประเภทคดีว่ามีการกระทำอะไรตั้งแต่ 2548 จนถึงปัจจุบัน ที่อยู่ในข่ายมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็จะนำเข้ามาเป็นรายละเอียดพร้อมทั้งแยกแยะให้เห็น เนื่องจากการกระทำหลายอย่างดูแล้วไม่ใช่ และไม่อยู่ในข่ายที่เป็นมูลเหตุจูงใจทางการเมืองโดยตรง แต่การกระทำในทางกฎหมายที่เรียกว่าเป็นความผิดในหลายบท เช่น บางคนอาจจะโดนคดีหลักและมีคดีรอง เช่น คดีจราจรทางบก คดีนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ คดีเกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น


นายชูศักด์ กล่าวต่อว่า ทางกมธ.ฯจะแยกแยะการกระทำประเภทนี้ว่ามีการกระทำอะไรบ้างที่จะสมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งบางเรื่องจะมีขอมติให้ขอนิรโทษกรรมไปเลย เพราะบางคดีเป็นความผิดที่ไม่รุนแรงนัก เช่น ความผิดพ่วง เป็นต้น นอกจากนั้นที่ประชุมยังมีมติขอขยายพิจารณาออกไปอีก 60 วัน แต่กมธ.คงใช้ไม่เต็มทั้ง 60 วัน โดยกมธ.จะทำรายงานสรุปให้เสร็จก่อนเปิดสภาฯในครั้งหน้าในเดือนก.ค.


เมื่อถามว่ามีคดีอะไรบ้างที่จะให้นิรโทษกรรม นายชูศักด์ กล่าวว่า เป็นคดีที่เราระบุเกิดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์ แต่ไม่ได้ระบุถึงประเภทคดีแบบเป็นรายคดีว่าหมายถึงการกระทำหรือคดีอะไรบางที่อยู่ในข่ายควรที่จะได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งจะทำเป็นรายละเอียดไปเสนอให้กับคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ได้พิจารณาในชั้นรายละเอียด ส่วนจะเป็นคดีอะไรบ้างเราจะทำเป็นรายละเอียดแนบเป็นรายงานเพิ่มเติมเข้าไป


“เราก็คิดว่าถ้ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนอะไร”นายชูศักดิ์ กล่าว


นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 จะแยกไปเป็นอีกกรณีหนึ่งเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความเห็นที่อาจจะยังไม่ตรงกันมาก เราจึงคิดว่าหน้าจะแยกออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาว่าเรามีมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่โดยจะไม่พิจารณาร่วมไปในเรื่องที่เราพูดกันไปแล้ว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธ #นิรโทษกรรม #มาตรา112

“ชัยธวัช” ชี้ กมธ.นิรโทษกรรมสรุปแล้ว ยึดแนวทาง “ตั้ง คกก.กลั่นกรอง” แทนการกำหนดฐานความผิด-เหตุการณ์แบบเหมารวม ย้ำรัฐบาลควรส่งสัญญาณชัดไปถึงตำรวจ-อัยการ ไม่ดำเนินคดีการเมืองเพิ่มระหว่างรอกฎหมายนิรโทษกรรม

 


“ชัยธวัช” ชี้ กมธ.นิรโทษกรรมสรุปแล้ว ยึดแนวทาง “ตั้ง คกก.กลั่นกรอง” แทนการกำหนดฐานความผิด-เหตุการณ์แบบเหมารวม ย้ำรัฐบาลควรส่งสัญญาณชัดไปถึงตำรวจ-อัยการ ไม่ดำเนินคดีการเมืองเพิ่มระหว่างรอกฎหมายนิรโทษกรรม


วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยกล่าวว่า ในวันนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าจะใช้แนวทางการ “ตั้งคณะกรรมการ” ขึ้นมาเป็นผู้พิจารณากลั่นกรองคดีที่เข้าข่ายการนิรโทษกรรม แทนการกำหนดฐานความผิดหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะหากทำเช่นนั้นจะไม่สอดคล้องกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีคดีความจำนวนมาก และมีลักษณะฐานความผิดที่หลากหลายและซับซ้อน


ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นในทางปฏิบัติ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองจึงน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องคณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องต้องกันแล้ว โดยหลังจากนี้คณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณากันต่อไปถึงเรื่องที่มา องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าควรจะเป็นอย่างไร เช่น ใครควรจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ รัฐบาลหรือสภาฯ องค์ประกอบของคณะกรรมการควรมาจากภาคส่วนใดบ้างจึงจะได้รับการยอมรับจากคนทั้งสังคม คณะกรรมการควรมีอำนาจในการออกคำสั่งนิรโทษกรรมได้ทันที หรือควรต้องดำเนินการผ่านตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ฐานความผิดประเภทใดบ้างที่ควรยกเว้นไม่นิรโทษกรรมหรือนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข รวมถึงจะมีการเปิดช่องให้ประชาชนที่ตกหล่นจากการนิรโทษกรรมสามารถยื่นเรื่องเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมได้โดยตรงหรือไม่ รายละเอียดเหล่านี้จะมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีของกระบวนการนิรโทษกรรมประชาชน


อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ชัยธวัชมองว่าสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมากนัก โดยระหว่างที่คณะกรรมาธิการฯ กำลังพิจารณาศึกษาการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีอีกหลายกลไกที่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินสามารถดำเนินการได้ทันทีเพื่อบรรเทาสถานการณ์ เช่น ควรมีนโยบายที่ชัดเจนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าการปฏิบัติต่อพี่น้องประชาชนที่แสดงออกทางการเมืองจะต้องยึดหลักสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช้อำนาจนอกกฎหมาย ไม่ตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือตึงเกินไปจนทำให้มีคดีความเพิ่มขึ้น รวมถึงไม่นำเหตุการณ์ในอดีตมาตั้งข้อหากับประชาชนเพิ่มเติมอีก 


ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีควรมีมติส่งความเห็นไปยังฝ่ายอัยการ ว่าคดีความที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองควรจะมีการกลั่นกรองและไม่สั่งฟ้อง ขึ้นไปสู่ชั้นศาล หากไม่ได้เป็นกรณีที่ไม่สมควรแก่เหตุหรือรุนแรงเกินไป ซึ่งมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการได้เปิดช่องไว้แล้วว่า อัยการสามารถสั่งไม่ฟ้องคดีที่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนได้ ดังนั้น หากรัฐบาลส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการจะลดบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมือง สถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองก็จะทุเลาลงไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอกฎหมายนิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว


“ผมเห็นช่องหรือกลไกที่อำนาจของฝ่ายบริหารสามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งรัฐบาลควรจะพิจารณาเพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองลง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประชาชนคาดหวัง หลังจากการมีรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร” ชัยธวัชกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธ #นิรโทษกรรม