“ก้าวไกล”
แถลงเปิดโอกาสให้ “เพื่อไทย” เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้ MOU
ที่ทำร่วมกัน เพื่อหยุดยั้งขั้วอำนาจเดิมและตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยให้สำเร็จ
วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เมื่อเวลา 11.00
น. ที่ อาคารอนาคตใหม่ สำนักงานใหญ่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล
ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนผ่านไปถึงพี่น้องประชาชนไทย กรณีความคืบหน้าการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งก่อนหน้าได้แย้มว่าจะมีข่าวดีอย่างแน่นอน
นั่นคือเมื่อก้าวไกลถูกสกัดกั้นจากองคาพยพของจารีตนิยม อำนาจนิยม
ไม่ให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคก้าวไกลจึงเปิดโอกาสให้ พรรคที่ได้เสียงเป็นอันดับ
2 คือพรรคเพื่อเป็นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
พร้อมยืนยันสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ภายใต้ MOU
ที่ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ลงนามกันไว้ โดยมีรายละเอียดการแถลงข่าวดังนี้
กราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่ติดตามการถ่ายทอดสดในวันนี้
พรรคก้าวไกลขออนุญาตแถลง
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66
เป็นการประกาศเจตจำนงของประชาชนที่ชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจนชนะเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2
ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ
1 คือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้สำเร็จเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิม
แต่ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ทุกอย่างชี้ชัดว่าทุกองคาพยพของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ทั้งการเมืองจารีต ทุนผูกขาด และสถาบันองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นบริวารแวดล้อม
ทั้งหมดไม่ยอมให้ก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาเรื่องมาตรา 112 มาบังหน้า
และอ้างความจงรักภักดีมาปะทะกับการเลือกตั้งของประชาชน
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวทางคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อหวังตัดสิทธิ์ของแกนนำพรรคและยุบพรรคก้าวไกลให้ได้
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่า ส.ว.
จึงฝืนมติมหาชน ไม่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร
มิหนำซ้ำยังกล้าทำลายหลักการตีความข้อบังคับของรัฐสภาให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
เปรียบเสมือนการล้มล้างการปกครอง หรือฉีกรัฐธรรมนูญผ่านกฎหมู่
เพียงเพื่อต้องการขัดขวางไม่ให้เสนอชื่อคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในครั้งที่ 2
พรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความข้อบังคับดังกล่าว
แต่ภายใต้การทำงานที่สอดประสานกันทั้งองคาพยพของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเช่นนี้
เราจำเป็นต้องขอโทษต่อพี่น้องประชาชน และยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
พวกเขาไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ดี การที่คุณพิธาไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ไม่ได้หมายความว่าภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อพลิกขั้วอำนาจรัฐบาลจะไม่สำเร็จไปด้วย
เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 ยังคงอยู่ นั่นคือการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิมให้สำเร็จ
สิ่งสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เพื่อคุณพิธาจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่
แต่คือเพื่อประเทศไทยจะกลับสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ หยุดการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลจะเปิดโอกาสให้ประเทศ ให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร
8 พรรคที่เราได้เคยทำ MOU ร่วมกันเอาไว้
ดังนั้น
ในการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป
พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30
เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยสนับสนุนพรรคก้าวไกล
หลังจบการแถลงข่าว นายชัยธวัช
เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามประเด็นมาตรา 112 นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทย
จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยเป็นหลักในการพูดคุยถึงแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
และจากการคุยกันวานนี้ (20 ก.ค.) ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้สรุปชัดเจนว่าแคนดิเดตนายกฯ
ของพรรคเพื่อไทยจะเป็นใคร
และโดยหลักการจะเป็นใครก็ได้ที่มติของพรรคเพื่อไทยออกมา
ทางก้าวไกลยินดีสนับสนุนและเสนอชื่อในที่ประชุม
เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า
เรายืนยันว่าเจตจำนงของพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้งนั้นชัดเจน
แม้วันนี้จะไม่สามารถผลักดันคุณพิธาเป็นนายกฯ ให้สำเร็จ
แต่ภารกิจสำคัญที่เหลืออยู่ก็คือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามเจตจำนงของพี่น้องประชาชนที่หวังจะยุติการสืบทอดอำนาจของขั้วรัฐบาลเดิม
สำหรับการพิจารณาดึงพรรคการเมืองอื่นเข้ามาเพิ่มจาก
8 พรรคเดิมนั้น นายชัยธวัช ยืนยันว่าต้องรอฟังจากพรรคเพื่อไทยและจะต้องมีการพูดคุยกันทั้ง
8 พรรคให้ชัดเจน ซึงขณะนี้ก็รอการประสานงานจากพรรคเพื่อไทยว่าจะมีการนัดเจรจากันอีกเมื่อใด
นายชัยธวัช กล่าวเพิ่มเติมว่า
ตอนนี้มีคดีที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญก็คือคดีหุ้นไอทีวีและคดีล้มล้างการปกครองจากนโยบายเรื่อง
112 แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคดีไม่ได้มีการร้องให้ยุบพรรค แต่อันนี้ประมาทไม่ได้
เห็นได้ชัดเจนว่าหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้อยู่ในระบบนิติรัฐปกติ
องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกตั้งคำถามตลอดเวลาในแง่ของหลักเกณฑ์หลักตามกฎหมาย
หรือการมีบทบาทเป็นเครื่องมือให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เราก็ไม่ได้ประมาท
เรายังติดตามอยู่