‘ชัยธวัช’ เรียกร้อง
ส.ส.-ส.ว.เคารพผลเลือกตั้ง เลือก ‘พิธา’ คืนความปกติ-อนาคตให้สังคมไทย ขอ
‘ประชาชน’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย
คุ้มครองความกล้าหาญและมโนธรรมสำนึกสมาชิกรัฐสภา
วันที่ 13 กรกฎาคม 2566
ในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ชัยธวัช ตุลาธน
เลขาธิการพรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ตนคงไม่จำเป็นต้องอภิปรายถึงเรื่องคุณสมบัติของพิธา
รวมถึงนโยบายของพรรคก้าวไกลในรัฐสภาแห่งนี้ เพราะประชาชนทั้งประเทศรวมถึงสมาชิกรัฐสภาต่างได้ใช้วิจารณญาณของตัวเอง
พิจารณาและลงมติ 1 คน 1 เสียงเท่าเทียมกัน ผ่านการเลือกตั้งไปแล้วเมื่อวันที่ 14
พฤษภาคม 2566
ในเมื่อผลปรากฏว่า
พรรคก้าวไกลซึ่งได้เสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ได้ชนะการเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ทั้งสิ้น 312
เสียง จากพรรคการเมือง 8 พรรค
พิธาควรได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตามครรลองปกติของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
เรื่องมันควรจะเรียบง่าย ตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่ใช่หรือ
บรรยากาศที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราตลอด
2 เดือนที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้ กลับทำให้เกิดคำถามดังๆ
ในใจของพี่น้องประชาชนจำนวนนับล้านๆ คน ที่กำลังดูการพิจารณาของรัฐสภาในวันนี้ด้วย
เกิดคำถามดังๆ ในใจของเขาว่าหากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง
แล้วเราจะมีการเลือกตั้งไปทำไม ตกลงอำนาจอธิปไตยของประเทศนี้เป็นของปวงชนชาวไทยตามที่บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่
หรือเป็นของใครกันแน่ และยังมีคำถามคำโตๆ
ว่าตกลงประชาชนอยู่ตรงไหนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คำถามในใจของพี่น้องประชาชนเหล่านี้สะท้อนอะไรและมีนัยยะสำคัญอย่างไรกับสังคมบ้านเมือง
อันที่จริงคำถามทำนองนี้ในใจของพี่น้องประชาชนไม่ใช่เพิ่งเกิด
แต่เป็นคำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
เราผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้ง ผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง
ผ่านการพยายามเขียนรัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลังรัฐประหารมาแล้ว 2 ฉบับ
ผ่านแม้กระทั่งการพยายามจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร 1 ครั้ง ผ่านการยุบพรรคการเมือง
ยุบแล้วยุบอีก ผ่านการชุมนุมของประชาชนฝ่ายต่างๆ และการปะทะกันบนท้องถนนนับไม่ถ้วน
สุดท้ายมีผู้ถูกดำเนินคดี จำคุก บาดเจ็บ
รวมถึงเสียชีวิตรวมแล้วนับร้อยนับพันจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ทราบว่าจะยุติเมื่อไร
ทว่า เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ผ่านมาเกือบ
2 ทศวรรษ
สังคมไทยยังไม่สามารถให้คำตอบที่ดีได้ต่อคำถามดังกล่าวในใจของพี่น้องประชาชน และยังไม่สามารถหาคำตอบที่พวกเรายอมรับร่วมกันได้สักที
ปัญหาก็คือ ตราบใดที่พวกเรายังไม่สามารถหาคำตอบอย่างนี้ได้ สังคมไทยก็จะหยุดนิ่ง
จมดิ่ง เวียนวนอยู่ในวงจรเดิมๆ มองไม่เห็นอนาคตไปอีกนาน
อย่างไรก็ดี ในฐานะผู้แทนราษฎร
ในฐานะสมาชิกรัฐสภา และในฐานะตัวแทนพรรคก้าวไกล
ตนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาและการลงมติของรัฐสภาในวันนี้
จะเป็นโอกาสสำคัญของพวกเราที่จะเริ่มต้นในการแสวงหาคำตอบครั้งใหม่ให้แก่สังคมไทย
สมาชิกหลายท่านอาจไม่เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกลในบางเรื่อง
ท่านอาจกังวลใจกับความเปลี่ยนแปลงที่พวกเรากังวลใจหรือไม่รู้จัก
มีข้อกล่าวหามากมายที่ส่วนหนึ่งสะท้อนจากการอภิปรายของสมาชิก
ไม่ว่าความกังวลใจว่าพวกเราพยายามจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ
หรือระบอบการปกครองหรือไม่
พวกเราพยายามที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่กลายเป็นสถาบันหลักของชาติอีกหรือไม่
เจตนาที่แท้จริงของการเสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 ซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ
นโยบายของเราเป็นอย่างไร
“ประเด็นสำคัญที่อยากจะกล่าวไว้
คือไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอใด ๆ ของเราพรรคก้าวไกล
อยู่บนฐานความคิดที่ว่าสถาบันหลักของชาติหรือสถาบันการเมืองใดๆ ก็ตาม
จะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
ไม่มีสถาบันใดที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยการกดปราบบังคับ
นี่คือสิ่งที่เราพยายามจะเตือนให้สติกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา
และสังคมไทย กับผู้มีอำนาจทุกฝ่าย
ขอให้ตั้งสติและมองการณ์ไกลเข้าใจสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน แล้วเล็งเห็นให้ได้ว่าวิธีการอะไร
กุศโลบายอะไรที่ดีที่สุด ที่จะสามารถรักษาสิ่งที่พวกเรารัก
สิ่งที่หลายคนหวงแหนให้ดำรงอยู่ได้ในสังคมที่มีพลวัตตลอดเวลา
เราไม่เชื่อว่าสิ่งใดๆ
จะคงอยู่ได้ด้วยการสถิตอยู่เหมือนเดิมทุกประการแล้วจะมั่นคงสถาพร”
“มีการกล่าวไปไกลถึงขนาดที่ว่า
การเลือกการลงมติให้คุณพิธาจากพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี
จะเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการไม่รักชาติ
เป็นการไม่เคารพรักสถาบันพระมหากษัตริย์
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พวกผมพยายามบอกว่ามันไม่ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เพราะองค์พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต้องอยู่เหนือการเมือง
ต้องอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง
มันอันตรายมากที่เมื่อไรต่างฝ่ายต่างดึงเรื่องนี้เข้ามาพัวพันในความขัดแย้งทางการเมือง
ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผลเป็นอย่างไร
เราพยายามเสนอว่าต้องช่วยกันนำสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความขัดแย้งทางการเมือง
และการยิ่งนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาปะทะกับผลการเลือกตั้ง ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
ใครจะรับผิดชอบกับผลกระทบจากการกระทำแบบนี้”
ชัยธวัชทิ้งท้ายว่า
ขอเชิญชวนสมาชิกรัฐสภา
ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในที่ประชุมแห่งนี้ ลงมติให้ พิธา
ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุผลไม่ใช่เพราะทุกท่านรักพิธา
ไม่ใช่เพราะทุกท่านเห็นด้วยกับพรรคก้าวไกลไปเสียทุกเรื่อง แต่เพราะจะเป็นการลงมติเพื่อคืนความปกติให้แก่ระบบรัฐสภาของไทย
เป็นการลงมติเพื่อแสดงความเคารพต่อประชาชน
เป็นการลงมติที่ให้โอกาสครั้งใหม่แก่สังคมไทย
และเป็นการลงมติเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการแสวงหาคำตอบแห่งยุคสมัยร่วมกันให้ได้
“ผมขออวยพรให้ประชาชน
ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย
คุ้มครองสมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่จะตัดสินใจอย่างกล้าหาญตามมโนธรรมสำนึก
และตามเจตจำนงของประชาชนที่ได้แสดงออกไปแล้วเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566”
เลขาธิการพรรคก้าวไกลระบุ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม็อบ13กรกฎาคม66 #โหวตนายก #โหวตให้พิธาเป็นนายก