ถอดคำพูดจาก Facebook
Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
วันที่
5 กรกฎาคม 2566
ประเด็น
: ฉากทัศน์ทางการเมืองของประชาชนไทยมีฉากทัศน์เดียว!
ทำไมดิฉันถึงพูดอย่างนี้?
เพราะว่าตั้งแต่มีการเลือกตั้งมา เราจะพบว่ามีผู้นำเสนอฉากทัศน์หลายแบบ 1-2-3-4-5
มากมาย ตั้งแต่เป็นฉากทัศน์ที่ 1 อาจจะมีคุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
จัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ฉากทัศน์ต่อมาก็อาจจะเป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยแล้วก็มีพรรคอื่น
ฉากทัศน์ที่ 3 ก็อาจจะมีการข้ามขั้ว กระทั่งบางฉากทัศน์ก็คือจับมือกับลุง
เพราะฉะนั้นมันจะมีหลายฉากทัศน์มาก
แต่ดิฉันบอกได้อย่างหนึ่งก็คือว่า
ฉากทัศน์เหล่านี้ที่มีการนำเสนอหลายอย่างนั้นล้วนเป็นฉากทัศน์ของกลุ่มผลประโยชน์
ล้วนเป็นฉากทัศน์ของสื่อ นักวิเคราะห์ ที่เป็นผู้มอง
ไม่ได้เป็นฉากทัศน์ของฝ่ายประชาชน วันนี้ดิฉันในฐานะประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
ดิฉันอ่านหัวใจของพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือทั้งหมด
70% รวมแล้วก็เรียกว่ากว่า 25 ล้านเสียง
กว่า
25 ล้านเสียงนี้ฉากทัศน์เขาคืออะไร? ฉากทัศน์เขาก็คือเขาต้องการเห็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งขึ้น
แล้วไล่รัฐบาลเผด็จการ ไล่พวกที่สมคบคิดกับผู้สืบทอดอำนาจ เอาตรง ๆ ก็คือ ไล่ 3ปและพวกที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ
เพราะฉะนั้น นี่คือเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งในทัศนะของดิฉันนี่เป็นความยิ่งใหญ่
แม้นเราจะรอมาตั้ง 9 ปี เรารอมานานแล้วก็จริง แล้วก็ทำให้บ้านเมืองเสียหาย
ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและความทุกข์ระทมของคนในประเทศชาติมากมาย
แต่ว่าวันที่
14 พฤษภาคม 2566 ที่มีผลการเลือกตั้ง มันสะท้อนให้เห็นได้ว่าประเทศไทย สังคมไทย
ประชาชนไทย เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ชนิดที่ว่าคนไม่คาดคิดว่าพรรคก้าวไกลจะได้มากถึงขนาดนี้ ดิฉันได้เคยไปพูดในเวทีหนึ่งบอกให้เห็นว่า
คนGeneration
Y, Z ก็คือพวก 18 ปีขึ้นไปจนถึง 40 ปี คนเหล่านี้มี 40% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เลือกฝ่ายประชาธิปไตย เลือกแนวคิดเสรีนิยมหมด
ดิฉันเชื่อ 100% แล้วอีก 30% มาจากไหน
ก็มาจากผู้สูงอายุตั้งแต่ 41 ปีขึ้นไปจนถึงประมาณ 60 กว่าปี คือ Generation
X, Baby Boom ส่วนพวกที่เขาเรียกว่า Silent
แบบ 70 กว่าปี รุ่นอาจารย์นี่ก็เหลือนิดหน่อย คนรุ่น X, Baby Boom คือ 40 กว่าปีขึ้นไปจนถึง 60 กว่าปีนี้ คนเหล่านี้มีประมาณ 50% ใน 50%
นี้ก็มาเลือกฝ่ายเสรีนิยมหรือพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ด้วยประมาณ 30% แน่นอนว่าพรรคใหญ่ 2 พรรค คือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็เลือกก้าวไกล แต่ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนรุ่นใหม่
คน Generation Baby Boom คือ 40 กว่าปี ไปจน 60 กว่าปี หรือ
70 ปี ก็มีที่เลือกก้าวไกล แล้วก็มีที่เลือกพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น
เพื่อไทยก็สูญเสียผู้ออกเสียง ผู้สนับสนุนไปให้ก้าวไกลส่วนหนึ่ง ถือว่าผู้รักประชาธิปไตยมีทางเลือก
ส่วนหนึ่งก็คืออยากจะเลือกพรรคก้าวไกล
แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังชื่นชมยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็พูดง่าย ๆ ว่า “หักปากกาเซียนเลย”
ครั้งนี้ แต่ถึงจะหักปากกาเซียนอย่างไรก็ตาม ก้าวไกลก็ขึ้นมานำเพื่อไทย
คือก้าวไกลเป็นน้อง แต่กลายเป็นว่าผลการเลือกตั้งมานำ แม้นดูไม่มาก 10 ที่นั่ง
แต่มันก็เป็นเสียงประชาชนเกือบ 4 ล้านเสียง มันไม่ใช่น้อย ดังนั้น
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย
แล้วขับไล่ขั้วรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลุง” ให้ออกไปจากฐานะของผู้ปกครอง
แล้วต้องการเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้น
นี่คือข้อดีสุดยอดและเป็นข้อดีที่ท้าทายกลุ่มอนุรักษ์นิยม
บางคนอาจจะบอกว่าก้าวไกลมี 14 ล้านเสียง แต่จริง ๆ มันต้องรวมทั้งหมด
เพราะประชาชนเขาจะเลือกแบบยุทธศาสตร์ด้วย
คือพื้นที่ไหนถ้าเพื่อไทยมีแนวโน้มจะชนะเขาก็เลือกเพื่อไทย
พื้นที่ไหนก้าวไกลมีแนวโน้มจะชนะเขาก็เลือกก้าวไกล นี่พูดถึงเขตเลือกตั้ง
จำนวนหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ก็แปลว่าในทางยุทธศาสตร์เขาเลือกพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลเป็นด้านหลัก
นี่เป็นข้อดีด้านบวกประการที่ 1
ประการที่
2 ก็คือ นอกจากผลการเลือกตั้งแล้ว สองพรรคนี้เข้าใจเจตจำนงของประชาชน
นี่เป็นข้อดีมากข้อที่ 2 แม้นผลการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะเป็นรอง แต่ความยินดีของดิฉันก็คือว่า
ดูเหมือนว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยจะเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามันมีปัญหาเพราะอะไร
และเข้าใจเจตจำนงของประชาชน จึงทำให้สามารถรวมกลุ่มตั้งขั้วที่จะเป็นรัฐบาล 312
สำเร็จ นี่เป็นข้อด้านบวกประการที่ 2 ที่สำคัญ
และขั้วด้านบวกประการที่
3 ที่สำคัญก็คือ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือ ไม่ว่าจะมีคนบอกมีฉากทัศน์โน่น
ฉากทัศน์นี่ จะต้องมีคุณสุชาติมาเป็นประธานสภา แล้วพรรคเพื่อไทยก็จะสลัดก้าวไกลไปจับมือกับพลังประชารัฐ
อะไรก็ตาม แต่ผลที่เกิดขึ้น การที่มีคุณวันนอร์ ได้ขึ้นมาเป็นประธานสภา เป็นความดีใจประการที่
3 ก็คือ กลุ่มที่เป็นขั้วของฝ่ายประชาธิปไตยในการเตรียมตัวที่จะเป็นรัฐบาลนั้นเข้าใจและมีความยืดหยุ่น
รู้จักยืดหยุ่น แต่คงเป้าหมาย
คือเป้าหมายของประชาชนที่ต้องการมีรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และก็คงเป้าหมายของแต่ละพรรค
เช่น พรรคก้าวไกลก็ต้องการที่จะผลักดันกฎหมายอะไรก็ตาม ก็ได้พยายามเต็มที่
เพราะฉะนั้นดังที่บอกแล้วว่า
นี่เป็นข้อยินดีประการที่ 3 ที่เกิดปรากฏการณ์ มันก็เหลืออันสุดท้าย
ซึ่งที่จริงก็ไม่ท้ายสุดนะ ก็คือการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมาถึง
ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวว่า ความมุ่งหวังของ 8 พรรค
ความมุ่งหวังของแกนนำพรรคใหญ่ 2 พรรคนั้น ดูจะเข้าใจประชาชน
เข้าใจเจตจำนงของประชาชน และเข้าใจว่าบัดนี้ประเทศได้เปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องการดำรงอยู่และเติบโตได้
เพราะคุณจะไปเอาคะแนนของฝ่ายอนุรักษ์ก็ไม่ได้ แล้วฝ่ายประชาธิปไตยก็จะไม่มีวันไปเลือกพรรคอนุรักษ์นิยม
ก็คือประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว
เปลี่ยนไปในทิศทางที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวหน้า
แล้วไล่พวกเผด็จการจารีตนิยมออำไป นี่คือเจตจำนงของประชาชน
ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเข้าใจเช่นนี้
เข้าใจเจตจำนงของประชาชน นั่นก็คือถ้าเขายังต้องการสถานะของพรรคการเมืองดำรงอยู่และเติบโตได้
เขาก็ต้องปรับให้มันเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของประชาชน
เปลี่ยนแปลงทางความคิดของประชาชน เปลี่ยนแปลงให้ทันกับโลกและทันกับความคิดของประชาชน
อันนั้นเป็นภารกิจของพรรคการเมือง
แต่ว่าถ้าเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้มีแนวคิดในเชิงเสรีนิยมหรือทางอุดมการณ์
บางพรรคอาจจะเป็นจารีตนิยมอำนาจนิยมเลย และต้องการแสดงความเป็นตัวแทนของจารีตนิยม
อำนาจนิยม อย่างพรรคใหม่ที่เกิดขึ้นได้คะแนนเสียงไม่น้อยนะ แต่เมื่อรวมกันเข้า
ยกตัวอย่างเช่น รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ รวมกันได้ 20% ของผู้มาเลือกตั้งทั้งหมด
แล้วรวมไทยสร้างชาติกลายเป็นผู้ถือธงนำของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
แล้วก้าวไกลกลายเป็นผู้ถือธงนำของฝ่ายเสรีนิยม กลายเป็น 2 ขั้ว แต่ฝ่ายนี้มัน 70% ฝ่ายโน้นมัน 20% ที่เหลืออีก 10% ก็คือเลือกพรรคอื่น ๆ ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว
ดังนั้น
ดิฉันถึงได้พูดว่าฉากทัศน์มีฉากทัศน์เดียว ก็คือ
ประชาชนต้องการให้ฝ่ายประชาธิปไตยเป็นรัฐบาล แล้วก็ขับไล่ฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยมออกไป
แต่ถามว่ายังมีพื้นที่เหลือในรัฐสภา 10% 20%
มันโอเคนะ เพราะว่าวิถีการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น
แม้คุณจะเป็นความคิดแบบไหนก็ได้ ซ้าย/ขวา
แต่ว่าคุณมีสิทธิที่จะได้รับเลือกในพื้นที่ แล้วก็มีสิทธิที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐสภา คือหมายความว่าแม้เขาจะมีคน
10% 20% เขาก็สามารถเป็นตัวแทนความคิดของคน 10% 20% นั้นได้ เพราะว่าประชาชนทุกฝ่ายไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็มีสิทธิเสรีภาพ
อันนี้เป็นแนวคิดเสรีนิยมแท้ ๆ นะ แต่ถ้าเป็นพวกจารีตก็คือพวกเห็นต่างนี่หุบปากไปเลย
ลงโทษให้หนัก ไม่ก็ติดคุกติดตะรางไปเลย แต่ถ้าคุณเป็นแนวคิดเสรีนิยม
คุณจะอนุญาตให้คนอื่นพูดได้และมีพื้นที่ให้พูด ไม่ใช่ไปปิดปากแล้วจับเขาเข้าคุก
ไม่ใช่อย่างนั้น
ดังนั้น
ต่อไปนี้ดิฉันอยากจะพูดมาทางด้านลบ ด้านที่เป็นปฏิปักษ์กับเจตจำนงของประชาชน
ไม่ว่าสิ่งที่เราเห็นด่านแรกก็คือกกต. ตอนนี้กกต.ปล่อยมาระดับหนึ่ง
แต่ไม่ได้หมายความว่ากกต.จะไม่ทำอะไร เช่นจะไปฟ้องศาลฎีกาเลือกตั้ง
เช่นจะส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญตามโดยตรงแล้วไปที่อัยการ เพราะฉะนั้น
ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาเลือกตั้ง กกต. แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ส.ว. พูดง่าย ๆ
ว่านี่คืออุปสรรคที่สำคัญ อีกส่วนหนึ่งคือกองทัพ เพราะว่าถ้าคุณเห็น MOU หลัง
ตอนที่ 2 พรรคทำเพื่อที่จะให้คุณวันนอร์มาเป็นประธานรัฐสภา มันก็จะมีเรื่องของการปฏิรูปกองทัพ
เรื่องของการออกร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับกฎอัยการศึก พ.ร.บ.กลาโหม กอ.รมน. อะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ฉะนั้น กองทัพก็จะเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่เป็นส่วนอุปสรรคหรือปฏิปักษ์
เพราะฉะนั้น
ฝั่งที่เป็นปฏิปักษ์กับการเกิดรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยและมีคุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็จะมีอุปสรรคขององค์กรอิสระและระบบตุลาการจำนวนหนึ่งซึ่งถูกแทรกแซง
ทั้งโดยอิทธิพลทางตรงและทางอ้อม ที่จะทำให้เจตจำนงของประชาชนนี้เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อดิฉันดูแล้ว ดิฉันอยากจะเตือนมายังฝั่งที่เป็นอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็น กกต. ป.ป.ช.
องค์กรอิสระต่าง ๆ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือวุฒิสมาชิก (ส.ว.) มันกำลังจะหมดเวลาของท่านแล้ว
ท่านกำลังจะหมดเวลาของท่านตามรัฐธรรมนูญ จริง ๆ ที่มาของท่านนั้นไม่น่าชื่นชมเลย
ท่านมาอย่างไม่น่าชื่นชม
แต่ว่าท่านจะจากไปอย่างน่าชื่นชมหรือเป็นประวัติศาสตร์อันน่าอัปยศ
ท่านก็ต้องเป็นผู้เลือกเองว่า แม้นพวกท่านได้รับการแต่งตั้งมาจากเผด็จการที่ทำการรัฐประหารแล้วสืบทอดอำนาจ
แม้นจะมาอย่างนั้น แต่ในที่สุดก็ยังยอมรับเจตจำนงของประชาชนที่เขาเลือกตั้งมา คน
70% เลือกคณะนี้ให้เป็นรัฐบาล ก็ได้ยินยอมที่จะไม่เป็นอุปสรรค
ก็คือยินดีให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 70% นั้นจัดตั้งขึ้นได้
คือรัฐบาลของพรรคการเมือง 8 พรรคฝ่ายประชาธิปไตย
หรือว่าจะเลือกว่าท่านจะจากไป
จากไปทางการเมือง หรือจากไปในประวัติศาสตร์ หรือจาก แบบคนสิ้นชีวิตอย่างน่าชื่นชมหรือเปล่า
ตอนมาไม่น่าชื่นชม แต่ถ้าไปอย่างพอชื่นชมได้ ดิฉันว่ามันก็ยังดีนะ เพราะท่านไม่ได้เผชิญหน้ากับคุณพิธา
ไม่ได้เผชิญหน้ากับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เผชิญหน้ากับพรรคก้าวไกลนะ
แต่ท่านกำลังเผชิญหน้ากับประชาชนกว่า 25 ล้านคน ตั้งแต่เด็ก 18 ปี ดิฉันบอกให้ว่าถ้านับรวมอายุต่ำกว่า
18 ปี พูดง่าย ๆ ว่าเกิน 70% 80% เลย ท่านกำลังเผชิญหน้ากับประชาชน
80% โอเคท่านยิ่งใหญ่ ท่านได้รับการแต่งตั้งมา
ท่านว่ามันเป็นเกียรติยศ แต่สำหรับมนุษย์ในโลกสมัยใหม่
เกียรติยศคือการได้รับการยอมรับจากประชาชน อันนั้นคือเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ เกียรติยศที่ยิ่งใหญ่มาจากการเลือกตั้ง
กับเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่แต่งตั้ง ท่านเลือกอะไร?
ท่านว่าท่านยิ่งใหญ่เพราะมาจากการแต่งตั้ง
แล้วยิ่งใหญ่กว่าพวกที่มาจากการเลือกตั้ง งั้นเหรอ? อันนี้ไปคิดเอาเอง
เพราะว่าด่านส.ว.จะเป็นด่านที่สำคัญที่สุดในการรับรองนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
มันก็เป็นไปได้ว่า
ถ้าเกิดส.ว.ไม่สนับสนุนเลย เขาไม่สามารถหาเสียงมาสนับสนุนประมาณ 70 เสียง หาไม่ได้
สมมุตินะได้ไม่ครบ คือไม่ถึง 376 เสียง เขาก็อาจจะใช้วิธีการ
อาจจะเลือกพรรคการเมืองหรือขอความร่วมมือจากส.ส.
แต่มันต้องไม่ทำลายหลักการของการที่ว่า เอาเสรีนิยมไม่เอาอำนาจนิยม
ก็ต้องไม่ทำลายหลักการนี้
แต่จริง
ๆ ฉากทัศน์เดียวที่ประชาชนต้องการก็คือ 312 เสียงนี่แหละเป็นรัฐบาล พิธา
เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วลุงก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ในสภาก็แล้วกัน (ลุงป้อม)
ส่วนลุงประยุทธ์นั้นก็ควรจะออกไปจากพื้นที่ที่ประชาชนจ่ายภาษีท่านตั้งแต่สร้างบ้าน
ค่าน้ำ ค่าไฟ อยู่มานานเกินไปแล้ว ท่านกลัวความปลอดภัย แล้วอดีตนายกฯ คนอื่นล่ะ
หรืออดีตผบ.ทบ.คนอื่นล่ะ ถ้าไม่งั้นทุกคนต้องไปซ่อมสุมกันอยู่ในที่ดินของกองทัพหมด
แล้วประชาชนต้องจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าสร้างบ้าน สร้างอาณาจักร
รวมทั้งคนดูแลให้ผบ.ทบ.ทุกคนไปจนชั่วกัลปาวสานงั้นเหรอ มันตลกนะ
เพราะฉะนั้น
ดิฉันคิดว่าดิฉันก็เป็นคนที่สูงอายุแล้วนะ แต่ก็ไม่อยากแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
แล้วก็อ้างว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน ก็อยากจะเตือนมายังฝ่ายอำนาจนิยม จารีตนิยมทั้งหลาย
ประชาชนไทยอดทนมามาก และนี่เป็นการต่อสู้สันติวิธีที่สุด ภายในกติกาที่เลวที่สุดที่พวกคุณเขียนขึ้นมาอย่างไม่อับอายใคร
เพราะฉะนั้น ถ้าตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้ พวกคุณในเครือข่ายของจารีตนิยม
อำนาจนิยมทั้งหลาย คุณจะต้องเผชิญหน้ากับประชาชนไทย คุณจะต้องเผชิญหน้ากับสังคมโลกว่า
ในสังคมโลกนั้นต้องสงสัยว่าเฮ้ย! เลือกตั้งมาแล้วทำไมตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทำไม ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งไม่อนุญาต
มันเป็นยังไง เป็นคนประเภทไหนกันที่ยังมีอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน
ดิฉันก็อยากจะเรียนมาว่า
ถ้าอยากจะท้าทายกับประชาชน 70% หรือกว่า 25 ล้านเสียง โดยถือดีว่า “ฉันได้รับการแต่งตั้งมาอย่างชอบธรรม
ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชน” ก็ลองดู!
ประชาชนไทยที่เรียบร้อย เวลาถึงจุด ๆ หนึ่ง ดิฉันก็ไม่แน่ใจนะ มันเหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในยุค
14ตุลา หลังจากนั้นประชาชนไทยอาจจะเก็บความรู้สึกและอดทน อดกลั้น
แต่นี่เขาสำแดงแล้วนะ สำแดงโดยผ่านการเลือกตั้งในกติกาของพวกคุณเมื่อ 14 พฤษภา
ถ้าคุณยังขัดขืนต่อต้านประชาชนอีก ก็ลองดูเถอะค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #จัดตั้งรัฐบาล #พิธานายกคนที่30