คาร์ม็อบแนวร่วมฝ่ายปชต.
อ่านแถลงการณ์และ 4
ข้อเรียกร้อง นัดรวมตัวอีกครั้งไป กกต. 18
ก.ค. นี้ และให้ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ต่อไป
วันนี้
(16 กรกฎาคม 2566) เวลา 17.00 น. ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมจัดขบวนคาร์ม็อบ
Respect My Vote และได้ยื่นหนังสือให้ ส.ว.
ที่ไม่ได้ไปร่วมประชุมโหวตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.
ที่ผ่านมา กดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยวันนี้ขบวนคาร์ม็อบได้เคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือที่
“กองทัพบก-กองทัพเรือ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เรียบร้อยแล้วนั้น
หลังจากนั้นได้เคลื่อนขบวนฯ
มาที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ หรือ BACC เพื่อปราศรัย
โดยมีประชาชนมาร่วมฟังจำนวนหนึ่ง โดยเริ่มเปิดเวทีปราศรัยจากกลุ่มราษดรัม ที่มาตีกลองปลุกใจเหล่าประชาชาชนที่มาฟังปราศรัย
และหลังจากนั้นมีแกนนำผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีปราศรัย โดย “เก็ท โสภณ” โมกหลวงริมน้ำ
มาสรุปลำดับเหตุการณ์หลังจากยื่นหนังสือกดดันเหล่าผู้นำเหล่าทัพให้ลาออก
ต่อมา
18.10 น. นายอานนท์ นำภา แกนนำคาร์ม็อบ กล่าวปราศรัยว่า ม.112
เป็นแค่ข้ออ้างของฝ่าย ส.ว. แต่จริง ๆ แล้วผู้มีอำนาจกลัวการเปลี่ยนแปลง
กลัวพรรคก้าวไกลจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ
เปลี่ยนหลักสูตรที่เขาเอาไว้ล้างสมองลูกหลาน กลัวไปจัดการกับตั๋วช้าง
กลัวพลเมืองเป็นใหญ่เหนือทหาร กลัวไม่ได้ส่งผู้ว่าฯ ไปปกครองหัวเมือง
แล้วประชาชนมีสิทธิ์ไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ ของตัวเอง
ที่สำคัญกลัวเช็กบิลทหารที่เคยอยู่ใน ศอฉ. และมีส่วนในการสลายชุมนุมเสื้อแดงปี 53
เมื่อเขากลัวเราต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นจริง ทั้งขอส่งเสียงถึง 8
พรรคร่วมด้วยว่า พรรคไหนแตกแถวก่อนเป็นเผด็จการ
ทั้งนี้
“ซัน” ได้อ่านแถลงการณ์ ความว่า
แถลงการณ์แนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย
ตามที่ข้อเท็จจริงได้ปรากฏชัดเจนแล้วว่า
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ในการเลือกตั้งทั่วไปนั้น
พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยได้ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
และเมื่อรวมคะแนนเสียงทั้งหมดของ 8
พรรคการเมืองได้คะแนนสูงกว่า 25 ล้านเสียง โดยมีพรรคอันดับ 1 ซึ่งชนะการเลือกตั้งคือพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
อันเป็นรัฐบาลผสม ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ
พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคเพื่อไทรวมพลัง
และพรรคพลังสังคมใหม่ ซึ่งรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ถึง 312 เสียง และได้มีการร่วมลงนามในสัญญาหรือ MOU
ของพรรคร่วมรัฐบาล อันปรากฏตามสื่อสาธารณะและรับทราบกันแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อประธานสภารัฐสภาได้เรียกประชมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่
13 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา กลับปรากฏว่า สมาชิกรัฐสภาอันประกอบด้วย
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเดิม และวุฒิสภา ไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา
112 และจะมีการลงมติอีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้
เราทั้งหลายในนามของประชาชนแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยจึงขอออกแถลงการณ์และเรียกร้องไปยังรัฐสภา
รวมทั้งพี่น้องประชาชนทั้งประเทศดังนี้
1.
เราขอประณามสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ส.ว.ที่ไม่ลงมติไปตามฉันทามติเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ
ที่มุ่งหมายให้ฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารบ้านเมือง
2. เราขอเรียกร้องให้ ส.ว.
ที่ไม่ทำหน้าที่ลงมติเห็นชอบตามเสียงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด
และให้รัฐสภาที่เหลืออยู่ทำการลงมติไปตามเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศต่อไป
3.
เราขอเรียกร้องให้ 8 พรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย
ผนึกกำลังกันให้เหนียวแน่น
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน
อย่ายินยอมตามเงื่อนไขของ ส.ว. ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ประชาชนจะสู้เคียงข้างไปกับพวกคุณ
4. เราขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ออกมาต่อสู้กับแนวร่วมประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย
จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย เปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ด้วยจิตคารวะและเชื่อมั่นในพลังประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม
กลุ่มแกนนำ นัดรวมตัวอีกครั้งวันที่ 18 ก.ค. เพื่อไปยื่นหนังสือถึง กกต. และขอให้ประชาชนเตรียมตัวให้พร้อมเพราะมีนัดหมายในวันที่
19 ก.ค เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีในการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 2 และขอให้ติดตามประกาศจากกลุ่มแกนนำต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #RespectMyVote #โหวตนายก #สวต้องเคารพเสียงประชาชน #ม็อบ16กรกฎา66