ความเป็นเอกภาพโดยชูธงไม่แก้
ม.112 มาเผชิญหน้ากับประชาชน
[จาก Facebook Live เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566]
สวัสดีค่ะ
ขณะนี้เรามาถึงจุดพีคของการเมือง เรามีพึคแรกก็คือผลการเลือกตั้งวันที่ 14
พฤษภาคม 2566 มันเป็นการไต่ขึ้นจุดสูงสุดของการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายจารีตนิยม
อำนาจนิยมเด็ดขาด เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนที่ประชาชนไม่ต้องการให้พวก 3ป สืบทอดอำนาจ คือไม่ใช่ว่า “เบื่อ” อย่างเดียว
แต่มันหมายถึงความแสนสาหัสทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิทธิเสรีภาพ
และทั้งหมดก็คือปัญหาโครงสร้างทางการเมือง
พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะสองพรรคนั้นล้วนเป็นพรรคที่เคยถูกกระทำจากฝ่ายอำนาจรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น
ดังนั้นชัยชนะของสองพรรคนี้ ซึ่งมาถึงจุดสูงสุด ก็หมายความว่าประมาณกว่า 70%
ซึ่งถ้าเราคำนึงถึงวัยของประชาชนที่ยังไม่ได้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยซ้ำ คือก่อน 18 ปี เช่น 15-16 ปี คือในคนที่มาเลือกตั้ง 75%
ของประชาชนผู้มีสิทธิ ในนี้กว่า 70%
เลือกฝ่ายเสรีนิยม เลือกพรรคการเมืองที่เคยถูกกระทำจากฝั่งผู้สืบทอดอำนาจ
จากฝั่งรัฐประหาร เป็นพรรคการเมืองที่เคยถูกยุบพรรค ถูกกระทำมาแล้วทั้งสิ้น
ดังนั้น
เจตจำนงของประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองสองพรรคนี้มันเกินความคาดหมายของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม
เพราะเดิมเขาก็คิดว่าอย่างมากคู่แข่งก็จะเป็นฝ่ายปีกของ 2 ลุง
กับพรรคเพื่อไทย แต่กลายเป็นว่าพรรคใหญ่มาก ๆ 2 พรรค
กลายเป็นเพื่อไทยกับก้าวไกล ซึ่งได้สัดส่วนของประชาชนเรียกว่า 2 พรรครวมกัน 25 ล้านคน และถ้ารวม 8 พรรค มันก็เกิน 25 ล้าน ก็เรียกว่าเกิน 70% ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
นี่เป็นจุดสูงสุดที่แสดงชัดเจนถึงเจตนารมณ์ของประชาชนที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ
อันนี้เป็นจุดสูงสุดที่เราเห็น อันนี้เป็นพีคแรก
ถัดมาก็เรียกว่าการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยไต่ระดับ
ถัดมาก็คือการรวบรวม 8 พรรคได้เพื่อเตรียมเป็นรัฐบาล
อันนี้ก็เรียกว่าพีคทางการเมืองและประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยก็ขึ้นสูงมาเรื่อย
ๆ และมีความชัดเจน อันนี้มันเป็นตัวดัชนีและตัวผูกมัดอย่างที่บางคนบอกว่าเหมือน
“ตอก” ที่มัดข้าวต้มมัดประมาณนั้น แต่ว่าอันนั้นพูดเป็นรูปธรรมตลก ๆ
แต่ความจริงมันเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่
มันไม่ใช่แค่ “ตอก” ที่คุณหมุนออกแล้วก็หลุด
มันเป็นสิ่งที่แสดงออกโดยผ่านการเลือกตั้งและเบื้องหลังของผลเลือกตั้งนั้นก็คือประชาชนกว่า
70% ลุกขึ้นยืน แล้วบอกว่าไม่เอาการสืบทอดอำนาจ
ไม่เอาจารีตนิยม ไม่เอาพรรคที่สนับสนุนลุงอีกต่อไป
ถ้าเป็นภาษาของฝ่ายการเมืองตั้งแต่สมัยเก่า
การลุกขึ้นของประชาชนฝ่ายอำนาจเก่าเขาเรียกว่าปีศาจ เขาถือว่าเป็นปีศาจ จริง ๆ
ไม่ใช่ปีศาจหรอก แต่มันเป็นวิญญาณของการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการความเท่าเทียม
ต้องการสิทธิเสรีภาพ แต่ฝั่งจารีตจะเรียกว่าเป็นปีศาจ เหมือนชื่อ “ปีศาจ” ของ
เสนีย์ เสาวพงศ์ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แปลว่า
มันได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายจารีตนั้นมันก็คือคนประมาณ 1%
ซึ่งอยู่บนโครงสร้างชั้นบนของยอดปิรามิด ใน 1%
บนยอดปิรามิดนี้มีสมุนบริวารที่เป็นฝ่ายจารีตซึ่งมีอยู่ทั่วไป
อาจจะเป็นคนชั้นกลางบน หรือเป็นส่วนล่างก็ได้ อีกประมาณ 20%
ถ้านับแบบอารยชนก็ถือว่าฝ่ายประชาชนส่วนใหญ่ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์และประกาศแก่ชาวโลกและสังคมไทยไปแล้ว
แต่ปรากฏว่าแม้นประชาชนจะลุกขึ้นยืนขนาดนี้
ปรากฏว่าคน 1% และคนที่ไปอยู่ตามจุดสำคัญต่าง ๆ จะเป็นองค์กรอิสระ จะเป็นกองทัพ
จะเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ว. ก็ได้แสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผยว่าเขาจะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ตัวแทนประชาชน
70 กว่าเปอร์เซ็นเข้าไปมีอำนาจในการบริหาร
โอเคคุณอยู่นิติบัญญัติก็อยู่ไป
แต่แม้แต่อยู่ในนิติบัญญัติก็ยังสามารถเอาผิดทางเทคนิคกฎหมายได้
ไม่ได้นำพาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนไว้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสื่อ
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญก็คือไม่ต้องการให้นักการเมืองมีอิทธิพลครอบงำสื่อซึ่งจะมีอิทธิพลต่อประชาชน
แต่ตอนนี้กลายเป็นใช้เทคนิคและกลเม็ดทั้งปวง ไม่ต้องคำนึงว่ามันจะชอบธรรมหรือเปล่า
คือทำได้ทุกวิธีสำหรับคนดี(ย์) เยี่ยงนี้ คือคนที่ออกมาต่อต้านประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่
จะไม่มีความชอบธรรมอะไรนอกจากบอกอย่างเดียวว่าฉันเป็นคนดี(ย์) ผมเป็นคนดี(ย์)
และครั้งนี้ที่ดิฉันจะพูดก็คือ
“ความเป็นเอกภาพในการชูไม่แก้
ม.112 มาเผชิญหน้ากับประชาชน”
ถามว่าทำไมถึงเป็นเอกภาพ?
แสดงว่ามีการชี้นำและมีการชูธง ทุกพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่แล้วและส.ว.ทุกคน
เราก็เห็นมีไลน์หลุด สั่งให้แม้กระทั่งผูกเนคไทสีเหลืองมาพร้อมเพรียงกัน
สั่งให้โหวตอย่างไร อันนี้นี่แค่เป็นปรากฏการณ์ที่หลุดออกมาที่เกิดขึ้น
แต่ถึงไม่มีไลน์หลุดใคร ๆ ก็รู้ว่ามันมีธงของการชี้นำ
แต่ดิฉันจะบอกให้ว่าคนที่ชี้นำแบบนี้ ในทัศนะของดิฉันนะ เป็นพวกที่เห็นแก่ตัว
เห็นแก่อำนาจของตัว พยายามจะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วอ้างห้ามแตะ 112 แปลว่าอะไร?
แปลว่าพวกคุณเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองมาก
จนกระทั่งไปเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งไว้ข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับประชาชน
เอาพรรคเดียวก็ได้ พรรคก้าวไกลเขาได้มา 14 ล้านเสียง
เขาโฆษณาชัดเจนว่าเขาแก้ไข เขาขอมาแล้ว แล้วก็จะขออีก 14 ล้านเสียงนั้นอาจจะรู้ไม่หมด
แต่ส่วนมากรู้ แน่นอนเขามีนโยบายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่าง ๆ
ที่ถูกใจอะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นนโยบายหนึ่งที่ได้รับการเผยแพร่พอควร
คนที่เป็นแม่ทัพใหญ่หรือทำตัวเป็นแม่ทัพใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วมาชี้นำให้ทำอย่างนี้
ในทัศนะดิฉัน คุณไม่ได้รักสถาบันฯ จริง คุณเห็นแก่ตัวจนกระทั่งเอาสถาบันฯ
มาเป็นโล่ห์ แล้วก็เป็นลิฟท์ ปกป้องพวกคุณแล้วก็ยกพวกคุณให้ขึ้นมาเป็นคนดี(ย์)
กลายเป็นว่าการที่แสดงความจงรักภักดีห้ามแตะ 112 กลายเป็นว่าอะไร 14 ล้านเสียงเป็นคนเลว หรือยังไง? เพราะฉะนั้นในทัศนะของดิฉัน
ที่พวกคุณเป็นเอกภาพในการชูธงไม่แก้ 112
จะโดยคำสั่งหรือคำชี้แนะของใครก็ตาม พร้อมเพรียง พวกคุณไม่ใช่คนจงรักภักดีจริง
ถ้าคุณเป็นคนที่จงรักภักดีจริงคุณจะไม่เอาสิ่งนี้มาเผชิญหน้ากับประชาชน
พวกคุณแน่จริงคุณเอาตัวคุณเองซิ มาเผชิญหน้า คุณเอา 112 มาเป็นเกราะคุ้มกันว่าพวกผมนี่จงรักภักดี
พวกคุณคือใคร? คุณบอกว่าคุณจงรักภักดี 250 คนและพรรคการเมือง
และไอ้คน 14 ล้านคน คน 25 ล้านคน
คนพวกนี้ไม่จงรักภักดีเหรอ?
สิ่งเหล่านี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วในยุคของคนเสื้อแดง
และก็โดยเฉพาะดิฉันขอย้อนไปเลย ตั้งแต่ในยุค 6ตุลา19 ในยุคสงครามเย็น
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกยิง ถูกฆ่า ถูกจับ เพราะพวกนี้ไม่จงรักภักดี
เพราะพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์ จนคนกระทั่งออกไปอยู่ในเขตป่าเขา อยู่ไม่ได้
รับไม่ได้เลย นับจากนั้นกระแสแสดงออกถึงความจงรักภักดีขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดเลย
แต่ในขณะเดียวกันคนกลายไปเป็นคอมมิวนิสต์ ถามว่าตกลงมันได้ผลมั้ย? มากมาย
จนกระทั่งเขาเกิดปัญหาของโลกคอมมิวนิสต์สากล จนกระทั่งเกิด 66/23 คนถึงกลับมาได้ ไม่มีใครพูดเรื่องนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้นคือกฎหมายมาตรา 112 กฎหมายมาตรา 112
จึงมาในช่วยเวลาของตอนที่มีการต่อต้านคอมมิวนิสต์ขึ้นสูงสุดในยุคสงครามเย็น
แล้วหลังจากนั้นก็หมด กปค. กองอำนวยการป้องกันคอมมิวนิสต์ก็ไม่มี พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ก็ถูกยกเลิก
คนจากป่าก็เข้ามาเมือง แต่ 112 ไม่ได้แก้ ไม่ได้ยกเลิก
ก็อยู่มาตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะฉะนั้น
คนที่มีความคิดว่า 112 นั้นแตะต้องไม่ได้ ดิฉันอยากให้คุณไปอ่านหนังสือกันบ้าง ไม่อยากจะอ้าง
“อ.ศิลป์ พีระศรี” ว่า “คุณจะไปรู้อะไรถ้าคุณไม่อ่านหนังสือ”
ดิฉันแนะนำหนังสือที่ควรอ่านเลย เอาเล็มเล็ก ๆ ง่าย ๆ ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย ศ.แสวง
บุญเฉลิมวิภาส พิมพ์ตั้ง 20 กว่าครั้ง ใช้เป็นตำราสอบ
คุณลองไปอ่านดูบ้าง เขาแสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการของสังคม
ก็ก่อให้เกิดกฎหมายในรูปแบบที่แตกต่างกันตามยุคสมัย
แล้วก็ได้มีการแก้ไขตั้งแต่ของเราสมัยอยุธยา ไปเอาของอินเดีย
พระธรรมศาสตร์ของพระมนู แล้วมาจนกระทั่งกฎหมายตรา 3 ดวง
อันนี้ก็คือต้นรัตนโกสินทร์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์หรืออะไรก็ตาม
ก็มีการแก้ทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นคุณก็ต้องไปเอาธรรมศาสตร์ของอินเดียมา
หรือไม่ก็กฎหมายตรา 3 ดวง นี่ยุคต้นรัตนโกสินทร์
ซึ่งยังมีการลงโทษรุนแรงประเภท คุณเอาแบบนี้มั้ย ถ้าไม่สะใจ ไม่ให้แก้ 112 กลับไปเอานี่เลย กฎหมายตรา 3 ดวงเลย “ให้ลงโทษ 8
สถาน ฟันฅอริบเรือน ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีน ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที
50 ที” อันนี้หมายถึงการกระทำที่ทะนงองอาจจ้วงจาบหยาบช้า
ประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติและพระบันทูลพระโองการ แต่เขายังแยกนะ
การนินทาว่ากล่าวโทษก็เบาลงมา แต่ทั้งหมดก็นี่คือกฎหมายตรา 3 ดวง
แล้วหลังจากนั้นก็มีการแก้ไข
ปฏิรูปในยุคเข้าสู่สมัยใหม่ ก็แปลว่ากฎหมายมันต้องแก้ คุณมีกฎหมายตรา 3 ดวง
แล้วคุณจะอยู่กับโลกสากลได้ยังไง? ก็ต้องแก้ จึงเริ่มแก้ตั้งแต่ ร.4, ร.5 ในการปฏิรูปกฎหมายสมัย ร.5
โทษต่ำมาก จริง ๆ ดิฉันก็เคยพูดมาแล้ว แต่ว่าก็ต้องพูดอีกที เพราะว่าคุณมากเกินไป
และในทัศนะดิฉันคุณไม่ได้จงรักภักดีจริง คุณเอาสถาบันกษัตริย์มาอยู่ข้างหน้าพวกคุณ
เอามาเป็นลิฟท์ เอามาเป็นเกราะ
เราก็จำเป็นต้องพูดอีกเพราะว่าเป็นคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง
เป็นคนที่ไม่อ่านหนังสือ แล้วก็จะหยุดตัวเองไว้ที่พ.ศ. 2519
เดี๋ยวนี้มัน พ.ศ. 2566 47 ปีแล้วค่ะ
คุณไปเซ็นกฎหมายในสหประชาชาติเอาไว้หมดเลย ICCPR อย่างนี้
ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการเมืองว่าด้วยเรื่องสิทธิพลเมือง ทางการเมือง
และทางอื่น ๆ ต่าง ๆ ทั้งหมด คุณไม่นำพาเลยเหรอ? ที่คุณไปเซ็นเอาไว้ทั้งหมด
รู้เรื่องหรือเปล่า แต่คุณหยุดตัวเองเอาไว่ในยุคสงครามเย็น
สมัย
ร.5 โทษอย่างต่ำถ้าทะนงองอาจอาฆาฎมาดร้าย จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 5 พัน แต่ไม่มีโทษขั้นต่ำ
ถ้าเป็นพระราชโอรส พระราชธิดา จำคุกไม่เกิน 3 ปี
นี่ยกตัวอย่าง
แต่ว่าถ้ากระทำให้ปรากฏโดยเจตนาเห็นผลให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น เขาแยกนะ
ประเภทที่กระทำรุนแรงกับการดูหมิ่น ถ้าดูหมิ่นจำคุกไม่เกิน 3
ปี นี่สมัย ร.5 นะ และเดี๋ยวนี้ของคุณขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 15 ปี แต่สมัย ร.5
ขั้นสูง 3 ปี ขั้นต่ำไม่มี คุณจะเอายังไง?
แล้วที่เอามาอ้างกันมากมายก็คือในยุคหลัง 2475 ที่พูดถึงว่า
ถ้าคำพูดนั้นเป็นความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อสาธารณะประโยชน์ ตามความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความผิด
อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎร
และทั้งหมดได้รับความเห็นชอบจาก ร.7 แล้วทั้งสิ้น
แต่ปรากฏว่าความหวาดกลัวได้ทำให้กระแสสูงสุดมาขึ้นเอา
2519 47
ปีมาแล้ว พวกคุณยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังหยุดนิ่งอยู่กับที่
ดิฉันอยากจะถามว่าอย่างนี้หรือที่เรียกว่าจงรักภักดี มันไม่ใช่ พวกคุณเห็นแก่ตัว
เห็นแก่อำนาจ มันไม่มีความชอบธรรมใด ๆ
สำหรับส.ว.ในการที่คุณจะไปปฏิเสธอำนาจประชาชน เขาเลือกมา แต่คุณพูดอย่างเดียว
“อย่ามาแตะ 112” ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่ร่วมกับลุง
ก็พูดอย่างเดียว “ไม่ให้มาแตะ ม.112” คุณไม่พูดอย่างอื่นเลย
เพราะว่าแปลว่าพวกคุณรู้ว่าตัวเองไม่มีความชอบธรรมอะไร บางคนก็เลยใช้ศัพท์ว่า
“โหน” แต่ดิฉันคิดว่ามันยิ่งกว่าโหนนะ ก็คือคุณเอามาห้อมล้อมคุณ
เอามาเป็นเกราะป้องกันตัวคุณ แล้วก็ไปชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นคนเลว ไม่จงรักภักดีหมด
แต่จริง ๆ ไม่ใช่ พวกคุณไม่มีความชอบธรรมใด ๆ แล้วคุณยอมแลก ถ้าคุณเป็นคนจงรักภักดีจริง
คุณจะไม่เอาสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวข้องเลย วัดเอาเลยตัวต่อตัว แต่คุณหาไม่ได้
หาไม่ได้ก็เลยชูธงไม่แตะ 112 เหมือนกันหมด คุณเป็นคนแบบไหน?
อ่านให้ฟังแล้วว่า ร.5 3 ปีนะคะ ไม่มีโทษขั้นต่ำ
นี่เอาเฉพาะโทษ ถ้าตอนนี้ถ้าคุณบอกว่าของก้าวไกลต่ำเกินไป คุณไปเอาของ ร.5 ก็ได้ คุณก็แยกซิ ดูหมิ่น ของร.5 ก็แยก
นี่ยกตัวอย่าง อย่างนี้เป็นต้น นี่เรายังไม่พูดถึงการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ
ว่าเขาไม่ใช้แล้ว ดิฉันไม่พูด เอาแบบไทย ๆ นี่แหละย้อนหลังไป
เพราะฉะนั้น
แนะนำคุณไปอ่าน “กฎหมายตรา 3 ดวง” คุณไปอ่าน “ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย”
แล้วอีกเล่มที่อยากแนะนำ อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเป็นส่วนใหญ่
“บทกฎหมายและเอกสารสำคัญทางการเมืองประเทศไทย” อันนี้รวมรัฐธรรมนูญตั้งแต่ยุคต้น
เพราะมันยังจะมีไปเกี่ยวข้องกับเรื่องมาตรา 6 หรืออะไรต่าง ๆ
ดังนั้น ดิฉันบอกกับพวกคุณนะ โดยคำพูดของ อ.ศิลป์ พีระศรี “คุณไม่อ่านหนังสือ
แล้วคุณจะไปรู้อะไร” ไม่อ่านหนังสือ ไม่รู้อะไร แล้วยังไม่รับฟัง
และหยุดนิ่งอยู่กับที่ สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่กับประเทศไทยอย่างสง่าผ่าเผย
อย่างมีพระเกียรติยศ ไม่ใช่คุณใช้เป็นโล่ห์กำบังพวกคุณเอามาสู้กับเสียงของประชาชน
พวกคุณไม่มีอะไรดีหรอก ดิฉันก็เอาในเรื่องของฝั่งที่ว่าชูธงเป็นเอกภาพว่า
คนที่สั่งการให้ทำแบบนี้ หรือจิตสำนึกของพรรคการเมือง
จิตสำนึกของส.ว.ที่เป็นแบบนี้ เป็นจิตสำนึกในทัศนะดิฉันที่ไม่จงรักภักดี
เห็นแก่ตัว ไม่มีความชอบธรรมอะไรที่จะมาเถียงมาสู้กับเสียงประชาชน
ก็เลยเอาสิ่งนี้มา เท่ากับคุณกำลังให้ตัวสถาบันฯ มาเผชิญหน้ากับประชาชน
คุณแอบอยู่ข้างหลัง
น่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่งของคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรของตัวเองแล้วยังคิดจะสู้
รู้ว่าไม่ชอบธรรม
ดิฉันอยากจะมาพูดในอีกฝั่ง
ตอนนี้ก้าวไกลส่งไม้ต่อให้เพื่อไทย เพราะก้าวไกลไปเผชิญกับกลยุทธของฝั่งจารีตนิยมที่สั่งมาเป็นแผงเลยก็คือ
เมื่อผลการเลือกตั้งมาเป็นแบบนี้ เราก็รู้ว่านโยบายของก้าวไกลจะไปรื้อหมดเลย
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กอ.รมน. กองทัพ พลังงาน การผูกขาดของทุน พูดง่าย ๆ
ว่าปกติโครงสร้างของสังคมนั้น ถ้าเป็นโครงสร้างของบุคคลเรารู้แล้ว
เราเห็นชัดเลยว่า 1% ของคนมันต่างกับข้างล่างมาก ผู้ปกครองก็คือคน 1%
คนส่วนใหญ่จำนวนกว่า 40% รายได้อยู่ในขั้นไม่เกิน 5 พันบาท นี่เป็นความจริงของสังคมไทย รัฐบาลที่แล้วก็พยายามจะเอาบัตรคนจน
แล้วก็เติมเงินเติมโน่นเติมนี่
เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีความเหลื่อมล้ำทั้งรายได้และรายจ่าย
ในขณะที่หนี้สินประชาชนก็สูงขึ้น ก็ใช้วิธีปะผุดึงเงินโน้นมาใส่เงินนี้ ส่วนด้านนั้นไม่ลดนะ
แต่ว่าเอามาแจกจ่ายบ้างจำนวนหนึ่ง มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ประชาชนรู้
ดังนั้นประชาชนก็ต้องการเปลี่ยนแปลงใหม่
แต่นี่คือสิ่งที่พวกคุณคน 1% รับไม่ได้ นอกจากเขาจะอยู่ในส่วนบนของโครงสร้างเศรษฐกิจ
เขายังอยู่ในส่วนบนของโครงสร้างทางการเมือง วัฒนธรรม อุดมการณ์ แล้วก็โครงสร้างของรัฐต่าง
ๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พลเรือน หรือว่าทหาร ตำรวจ
หรือไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชนทั้งหลาย
ล้วนแต่รวมศูนย์ตรงไปยังคน 1% ทั้งสิ้น เป็นเช่นนั้น ดังนั้น
อำนาจนี้มันก็จะไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรม จะอยู่ในกองทัพ
จะอยู่ในข้าราชการระดับบนทั้งสิ้น และนี่คือตัวที่มาจัดการ โอเค
พรรคก้าวไกลถูกจัดการโดยกกต. กกต.มาจากไหน ทุกคนก็รู้ ประชาชนก็รู้หมด
กกต.ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญจัดการ
ดิฉันจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องจัดการและเรื่องของสื่อ
เอาเป็นว่าจะตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ไม่สนใจ
วิธีไหนก็ตามที่พวกอั้วจะทำทุกอย่างที่จะจัดการ ไม่ว่ามันจะสกปรกหรือเปล่า
อย่าลืมว่ารอบที่แล้ว ชัยชนะที่มันเสียงปริ่มน้ำ 240 กว่า
กับ 250 กว่านิด ๆ
มันมาจากการคำนวณที่เลวที่สุดหรือที่แย่ที่สุดของกกต.นะ
คำนวณแบบนั้นจนกระทั่งได้เป็นรัฐบาล เที่ยวนี้คำนวณไม่ได้
แต่ว่าเที่ยวที่แล้วก็ยุบพรรคอนาคตใหม่
ที่มาของ
กกต. ส.ว. แล้วก็องค์กรอิสระอื่น ๆ ทั้งหมด ศาลรัฐธรรมนูญ
หรือองค์กรอิสระก็ผ่านมาจากส.ว.ทั้งสิ้น กลายเป็นเอกภาพหมด ทีนี้ในฝั่งนี้
เมื่อเขาใช้กลยุทธสกัด คุณพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วต่อไปจะจัดการขั้นที่ 2
ก็คือให้ก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านเสีย โดยที่บล็อกเอาไว้ด้วย 112 เพราะเขาถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์ ใช้อันเดียวจบเลย
เพราะเขาคิดว่าก้าวไกลซึ่งเป็นผู้ชูประเด็นแก้ 112
ไม่สามารถจะถอยได้ คุณมองด้านนั้นจริง แต่คุณอย่าลืมว่าเขาได้ประกาศและคน 14
ล้านคนสนับสนุนนะ คำถามว่าคุณเอาสถาบันฯ ไปเผชิญกับคน 14 และ 25 ล้านคน คุณทำได้ยังไง? ใจพวกคุณทำได้ยังไง?
โหดเหี้ยมมากนะ โหดเหี้ยมกับประชาชนและต่อสถาบันฯ ด้วย ในความคิดของดิฉัน
ร้ายกาจมาก โอเค จัดการพรรคก้าวไกลไม่ให้มาเป็นรัฐบาล ให้อยู่ฝ่ายค้าน
แล้วถ้ามันเป็นไปไม่ได้
เกิดเขาเกาะกันแน่น ประเด็นยุบพรรคก็อาจจะเกิดขึ้นอีก แต่จะยุบแบบไหน
แล้วประเด็นยุบพรรคมันจะได้ผลมั้ย อย่างกรณีเพื่อไทย ไทยรักไทย ยุบ 2-3
ครั้ง ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่ยุบ แต่ยุบ “ไทยรักษาชาติ”
ครั้งนี้จะมีถึงยุบพรรคเพื่อจัดการกับคณะกรรมการบริหาร จัดการกับหัวหน้าพรรค
แบบเดียวกับจัดการที่อนาคตใหม่และไทยรักษาชาติ
ก็อาจจะมีโทษอย่างอื่นอีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่นี่คือกลยุทธของเขา
ดิฉันจะพูดสั้น
ๆ ในส่วนของฝ่ายประชาธิปไตย ในทัศนะดิฉัน
เจตจำนงของประชาชนที่เหมือนกับประชาชนทั้งประเทศลุกขึ้นยืน คน 20
กว่าล้านคนลุกขึ้นยืน แล้วบอกกับสองพรรคนี้ว่าจงเป็นรัฐบาล
จงจัดการกับคณะผู้สืบทอดอำนาจ อย่าให้มันมาผุดมาเกิดมาบริหารประเทศอีก
นี่คือเจตจำนงของประชาชน ดิฉันคิดว่าสองพรรคนี้ควรจะเข้าใจ จะทำอย่างไร
มันก็มีสองอย่างเท่านั้นคือคุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นรัฐบาล
ก็ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลเพราะอยากเป็นรัฐมนตรี อยากเป็นนายกฯ
แต่ต้องการปฏิบัติตามเจตจำนงของประชาชน พรรคการเมืองของคุณก็สามารถจะเดินต่อไปได้
แต่ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลเพราะอยากเป็น เพราะเป็นประโยชน์ของคน ๆ หนึ่ง
ดิฉันฝากเอาไว้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
ต้องผนึกกำลังกันให้แน่น และให้มองประชาชนไม่ว่าจะเป็นส้ม/แดง
หรืออะไรก็ตาม ส้ม/แดง/ดำ
หรือไม่ต้องมีสี ที่เขาลุกขึ้นยืนมา เขายืนมาเพื่อที่จะบอกว่าไม่เอาแล้ว
ถ้าภาษาสุโขทัยก็ “กูไม่เอาแล้ว ไอ้แบบเก่า ต้องการแบบใหม่ ต้องการมีชีวิตใหม่”
นี่คือเจตจำนงของประชาชน
ดังนั้น ยุทธวิธีเพื่อจะให้บรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ สำหรับประเด็น 112 ดิฉันมองว่าจริง ๆ มันไม่มีอะไรที่เอามายกเป็นโล่เลย เพราะมันไม่ได้อยู่ใน MOU และมันก็เป็นเฉพาะส่วนของพรรคก้าวไกลซึ่งเขาเคยเสนอ และในกรณีตอนนี้ดิฉันก็มีคำแนะนำว่า ในช่วงเวลาที่เราเห็นอุปสรรคมากขนาดนี้ ควรจะทำให้ความรู้ของประชาชน ของสังคม เข้าใจว่า ข้อที่ 1 ทำไมเราถึงต้องแก้ 112 ข้อที่ 2 แล้วเราจะแก้อย่างไรถึงจะดีที่สุด เอา 2 อย่างนี้ให้เป็นหัวข้อที่สังคมเข้าใจ เพราะว่าทำไมถึงต้องแก้ อันนี้สามารถที่จะแสดงถึงประวัติศาสตร์การเมือง แสดงถึงความเข้าใจของวิวัฒนาการของสังคมและปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยได้ และจะแก้อย่างไร? แก้ให้เป็นแบบไหน? ก็ดูประเทศอื่นเขาด้วย และดูอดีตของเราด้วย ดูปัจจุบัน ดูอดีต ดูอนาคต มันเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแบบที่มาชูธง “อย่าแตะ” คนที่บอกอย่าแตะนี่คุณเป็นพวกไหน ยกเอาโล่ 112 ขึ้นมาป้องกันตัวเอง เพราะว่าตัวเองกำลังถูกกระหน่ำจากทุกสารทิศของประชาชน แต่คุณไม่เอาตัวคุณเองมารับ คุณเอาโล่ห์ที่เป็นสถาบันฯ มารับ
ดังนั้น
ในพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
คุณต้องมียุทธวิธีที่ว่าทำให้ได้เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ก็คือที่ใช้คำว่าปิด “สวิทซ์ลุง”
จริง ๆ ปิดสวิทซ์มันน้อยไป คือให้ออกไป ให้การรัฐประหารและผลพวงการทำรัฐประหารตั้งแต่
2549 หมดไป นี่คือภาระหน้าที่ที่ประชาชนต้องการให้ทำ แล้วสร้างอนาคตใหม่
สร้างโครงสร้างของประเทศใหม่ ดังนั้นในพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย
คุณต้องดูตัวอย่างความไม่ถูกต้องของพรรคอีกด้านหนึ่ง อย่าเห็นแก่ตัว
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ ให้เห็นแก่ประชาชน และประชาชนจะมอบอำนาจ มอบความไว้วางใจให้พวกคุณ
เพราะประชาชนฉลาด เราเรียนรู้กันมา โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไป รัฐประหาร 2549
ประชาชนออกมาต่อสู้เพื่อการเมือง
เขายากจนแต่เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้เงินมากขึ้น
เขาต่อสู้ทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐประหารมาโดยตลอด
พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลมาถูกที่ถูกเวลาที่ประชาชนอยู่ในช่วงเวลาที่ทนไม่ได้
ก็เลยมีส่วนได้รับอานิสงส์จากที่ประชาชนต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยมาแล้วยาวนาน ดิฉันขอให้รักษาเจตจำนงนี้
อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้
แต่ขอให้เข้าใจว่าคุณเป็นนายกฯ คุณเป็นรัฐบาลเที่ยวนี้มันไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ
ที่ปกตินะ นี่ไม่ปกติ คือเป็นช่วงที่ประชาชนทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้น
ขอให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน
เพราะว่าขณะนี้ประชาชนเติบโตทางการเมืองยิ่งกว่านักการเมืองมากมาย แน่นอน
มีนักการเมืองส่วนหนึ่งเข้าใจ เพราะฉะนั้นอย่าให้ประชาชนล้ำหน้ากว่าพรรคการเมือง
เดินไปด้วยกันกับประชาชน ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
และระอา เกลียดชัง เบื่อหน่ายเต็มที่กับการทำรัฐประหารและผลพวงการทำรัฐประหาร ดังนั้น
ถ้าพรรคการเมืองล้าหลังกว่ามวลชน แล้วไปจับขั้วกับอีกฝั่งหนึ่ง ดิฉันคิดว่าประชาชนไม่ยอมแน่ค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #จัดตั้งรัฐบาล #ธิดาถาวรเศรษฐ