วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568

จม.จากแดน 4 อานนท์ เขียน "ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึง" ขอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน

 


จม.จากแดน 4 อานนท์ เขียน "ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึง" ขอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน


วันที่ 30 มกราคม 2568 เพจ “อานนท์ นำภา” โพสต์จดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อความในจดหมายระบุว่า จดหมายฉบับลงวันที่ 31 ม.ค. 2568


รู้สึกโล่งใจที่ทราบข่าวว่าน้องๆ หลายคนศาลยกฟ้อง ส่วนในคดีม.112 ที่ศาลพิพากษาลงโทษ ศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัว ได้กลับบ้าน กลับไปอยู่กับครอบครัว ส่วนน้อง ๆ อีกหลายคนที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ก็กำลังทยอยยื่นประกันตัว หวังว่าไม่นานคงได้รับอิสรภาพด้วยกันทุกคน


31 มกราคม 2568 ถึงปราณและขาล ลูกรักทั้งสอง


วันนี้ พ่อต้องตื่นเช้าเพื่อเตรียมตัว อาบน้ำ แปรงฟัน ไปทำหน้าที่ทนายความที่ศาลทหาร ไปในเครื่องแบบนักโทษเช่นทุกครั้งก่อนหน้านี้ ศาลทหารเดิมอยู่ที่ข้างกระทรวงกลาโหมตรงสนามหลวง ตอนนี้ย้ายมาสร้างใหม่ที่ถนนศรีสมาน นนทบุรี พื้นที่กว้างขวางกว่าเดิม ทุกครั้งที่ไปศาลทหาร พ่อจะนึกถึงสมัยก่อนที่พวกเราต้องขึ้นศาลทหารหลังรัฐประหารปี 2557 พ่อต้องทำหน้าที่ทนายความให้เพื่อนๆพ่อหลายคน ได้เดินทางไปหลายจังหวัดที่มีนักกิจกรรมต้องขึ้นศาล เป็นช่วงชีวิตที่มีคสามสนุกในการทำงาน มีความทรงจำดีๆ เอาไว้เก็บให้คิดถึง


เอาเข้าจริง ช่วงชีวิตหลายๆช่วง มักจะมีเรื่องราวให้คิดถึง ให้ทรงจำแตกต่างกันไป กับหลายเรื่อง กับหลายคน ความคิดถึงและความทรงจำมักจะอึงอลอยู่เสมอในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึงของพ่อ เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนก็ยังทำงาน ทำหน้าที่อย่างมั่นคงในวิถีของตน พ่อเองจากทนายน้อยๆ ก็กลายเป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยให้คำปรึกษา ฝึกน้องๆทนายรุ่นใหม่ เพื่อเข้ามาทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งการทำงานคดี การว่าความในศาล น้องๆทนายหลายคนก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่พ่อว่าความในชุดสูทผูกไท้ จนพ่อกลายเป็นจำเลยในคดีการเมืองและต้องว่าความในชุดนักโทษอย่างทุกวันนี้


การยื่นประกันตัว การว่าความในหลายคดีต้องอาศัยทนายความรุ่นใหม่ ขอให้ไฟฝันของพวกเขา จงโชติช่วงส่องทางผู้คนในห้วงเวลาที่มืดมน ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน


รักและคิดถึงลูก / ให้กำลังใจน้องๆทุกคน

อานนท์ นำภา


สำหรับ อานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


จากนั้น 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


ต่อมา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้รวม 4 คดี อานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วัน เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567


โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นี้ อานนท์ นำภา มีนัดฟังคำสั่งที่ศาลอาญา รัชดา คดีเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยศาลอาญาพิพากษาจำเลยผิดตาม #มาตรา112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ลงโทษจำคุก 3 ปี มีเหตุลดโทษตามมาตรา 78 ลดโทษ 1/3 คงจำคุก 2 ปี นับโทษต่อจากคดีอื่น ทำให้รวมโทษจำคุกอานนท์เป็น 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ใน 5 คดี


และวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดฟังคำสั่ง ม.112 นับเป็นคดีที่ 6 #แฮรี่พอร์ตเตอร์1 โดยมีคำพิพากษา“ จำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน ตามความผิดในข้อหา ม.112 ม.116 แต่ยกฟ้องในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทำให้โทษจำคุกรวมล่าสุด 18 ปี 10 เดือน 20 วัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง! #ทิมพิธา ขอส่ง #จิมจักรพันธ์ สานฝันนครนายกต้องไปต่อ ก่อนกลับบอสตัน ที่ #ตลาดสวนหลวง ลั่น เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้

 


วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง! #ทิมพิธา ขอส่ง #จิมจักรพันธ์ สานฝันนครนายกต้องไปต่อ ก่อนกลับบอสตัน ที่ #ตลาดสวนหลวง ลั่น เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้


วันนี้ (31 ม.ค. 68) เวลา 16.00 น. -17.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน (ปชน.) ลงพื้นที่จังหวัดนครนายก ช่วยหาเสียงให้ นายจักรพันธ์ จินตนาพากานนท์ (จิม) ผู้สมัครนายก อบจ.นครนายก เบอร์ 2 พรรคประชาชน และ ส.อบจ.พรรคประชาชน


โดยหลังจากลงพื้นที่ นายพิธา โพสข้อความ ระบุว่า จากลาด้วยความมั่นใจ หน้าที่ผมในฐานะผู้ช่วยหาเสียงจบลงแล้ว หน้าที่พลเมืองของทุกท่านกำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่


เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเราร่วมมือกัน


ขอเป็นกำลังใจให้พรรคประชาชน ทุกคนครับ สู้!


Let’s get out and vote together! 👊


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจนครนายก  #อบจประชาชน






‘ดีอี’ คิกออฟกวาดล้างบัญชีม้า ยกระดับจัดการโจรออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ สั่งเดินหน้ามาตรการ ‘Mobile Banking’ อัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมมือถือให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานให้ตรงกัน

 


‘ดีอี’ คิกออฟกวาดล้างบัญชีม้า ยกระดับจัดการโจรออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ สั่งเดินหน้ามาตรการ ‘Mobile Banking’ อัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมมือถือให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานให้ตรงกัน 


วันที่ 31 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นประธานแถลงข่าวการดำเนินมาตรการ ‘การยกระดับความปลอดภัยในการใช้ Mobile Banking’ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี , นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี , นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี , พลตำรวจตรีเอกธนัช ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , นายภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions บมจ.กรุงไทย ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และนางสาวณัฐกาญจน์ ช่วงหาราช กรรมการบริหารสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมการแถลงข่าว 


นายประเสริฐ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า เป็นนโยบายสำคัญ โดยจากมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มอบหมายให้ ปปง. ธปท. กสทช. สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน Mobile Banking ซึ่งเป็นการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ 


กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการการดำเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile Banking หรือ การ Cleaning Mobile Banking เพื่อให้ชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดย กสทช. และ Telco (ผู้ให้บริการโทรคมนาคม) สำนักงาน ปปง. ธปท. และธนาคาร ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลข แล้วเสร็จเมื่อสิ้นเดือน พฤศจิกายน 2567 โดยได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น M (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02 , กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น N (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 และ กลุ่มที่ 3 ลูกค้าที่ Telco แจ้งกลับมาเป็น P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล) มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29


โดยขั้นตอนการดำเนินการคือ ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน (ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P) ) ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป


สำหรับ กลุ่ม N (เจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่มีชื่อเจ้าของซิม กับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ไม่ตรงกัน ประชาชนสามารถดำเนินการได้ดังนี้ กรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อ ผู้ใช้งาน Mobile Banking สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 แต่หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน


ในส่วนของกลุ่ม P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม) กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) 


สำหรับกรณี หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking หรือ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมเป็นชื่อตามที่ประสงค์ที่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนซิมได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน ส่วนลูกค้าที่ได้รับแจ้ง ต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป


กรณีของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้รับการแจ้งผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ยังไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และสามารถใช้ Mobile Banking ได้ตามปกติ แม้ชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์จะไม่ตรงกับเจ้าของ Mobile Banking

.

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณายกเว้น ในกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ 1.เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้ , 2.ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร , 3.กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์ , 4.นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking และ 5.ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร


“มาตรการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งประชาชนที่จะต้องดำเนินการติดต่อธนาคาร จะได้รับการแจ้งเตือนผ่าน Mobile Banking ของธนาคารโดยตรงเท่านั้น จะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Mobile Banking เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการยกระดับมาตรการด้าน Mobile Banking เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอี กสทช. ปปง. ภาคธนาคารและภาคโทรคมนาคม เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อสักดเส้นทางการใช้บัญชีม้าในการหลอกลวงประชาชน ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บัญชีม้า




ส่งท้ายแคมเปญเลือกตั้ง อบจ. “เท้ง” ลุยบ้านแพ้ว ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรสาคร ซื้อหวยหน้าศาลเจ้าเบอร์ 17 มั่นใจ 1 ก.พ. ประชาชนคว้าชัย

 


ส่งท้ายแคมเปญเลือกตั้ง อบจ. “เท้ง” ลุยบ้านแพ้ว ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรสาคร ซื้อหวยหน้าศาลเจ้าเบอร์ 17 มั่นใจ 1 ก.พ. ประชาชนคว้าชัย


วันที่ 31 มกราคม 2568 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ลุยหาเสียงโค้งสุดท้ายจังหวัดสมุทรสาคร ช่วยผู้สมัครนายก อบจ. จากพรรคประชาชน “โต้” เชาวริน ชาญสายชล เบอร์ 2 โดยขึ้นรถแห่ขอคะแนนเสียงที่ตลาดมหาชัย ก่อนเดินทางไปยังอำเภอบ้านแพ้ว ปิดท้ายแคมเปญเลือกตั้งนายก อบจ. โดยมีประชาชนในพื้นที่โบกมือให้กำลังใจ


ระหว่างการหาเสียง ณัฐพงษ์ พร้อมด้วยผู้สมัครนายก อบจ. ได้เดินทักทายพี่น้องประชาชนบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ก่อนที่ณัฐพงษ์จะซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเลขท้าย 17 เพราะอยากเห็นพรรคประชาชนที่ส่งผู้สมัครนายก อบจ. 17 จังหวัด ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.) 


ส่วนกิจกรรมส่งท้าย ณัฐพงษ์พร้อมด้วยผู้สมัครนายก อบจ. จะหาเสียงที่อำเภอบ้านแพ้วและพบปะพูดคุยกับประชาชนบริเวณตลาดนัดวัดยกกระบัตร


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจสมุทรสาคร #อบจประชาชน #พรรคประชาชน









“ธนาธร“ พาผู้สมัคร อบจ.สมุทรปราการลุยหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง อบจ.พรุ่งนี้ มั่นใจประชาชนเห็นการทำงาน ปชน. พร้อมพากวาดนายก อบจ.หลายจังหวัด

 


ธนาธร“ พาผู้สมัคร อบจ.สมุทรปราการลุยหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง อบจ.พรุ่งนี้ มั่นใจประชาชนเห็นการทำงาน ปชน. พร้อมพากวาดนายก อบจ.หลายจังหวัด

 

วันที่ 31 มกราคม 2568 ที่ จ.สมุทรปราการ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน พร้อมด้วย สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน และนพดล สมยานนทนากุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการ พรรคประชาชน เบอร์ 3 ร่วมการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. ในโค้งสุดท้ายก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งนายก อบจ.ในวันพรุ่งนี้ โดยเดินสายขึ้นรถแห่กระจายเสียงไปตามถนนเส้นหลักและจุดสำคัญต่างๆ ใน จ.สมุทรปราการ และจอดรถปราศรัยตามจุดต่างๆ เป็นระยะ ท่ามกลางประชาชนที่ให้ความสนใจร่วมทักทาย พูดคุย ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปตลอดเส้นทาง


โดยระหว่างการหาเสียง ธนาธรได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ โดยระบุว่าในภาพรวมผู้สมัครทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ของพรรคประชาชนในหลายจังหวัดต่างทำได้ดี รณรงค์เชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้งกันอย่างขยันขันแข็งและต่อเนื่อง ซึ่งตนมั่นใจว่าในการเลือกตั้ง อบจ. พรุ่งนี้จะมีผู้สมัครจากพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งในหลายจังหวัดอย่างแน่นอน


โดยในส่วนของจังหวัดสมุทรปราการเอง เป็นจังหวัดหนึ่งที่ทั้งผู้สมัครนายก อบจ. และ ส.อบจ. ต่างก็ทำงานกันอย่างแข็งขันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น แม้ที่ผ่านมาประชาชนยังให้ความสำคัญน้อย แต่พรรคประชาชนก็ใช้เวลาหลายเดือนในการทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญมากขึ้น


ธนาธรยังกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ จากการทำงานอย่างแข็งขันและต่อเนื่องของ สส.พรรคประชาชนในทุกเขตของจังหวัดสมุทรปราการที่ได้รับความไว้ใจจากประชาชนในการเลือกตั้งปี 2566 รวมทั้งสิ่งที่พรรคประชาชนทำมาตลอดปี จะทำให้ประชาชนเห็นถึงการทำงานของพรรคประชาชน และจะให้โอกาสพรรคประชาชนในการมาเป็นผู้ขับเคลื่อนสมุทรปราการต่อไปอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจสมุทรปราการ #อบจประชาชน











อบจ.เดือด ผู้สมัครพรรคประชาชนระยองร้อง กกต. ตรวจสอบแชทหลุดซื้อเสียงโจ๋งครึ่ม

 


อบจ.เดือด ผู้สมัครพรรคประชาชนระยองร้อง กกต. ตรวจสอบแชทหลุดซื้อเสียงโจ๋งครึ่ม


วันที่ 31 มกราคม 2568 เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จังหวัดระยอง ศูนย์ราชการจังหวัดระยอง เดชา ทองย้อย ผู้สมัคร ส.อบจ.ระยอง เขต 3 พรรคประชาชน พร้อมด้วยอิสระ เรืองภูมิ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาชนจังหวัดระยอง และนิติภัทร โล่ห์สุวรรณ ที่ปรึกษากฎหมาย เข้ายื่นเอกสารคำร้องพร้อมหลักฐานให้ กกต. ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาจมีการซื้อเสียงในพื้นที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง


โดยในหลักฐานปรากฏข้อความแชทพูดคุยกันระหว่างหมู่บ้านกับลูกบ้าน ในลักษณะขอให้จดชื่อและบ้านเลขที่ส่ง เพื่อแลกกับการลงคะแนนให้ผู้สมัคร ส.อบจ. และนายก อบจ.กลุ่มหนึ่ง และสัญญาว่าจะให้เงินตอบแทน


เมื่อมีเหตุที่สงสัยว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง เราและทีมงานพรรคประชาชนระยองพร้อมจะให้ข้อมูล จึงเดินทางมาร้องกับ กกต.ให้ตรวจสอบ โดยเฉพาะในกรณีแชทไลน์หมู่บ้านที่เผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ตไปทั่วว่ามีการมอบสิ่งจูงใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.บ้านฉาง ที่มีการแจ้งว่าใครและเบอร์อะไรจะมอบสิ่งจูงใจ จึงอยากให้ กกต.ไปตรวจสอบต่อไปว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร” เดชา ทองย้อย ผู้สมัคร ส.อบจ. เขต 3 จ.ระยอง กล่าวต่อสื่อมวลชน


อิสระ เรืองภูมิ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาชนจังหวัดระยอง เปิดเผยเพิ่มเติมว่านอกจากการร้องเรียนกรณีนี้ ยังมีอีกหลายกรณี เช่น การไปปล่อยข่าวว่าผู้สมัคร ส.อบจ. อ.นิคมพัฒนา เขต 3 ถอนตัวจาการเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดส่งผลต่อการลงคะแนนเสียง


ทางด้านไทยรักดีเดชา สุภานันท์นนท์ เจ้าหน้าที่ กกต. ผู้รับคำร้อง เปิดเผยว่าที่ผ่านมามีการกรณีประชาชนร้องเรียนแจ้งหลักฐานเบาะแสให้ กกต. ไปตรวจสอบบ้างแล้วจำนวนหนึ่ง และขณะนี้มสืบสวนของ กกต. ก็ได้ลงพื้นที่ในการตรวจสอบและจับตาทุจริตเลือกตั้งอยู่แล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #เลือกตั้งอบจ2568 #อบจระยอง





“พิชัย” นำพาณิชย์ ผนึกกำลังรัฐ-แพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ 16 หน่วยงาน เดินหน้าคุมเข้มมาตรฐานสินค้า ปกป้องผู้บริโภคและ SME ไทย

 


พิชัย” นำพาณิชย์ ผนึกกำลังรัฐ-แพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ 16 หน่วยงาน เดินหน้าคุมเข้มมาตรฐานสินค้า ปกป้องผู้บริโภคและ SME ไทย


วันที่ 31 มกราคม 2658 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานพิธีประกาศเจตจำนงความร่วมมือในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์ม โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมด้วย ซึ่งจัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างความร่วมมือในการกำกับดูแลสินค้าที่วางขายบนแพลตฟอร์ม e-Commerce รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญและความจำเป็นของการไม่ซื้อขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งเสริมการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และคุ้มครอง SME ของไทย


โดยการประกาศเจตจำนงในครั้งนี้ เป็นมาตรการเสริมควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย ที่เข้มงวดของหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นจากความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยกับปัญหาสินค้านำเข้าไม่มีคุณภาพมาตรฐานตลอดจนธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศอย่างฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะช่วยปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากการขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์มแล้ว และสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ในการดำเนินธุรกิจ e-Commerce ให้เติบโตอย่างยั่งยืน


การจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มชั้นนำที่จำหน่ายสินค้าในประเทศไทยเข้าร่วมประกาศเจตจำนง จำนวน 16 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ BIGXSHOW / eBay / Lazada / LINE SHOPPING / Nex Gen Commerce / NocNoc /  Shopee /TEMU / TikTok Shop


ภายหลังจากการประกาศเจตจำนงฯ นี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงการซื้อขายสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานและถูกกฎหมายให้เข้าถึงผู้บริโภคและผู้ประกอบการ Online ในวงกว้าง รวมทั้งการจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) ในการกำกับดูแลสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้หน่วยงานมีแนวทางการทำงานร่วมกันที่ชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ธุรกิจออนไลน์ในอนาคตจะโตขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องเซ็ตระบบให้มีมาตรฐาน มีคุณภาพ งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกภาคส่วนจะได้ประโยชน์ และวันจันทร์นี้ (3 ก.พ.68) ผมจะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือเรื่องนโยบาย Tariffs (ภาษี)ของอเมริกา เป็นเรื่องที่เราให้ความสนใจ วันนี้ผมได้หารือกับหอการค้าไทยที่มาให้ข้อมูลให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าได้โดยไม่มีอุปสรรค เชื่อว่ายังสามารถเจรจาได้ ซึ่งมีการนัดหมายกับหลายฝ่าย ทั้ง สส. วุฒิสมาชิก ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยดีมาก การส่งออกปี 2567 เราโตถึง 5.4%  และมีการขอส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ไหลเข้ามาจะเป็น Snowball Effect ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าปีนี้การส่งออกไทยจะดีขึ้น แต่ที่ยังมีปัญหาคือเรื่องหนี้เก่าที่เกิดจากเศรษฐกิจตกต่ำมานาน และเรื่องค่าเงินที่เริ่มแข็งค่า ต้องช่วยกันให้ประเทศเราหลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ยกระดับรายได้ของคนส่วนใหญ่” นายพิชัยกล่าว


ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน่วยงานซึ่งบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้า อาทิ อย. สมอ. สคบ. และศุลกากรที่กำกับดูแลสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศในช่วง ต.ค.-ธ.ค. 2567 สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว จำนวน 16,651 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 984.69 ล้านบาท และจากการดำเนินงานที่เข้มงวดของคณะกรรมการฯ ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจากทั่วโลกผ่าน e-Commerce (ก.ค. - ธ.ค. 2567) ลดลง 8% เหลือเฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท(จากเดิมก่อนมีมาตรการ ช่วง ม.ค. - มิ.ย. 2567 เฉลี่ยเดือนละ 3,957 ล้านบาท) 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงพาณิชย์




“เท้ง ณัฐพงษ์” ควง “เก่ง นันทิยา” หาเสียงวันสุดท้ายสมุทรสงคราม ช่วงค่ำลุยต่อสมุทรสาคร ด้าน “พิธา-ธนาธร-ชัยธวัช” ดาวกระจายหวังปักธง อบจ.ประชาชน

 


เท้ง ณัฐพงษ์” ควง “เก่ง นันทิยา” หาเสียงวันสุดท้ายสมุทรสงคราม ช่วงค่ำลุยต่อสมุทรสาคร ด้าน “พิธา-ธนาธร-ชัยธวัช” ดาวกระจายหวังปักธง อบจ.ประชาชน


วันที่ 31 มกราคม 2568 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เดินทางไปจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ในวันสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. ก่อนการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันพรุ่งนี้ 1 กุมภาพันธ์ โดยช่วงเช้า ณัฐพงษ์ พร้อม “เก่ง” นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย ผู้สมัครนายก อบจ. เบอร์ 2 จังหวัดสมุทรสงคราม พรรคประชาชน เดินตลาดนัดพบปะประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง ก่อนเดินทางต่อไปยัง ต. ท่าคา อ.อัมพวา ร่วมกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุตำบลท่าคา พร้อมเสนอนโยบายการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่


จากนั้นณัฐพงษ์และนันทิยาขึ้นรถแห่หาเสียงรอบพื้นที่ตำบลบางพรม ตำบลบางคนที และตำบลบางนกแขวก ขอคะแนนเสียงชาวแม่กลอง ก่อนเดินทางไปยังตลาดอัมพวา โดยระหว่างขึ้นรถแห่หาเสียง ณัฐพงษ์ได้ปราศรัยเชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อบจ. ขอชัยชนะให้ เก่ง นันทิยา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ มั่นใจนันทิยาจะไม่ทำให้ชาวแม่กลองผิดหวัง เนื่องจากประสบการณ์การทำงาน ความคุ้นเคยกับพื้นที่ รู้ลึก รู้จริงถึงปัญหา โดยระหว่างเส้นทางปราศรัย มีพี่น้องประชาชนออกมาทักทายและส่งเสียงให้กำลัง


วันเดียวกันนี้ แกนนำพรรค สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชนได้ดาวกระจายหาเสียงทั่วประเทศ อาทิ ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน เดินทางไปรณรงค์ที่ จ.พังงา, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน หาเสียงที่ จ.ปราจีนบุรี ขณะที่ผู้ช่วยหาเสียง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หาเสียงในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออก ก่อนจะเดินทางไปยังจังหวัดสมุทรปราการจนจบการหาเสียง, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลงพื้นที่จังหวัดนครนายก และ ชัยธวัช ตุลาธน ปักหลักที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อติดตามผลการเลือกตั้งจังหวัดภาคเหนือ


ทั้งนี้ พรรคประชาชนเตรียมเปิดวอร์รูมมอนิเตอร์ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ทั้ง 17 จังหวัด ณ ที่ทำการพรรค ในวันพรุ่งนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เลือกตั้งอบจ2568 #อบจประชาชน #อบจสมุทรสงคราม








“ทักษิณ” เดินทางไปศาลอาญาตามนัดไต่สวน กรณียื่นคำร้อง ขออนุญาตเดินทางไปประชุมที่มาเลเซีย

 


“ทักษิณ” เดินทางไปศาลอาญาตามนัดไต่สวน กรณียื่นคำร้อง ขออนุญาตเดินทางไปประชุมที่มาเลเซีย


วันนี้ (31 มกราคม 2568) ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์เมื่อเวลา 10.00น.นัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ขออนุญาตเดินทางไปประชุมที่มาเลเซีย


ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของจำเลย โดยในวันดังกล่าว โจทก์และทนายจำเลยมาศาล ส่วนจำเลยไม่มา ซึ่งทนายแถลงว่า จำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาในติดภารกิจสำคัญอยู่ที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่นัดไว้ก่อนแล้วไม่สามารถมาศาลได้ โจทก์แถลงไม่ค้านทนายจำเลยขอนำพยานจำเลยเข้าไต่สวนในชั้นนี้จบ 1 ปาก ทนายจำเลยอ้างส่งเอกสาร 3 ฉบับ


ทนายจำเลยจึงขอศาลเลื่อนคดีไปนัดไต่สวนคำร้องปากตัวจำเลยที่เหลือเพียงปากเดียว โจทก์แถลงไม่ค้าน ศาลพิเคราะห์แล้ว กรณีมีเหตุสมควร อนุญาตให้เลื่อนไปนัดไต่สวนพยานจำเลยผู้ร้องมาเป็นวันนี้ (31 ม.ค. 2568) 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร 

ข่าวดี “รังสิมันต์ โรม” เฮ! หลังศาลพิพากษา “ยกฟ้อง” คดีหมิ่น อดีตสว.อุปกิต ระบุ ทำด้วยสุจริต ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ยืนยันเรื่องเอกสิทธิ์และหน้าที่ของ สส.

 


ข่าวดี “รังสิมันต์ โรม” เฮ! หลังศาลพิพากษา “ยกฟ้อง” คดีหมิ่น อดีตสว.อุปกิต ระบุ ทำด้วยสุจริต ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ยืนยันเรื่องเอกสิทธิ์และหน้าที่ของ สส.


วันนี้ (31 มกราคม 2568) ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ พ.5365/2566 ระหว่างนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โจทก์ และนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน จำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท


โดยโจทก์ฟ้องโดยสรุปว่า จำเลยโพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กผ่านบัญชีผู้ใช้งานของจำเลย กล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้สมคบค้ายาเสพติด และขณะนี้พ้นสมัยประชุมวุฒิสภาแล้ว ไม่ทราบว่าโจทก์เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนแล้วหรือยัง


การกระทำของจำเลย เป็นการจงใจกล่าวหาโจทก์ ในลักษณะใส่ความด้วยข้อความเท็จซึ่งผิดต่อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ระบาดในสังคม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากบุคคลที่ได้ฟังคำกล่าวหาของจำเลยและเชื่อในสิ่งที่จำเลยพูดและเขียนว่าเป็นความจริง จำเลยจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย


ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ


ด้าน รังสิมันต์ โรม ให้การว่า ตนกระทำไปในฐานะสส. ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและหน่วยงานราชการโดยมีเจตนาสุจริตและเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง


ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่


ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว คดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา โดยศาลมีคำพิพากษาโดยสรุปได้ว่า เห็นว่าในประเด็นแรก ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคำฟ้องโจทก์มีรายละเอียดครบถ้วน โดยระบุข้อกล่าวหาว่าจำเลยเผยแพร่ข้อความและกระทำการใดที่ส่งผลต่อโจทก์อย่างไรพร้อมแนบหลักฐานชัดเจน เช่น บันทึกถ้อยคำและโพสต์ในสื่อออนไลน์ คำฟ้องจึงไม่ครอบคลุม


ในประเด็นที่ว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และโพสต์ข้อความบนสื่อออนไลน์และให้สัมภาษณ์สื่อ โดยอ้างข้อมูลจากเจ้าพนักงานตำรวจและเอกสารที่ชี้ว่า โจทก์มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และโจทก์ถูกแจ้งข้อหาในคดีอาญาเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดี และจำเลยจะยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้ว ถือว่าจำเลย เชื่อโดยมีมูลอันควรเชื่อว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีการดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ตามที่จำเลยได้พูดจริง และโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ประกอบกับโจทก์ขณะนั้นดำรงตำแหน่งสว. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ในสายตาของสาธารณะ


การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานโดยสุจริตย่อมเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปสามารถกระทำได้ จำเลยกระทำในฐานะสส. ที่มีสิทธิตรวจสอบการทำงานของสว. และวิพากษ์วิจารณ์เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน


จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำการโดยไม่สุจริตหรือมีเจตนาชั่วร้ายประกอบกับข้อความที่จำเลยกล่าวและเผยแพร่มีมูลความจริงและสอดคล้องกับหลักฐานในคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งหรือใส่ร้ายโจทก์โดยไม่มีมูล


การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำหน้าที่สส. ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของสส.พึงกระทำ และจำเลยกระทำไปด้วยความสุจริต มิใช่กระทำในเรื่องส่วนตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ศาลพิพากษายกฟ้อง


ภายหลังที่ศาล “ยกฟ้อง” รังสิมันต์ โรม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ความว่า


“ข่าวดีวันนี้ ศาลยกฟ้องคดีที่อดีต สว.อุปกิต ฟ้องผมในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา สืบเนื่องจากการอภิปรายของผมในสภา และการเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวในโลกออนไลน์ ศาลยืนยันในเรื่องเอกสิทธิ์ของ สส. ในการอภิปรายต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และตรวจสอบรัฐบาลและยืนยันว่า การเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนรับรู้รับทราบในปัญหาดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ สส. ด้วย”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รังสิมันต์โรม #สวอุปกิต #สวทรงเอ

“พิธา” ล่องเรือหาเสียงดัน “เก่ง นันทิยา” เป็นนายก อบจ.สมุทรสงคราม ชูนโยบายท่องเที่ยว ขอประชาชน 1 ก.พ. ออกไปเลือกตั้ง อบจ.ประชาชน

 


“พิธา” ล่องเรือหาเสียงดัน “เก่ง นันทิยา” เป็นนายก อบจ.สมุทรสงคราม ชูนโยบายท่องเที่ยว ขอประชาชน 1 ก.พ. ออกไปเลือกตั้ง อบจ.ประชาชน 


วันที่ 30 มกราคม 2568 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน เดินทางไปช่วยหาเสียง “เก่ง” นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย ผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรสงคราม เบอร์ 2 พรรคประชาชน โดยพิธา นันทิยา พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.อบจ. พรรคประชาชน ได้ลงเรือล่องคลองโพงพางและคลองประชาชมชื่น ซึ่งเป็นคลองสายสำคัญที่ประชาชนในพื้นที่ใช้ในการเกษตร เป็นเส้นทางคมนาคมและการท่องเที่ยว 


นันทิยากล่าวกับประชาชนสองฝั่งคลองว่า นโยบายสำคัญของตนคือการดูแลการท่องเที่ยวให้กับสมุทรสงคราม ดึงเงินจากนักท่องเที่ยวมาสู่พี่น้องประชาชนและชุมชน ด้านพิธาเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เลือกนันทิยาเบอร์ 2 เป็นนายก อบจ. คนต่อไปของสมุทรสงคราม


จากนั้นเดินทางถึงตลาดอัมพวา ขึ้นรถแห่และแวะทักทายประชาชนที่ตลาดนัดวัดคริสต์ ก่อนจบการแห่หาเสียงที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร ตลอดกิจกรรมมีประชาชนเข้ามาขอถ่ายภาพและส่งกำลังใจให้ทีมพรรคประชาชนจำนวนมาก


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจสมุทรสงคราม #อบจประชาชน #พรรคประชาชน