"ทนายด่าง" เผยเป็นห่วง"ตะวัน-แบม"
ระบุ"ผมนับถือเธอ" ยกเรื่องราวเยาวชนผู้กล้า 2515 กับเรื่องราวทั้งคู่
ชี้ กล้าหาญ หลักการถูกต้อง ยืนหยัดหน้าศาลฎีกาเหมือนกัน
วันนี้(24 ก.พ. 66)
นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือทนายด่าง ทนายความของนางสาวทานตะวัน
ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม โพสข้อความผ่านเฟสบุ๊ค
ระบุว่า
วันนี้ผมว่าความอยู่ที่ศาลต่างจังหวัดศาลหนึ่ง
ทราบข่าวว่าแบมกับตะวันจะออกจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ไปอดข้าวที่หน้าศาลฎีกา
รู้สึกเป็นห่วงน้องทั้งสองคนที่ตัดสินใจต่อสู้ไปด้วยวิธีนี้
มีเวลาระหว่างรอเอกสารผมคิดถึงเรื่องๆหนึ่ง
เมื่อ
50 ปีที่แล้วเกี่ยวกับศาลและเด็กๆ
กลางเดือนธันวาคมปี
2515 ตอนที่ผมเพิ่งอายุ 15 ขวบ
เผด็จการทหารถนอม-ประภาส-ณรงค์ เพิ่งก่อการรัฐประหารขึ้น
ครองอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ
สามทรราชย์ออกกฎหมายของตัวเอง
เรียกว่า"ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299"
มีเนื้อหาให้อำนาจฝ่ายบริหารมีอำนาจเข้าไปโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้พิพากษาและให้มีอำนาจเข้าไปแทรกแซงการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาในศาลได้
กฎหมายอัปยศฉบับนี้เรียกว่า
"ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299"
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีและผู้บริหารศาลที่มีส่วนในการพิจารณาคดีผู้ต้องหาทางการเมืองในขณะนี้
อาจไม่รู้จัก
ปว 299 ฉบับนี้ หรืออาจจะจำไม่ได้ว่าพิษภัยร้ายของเผด็จการทหารที่ผ่านปว 299
นั้น มีความชั่วร้ายในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างไร
เมื่อเผด็จการประกาศใช้ปว
299 ในเดือนธันวาคม 2515
เยาวชน
นักเรียน นิสิตนักศึกษาล้วนโกรธแค้นที่เผด็จการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
นิสิตนักศึกษามุ่งตรงไปสู่ศาลฎีกาที่สนามหลวง
แล้วชุมนุมประท้วงต่อต้าน
ปว 299 อย่างรุนแรง
ทั้งที่ในขณะนั้นประเทศอยู่ในการประกาศกฎอัยการศึก
ห้ามชุมนุมทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น
เยาวชนในยุคนั้นชุมนุมประท้วงอยู่ในบริเวณศาลฎีกา
หน้าอนุสาวรีย์กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ข้ามวันข้ามคืน
เป็นการชุมนุมประท้วงข้ามคืนครั้งแรกในยุคเผด็จการทรราช
เยาวชนเหล่านั้นไม่เกรงกลัว
เขามีจุดมุ่งหมายเดียว
คือต้องเลิกปว
299
ต้องรักษาไว้ซึ่งอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม
พวกเขาไม่เกรงกลัวต่อคำข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมาย
และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลในการที่บุกเข้าไปในศาล
ในที่สุดเด็กและเยาวชนชนะ
เผด็จการทหารยอมยกเลิกปว 299
อันอัปยศ
ผมคิดเปรียบเทียบเยาวชนเมื่อปี
2515 กับตะวันและแบมในวันนี้
เขากล้าหาญเหมือนกัน
เขามีหลักการที่ถูกต้องเหมือนกัน
และต่างยืนหยัดอยู่หน้าศาลฎีกา
ท้องสนามหลวงเหมือนกัน
เพียงแต่เมื่อ
50 ปีที่แล้ว
เหล่าวีรชนเยาวชนผู้กล้าหาญต่อสู้กับเผด็จการทหารเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นอิสระของศาลยุติธรรม
แต่ในวันนี้ตะวันกับแบมกลับต้องต่อสู้กับสำนึกของผู้คนในกระบวนการยุติธรรมเองเพื่อรักษาความเป็นอิสระของตุลาการและหลักการแห่งกฎหมาย
แต่อดีตกับปัจจุบันมีความเหมือนกันที่ต่างต่อสู้เพื่อคนทุกคนจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
ผมนับถือเธอ
เยาวชนผู้กล้า