ธิดา ถาวรเศรษฐ : สถานการณ์การเมืองในปี 2568
ระหว่างอำนาจระบอบอำมาตย์ และอำนาจประชาชน
[ถอดเทป] Facebook Live เพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
เมื่อวันที่
2 มกราคม 2568
สวัสดีค่ะ
ขึ้นปี 2568 แล้ว ดิฉันก็คิดว่ามันต้องเป็นเวลาที่เราควรจะพูดถึงสถานการณ์ในปี
2568 และเก็บรับอดีตในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ดิฉันจะพูดในวันนี้ก็คือ
“สถานการณ์การเมืองในปี 2568
ระหว่างอำนาจของระบอบอำมาตย์และอำนาจประชาชน”
ดิฉันใช้คำว่าระบอบอำมาตย์นะคะ
เพื่อที่จะได้เป็นภาษาที่คุ้นเคย เพราะว่าคำพูดของอาจารย์ปรีดีก็คือ ถ้าเมื่อไหร่ที่วุฒิสมาชิกยังไม่ได้รับการเลือกโดยตรงจากประชาชน
ถือว่าเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย
มันก็เข้ากับบรรยากาศประเทศไทยซึ่งมันยังเป็นแบบโบร่ำโบราณ มีอำมาตย์ มีไพร่
ว่างั้นเถอะ ถ้าเป็นคนเสื้อแดงจะชินกับภาษานี้
คือระบอบอำมาตย์ก็เป็นระบอบอำมาตย์สมัยใหม่ ไพร่ก็เป็นไพร่สมัยใหม่
มันไม่ใช่ไพร่แบบเดิมที่เป็นสังกัดมูลนายแบบเดิม แต่ว่าโดยระบอบ ดิฉันใช้คำว่า
“ระบอบ” นะ เป็น Regime
ก็เป็นการต่อสู้กันระหว่างอำนาจของชนชั้นนำที่เป็นพวกจารีตอำนาจนิยมกับอำนาจของประชาชน
เพราะฉะนั้น
ดิฉันจะเริ่มแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยนั้นยังมี 2 ขั้วอำนาจ
ป้ายเราคือเป็นระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง
แต่ว่าในความเป็นจริงยังเป็นการต่อสู้ของอำนาจชนชั้นนำกับอำนาจประชาชน
เราไม่เหมือนกับประเทศอารยะที่เจริญแล้ว
เขาผ่านการต่อสู้กับพวกระบอบจารีตจนจบไปแล้ว แล้วก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมแบบใหม่
นั่นก็คือเสียงข้างมากขึ้นมาเป็นรัฐบาล แต่ของเรา เมื่อยังมีการต่อสู้ 2 ระบอบ
มันก็แสดงถึงอำนาจที่ยังดำรงอยู่เป็น 2 ขั้ว ไม่ใช่ 3 ก๊กค่ะ ถ้าพูดว่า 3 ก๊ก
แปลว่ายังไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าอำนาจยังไม่ได้เป็นของประชาชน
และประชาชนยังต้องดำเนินการต่อสู้เพื่อให้อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ถึงกับว่าจะเป็นพวกถูกอ้างว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมนิยมซ้ายสุดโต่ง ไม่ใช่!!! แต่เป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสากลที่อำนาจเป็นของประชาชน
ตั้งแต่รัฐประหารใน
2 ทศวรรษใหม่เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ระบอบที่มีชนชั้นนำเป็นผู้ควบคุมและเป็นเครือข่าย ระบอบนี้ยังดำรงอยู่
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ระบอบอำมาตย์ก็ใช้ยุทธวิธีแตกต่างกัน บางทีก็ชนะ
บางทีแพ้ มีกบฏบวรเดช อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ไล่มาจนกระทั่งดึงทหารมาเป็นพวก
เป็นเผด็จการที่อยู่ร่วมกันเช่นในยุคจอมพลสฤษดิ์ แต่เมื่อมันไม่ได้เป็นเอกภาพเช่นยุคถนอม-ประภาส
ก็มาร่วมกับฝ่ายภาคประชาชนและปัญญาชนเพื่อโค่นอำนาจทหาร
นั่นแปลว่าการต่อสู้ระหว่างระบอบอำมาตย์และเครือข่ายจารีตเดิม
มันมีการพลิกแพลงเปลี่ยนยุทธวิธีตลอด
ดังนั้น
การทำรัฐประหารในช่วงสมัยใหม่ในช่วง 2 ทศวรรษนี้ คือ 2549 จนถึง 2557
จนถึงปัจจุบัน ดิฉันมองว่านี่ยังเป็นการต่อสู้
แต่ว่ายุทธวิธีของฝั่งระบอบอำมาตย์นั้นมีพลิกแพลง
ดังเช่นที่เราเห็นว่านอกจากมีมวลชนจารีตนิยม นอกจากมีกองทัพที่อยู่ร่วมฝ่าย
นอกจากมีพรรคการเมืองร่วมฝ่าย
เราก็ยังปรากฏให้เห็นว่ามีสิ่งที่เราจะเรียกนิติสงครามก็คือ
พ่วงด้วยกระบวนการยุติธรรมและอำนาจอื่น ๆ
อันถือว่าเป็นโครงสร้างเครือข่ายของระบอบจารีตอำนาจนิยมทั้งหมด สิ่งนี้ยังดำรงอยู่
และเป็นด้านหลักของความขัดแย้งกับประชาชน
คือในคู่ต่อสู้ระหว่างอำนาจประชาชนกับอำนาจของฝั่งจารีตนิยม
หลายคนอาจจะพูดว่าขอให้ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ถามว่าความเป็นจริงประชาชนต้องการปรองดอง อย่างทุกวันนี้อยากได้นิรโทษกรรม
แต่ว่าฝั่งที่ไม่ยอมปรองดองด้วยอย่างแท้จริงก็คือฝั่งของระบอบอำมาตย์หรือจารีตอำนาจนิยม
ไม่ให้แก้ 112 ไม่ให้นิรโทษกรรม 112 แปลว่าอะไร? แปลว่าเขาไม่ได้ต้องการปรองดองกับความคิดต่างทางการเมือง
แล้วถามว่าในความขัดแย้งคู่นี้
อะไรเป็นด้านหลัก? ในทัศนะของดิฉันถือว่าแม้กระทั่ง พ.ศ. นี้ ฝั่งจารีตอำนาจนิยมยังเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง
ก็คือ อำนาจเขายังดำรงอยู่ มีทั้งอำนาจกองทัพ อำนาจข้าราชการระดับสูง นายทุน
ชนชั้นนำ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ทั้ง ซึ่งในโรงเรียนการเมืองนปช.
เราเรียกว่าเครือข่ายระบอบอำมาตย์ แต่ว่าถ้าเป็นคนต่างประเทศที่มีทฤษฎีคล้าย ๆ กันเขาก็เรียกว่าเป็น
monarchy
network ก็คล้าย ๆ กัน
ดังนั้น
มาปี 2568 ดิฉันก็คิดว่าคำว่า “ด้านหลัก” ก็คือเขาอยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำ
ประชาชนยังเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ว่าเขาได้เปลี่ยนยุทธวิธี
ก็คือแทนที่ผู้ทำรัฐประหารจะมาเป็นรัฐบาลโดยตรง
ก็ได้เปลี่ยนยุทธวิธีดังที่เราทราบกัน ฉะนั้นยุทธวิธีที่ผ่านมาจากปี 2566 จนถึง
2567 ก็เป็นยุทธวิธีที่ดึงพรรคการเมืองฝ่ายที่เคยอยู่ข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมาอยู่เป็นพวก
อันนี้ก็เป็นยุทธวิธีอีกแบบหนึ่ง
เราจะเห็นว่าฝั่งระบอบอำมาตย์หรือฝั่งจารีตนิยมไม่ได้รามือเลย
แล้วก็ใช้ท่วงท่ากระบวนการต่าง ๆ และไม่ได้คิดจะปรองดอง ถ้าฆ่าได้เป็นฆ่า
ถ้าฆ่าไม่ได้ก็ใช้นิติสงคราม
สิ่งที่เกิดขึ้นเราก็จะเห็นว่าผู้นำของขบวนการของประชาชนของเยาวชนคนรุ่นใหม่
แล้วก็ฝ่ายที่คิดต่างก็ล้วนอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้รับการประกันตัว
แล้วก็มีโทษสูงยิ่งกว่าในระบอบยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และมีการยุบพรรคการเมืองที่ไม่พึงปรารถนาเป็นลำดับ ๆ ๆ นี่คือทัศนะของดิฉันว่าเขายังเป็นด้านหลัก
เพียงแต่ว่าจากยุทธวิธีปราบปราม มาเป็นยุทธวิธีในการที่ใช้กระบวนการยุติธรรม
ใช้กฎหมายและนักกฎหมายมาควบคุมพรรคการเมืองให้อยู่ในอาณัติอีกทีหนึ่ง
แล้วก็ทำให้เป็นรัฐบาลที่สามารถสืบทอดอำนาจได้ เพียงแต่แปลงร่างจาก พล.อ.ประยุทธ์
เป็นนายกฯ มาเป็นคุณแพทองธาร ไม่น่าเชื่อเลย ใครจะไปคิดว่าการหาเสียงที่ผ่านมาตอนปี
2566 ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดเช่นนี้
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม
แม้นว่าจะมีลักษณะเป็นด้านหลัก
แต่ในทัศนะของดิฉันก็คือมีความเสื่อมโทรมและเสื่อมถอย
ดังนั้นพลังที่อยู่ในฐานะควบคุมประชาชนนั้นมันลบ และมันลด
และมันเสื่อมถอยลงไปตลอดเวลา ในส่วนของประชาชนผู้ถูกกระทำ
ยังถูกกระทำด้วยความรุนแรง แต่ว่าพลังด้านบวกในการเติบโตขึ้น
มันเติบโตขึ้นตลอดเวลา จากเมื่อก่อนเป็นเสื้อแดง
เป็นขบวนการผู้รักประชาธิปไตยที่ค่อนข้างจะถูกกระทำจากอำนาจรัฐยาวนาน
แต่ในท่ามกลางด้านลบก็มีด้านบวก มันก็มีการสั่งสมความรู้
มันก็มีคนที่ทำข้อมูลวิทยานิพนธ์เรื่องราวต่าง ๆ ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจว่าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย
และอะไรที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าได้
อนาคตของพวกเขาทำไมไม่เหมือนกับอนาคตของพลเมืองโลกอื่น ๆ ทั้ง ๆ
ที่เขาก็เก่งเท่ากัน หรือเขาควรจะเก่งกว่านี้ ทำไมระบบการศึกษาเป็นอย่างนี้
ทำไมเงินเดือนเขาเพียงเท่านี้ ทำไมเขาถึงไม่มีขีดความสามารถเท่าคนในประเทศอื่น
ทำให้คนรุ่นใหม่กลายเป็นพลังบวก ฉะนั้น ฝั่งประชาชน อำนาจประชาชน แม้นจะถูกกระทำ
แต่ว่าถ้าเป็นกราฟก็ไต่ขึ้น ในขณะที่ฝั่งของระบอบอำมาตย์กราฟอาจจะอยู่ในระดับสูงอยู่
แต่ว่ากราฟก็จะเตี้ยลง ดังนั้นในปี 2568 พลังของฝั่งอำนาจจารีตนิยมก็จะลดลง แต่เมื่อเขาลดลงเขาก็จะใช้ยุทธวิธีที่เปลี่ยนแปลง
อันนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันมอง
การดำเนินการกลยุทธ์เขาก็จะมีดำเนินการเพื่อที่เมื่อใช้
“พรรคเพื่อไทย” เข้ามาอยู่ในเครือข่ายระบอบอำมาตย์ เข้ามาอยู่แล้วนะ
เมื่อก่อนเราบอก “ประชาธิปัตย์” เป็น แต่ตอนนี้ต้องถือว่าเพื่อไทยเป็นเครือข่ายระบอบอำมาตย์ด้วย
ดิฉันไม่ถือว่าเป็น 3 ก๊ก ดิฉันยังถือว่าเป็น 2 ขั้วอำนาจ
นอกจากโครงสร้างของระบอบอำมาตย์ที่สำคัญเกี่ยวกับ
ทุกคนรู้ว่า 1) ใช้กองทัพ 2) ใช้กระบวนการยุติธรรม
แต่ดิฉันอยากจะเตือนว่ายังมีอีกอำนาจหนึ่ง คืออำนาจทางวัฒนธรรม ทางขนบธรรมเนียมประเพณี
ทางอุดมการณ์และการศึกษา ซึ่งกล่อมเกลาและย้อมให้คนเป็นพลังจารีตนิยมมากขึ้น
แน่นอนคนรุ่นเก่าส่วนหนึ่ง ก็คือพูดตรง ๆ ว่า
จากไพร่ในระบอบเดิมก็มาไพร่ในระบอบใหม่ที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นไพร่
ยังไม่ใช่เสรีชน ยังคิดว่าเป็นไพร่ฟ้า คือศัพท์โบราณ “ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน”
เพราะฉะนั้นจะมีคน คำหนึ่งก็แผ่นดิน คือยังไม่หลุด ถึงแม้ว่าจะเป็นไพร่สมัยใหม่
เพียงแต่คนเยนเนอเรชั่นใหม่เขาเป็นประมาณว่าเป็น global citizen ก็จะมีลักษณะพลานุภาพที่โดยเฉพาะสื่อสารออนไลน์ ทำให้เขาเรียนรู้
ดังนั้นวัฒนธรรมจารีตก็กำลังถูกทำลายด้วยวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่
แต่ว่าที่ดิฉันอยากจะเตือนก็คือ มันยังครอบงำอยู่หนาแน่นมาก ดังนั้นวัฒนธรรมจารีต
อุดมการณ์จารีตเหล่านี้ทั้งหมด ในความคิดของดิฉันนะ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมาก
ก่อนหน้านี้ดิฉันก็คิดเรื่องเศรษฐกิจกับการเมืองเป็นหลัก
แต่ในด้านอิทธิพลของวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดิฉันชอบใช้คำว่าบนโครงสร้างชั้นบน
เป็นสิ่งที่ระบอบอำมาตย์ไม่เคยละทิ้ง แล้วทำได้ดี ทำได้ดีมากเลย
คือเขาล้มเหลวที่กบฏบวรเดช
แล้วก็มาล้มเหลวในช่วงต่อมา แต่ว่าสิ่งหนึ่งก็คืออำนาจทางวรรณกรรม ยกตัวอย่างเช่น
คุณจะพูดถึงสี่แผ่นดิน หรือพูดวรรณกรรมของทมยันตี, วรรณกรรมของคึกฤทธิ์ ปราโมช, สด
กูรมะโรหิต แล้วก็คนที่เคยเข้าคุกตะรุเตาในช่วงก่อนหน้านั้น
วรรณกรรมเหล่านี้มันก็บทบาท เพราะฉะนั้นแนวรบมันไม่ใช่แนวรบด้านอาวุธอย่างเดียว
ไม่ใช่แนวรบด้านกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นแนวรบด้านวัฒนธรรมและการศึกษาสำคัญมาก
ดิฉันจึงอยากจะเตือนให้ตระหนักว่ามันเป็นแนวรบที่เราต้องช่วยกันทำ
และแนวรบนี้เป็นแนวรบที่สำคัญมากสำหรับดิฉันเพราะมันเปลี่ยนความคิดคนได้
ถ้าความคิดคนไม่เปลี่ยน เขาจะไม่พยายามทำอะไรทั้งสิ้น คือคนไม่ใช่วัตถุ
เพราะฉะนั้นมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ดังที่เราจะเห็นว่าพลังของฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้นทุกวัน
แม้จะถูกแบ่งแยกและทำลายโดยยุทธวิธีของฝั่งระบอบอำมาตย์ก็ตาม
แต่ว่าเราจะเห็นว่ามันเป็นกราฟขาขึ้น
ในขณะที่ฝั่งของระบอบอำมาตย์เขาอยู่สูงอยู่แล้วไง แต่มันลงต่ำ!!! เพราะฉะนั้น
กราฟประชาชนขึ้น แต่กราฟของฝ่ายจารีตลงต่ำ
แต่สิ่งที่สำคัญดิฉันอยากให้สนใจในเรื่องอำนาจของโครงสร้างชั้นบนให้มาก
เพราะว่าถ้าความคิดประชาชนเปลี่ยน ประเทศไทยก็เปลี่ยน ไม่ใช่ว่าจะแจกเงิน มีงานทำมันก็ดี
แต่นั้นมันก็คือการสั่งสมของประโยชน์ส่วนตัว
แต่ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเสพสุขอย่างเดียว สุขในการที่ชีวิตมีคุณค่า
แล้วสร้างคุณค่าให้กับโลก ดิฉันคิดว่ามันเป็นความสุขที่สูงที่สุด
ไม่อย่างนั้นดิฉันก็ไม่อยู่อย่างนี้หรอก
ที่อยู่อย่างนี้ก็คือเรามีความสุขกับการที่เป็นผู้ช่วยกันสร้างสรรค์และเป็นผู้ให้อย่างระมัดระวังเพื่อที่จะทำให้สังคมดีขึ้น
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะขอให้พวกเราสนใจว่า
แนวรบของฝั่งจารีตในด้านนี้เขาหนักหน่วงมากนะ แล้วมีขีดความสามารถมาก ดังนั้น
ถ้าใครสามารถทำได้ ในส่วนหนึ่งนักวิชาการได้ทำมาแล้ว แล้วสำนักพิมพ์บางส่วนก็ได้ทำมาแล้ว
เช่น ในการเปิดเผยประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เรียนมา
อันนั้นก็เป็นคุณ จึงทำให้คนเยนเนอเรชั่นใหม่มีความเข้าใจการต่อสู้ของประชาชนมากขึ้น
อันนั้นคือเป็นฝ่ายจารีต
ดิฉันพูดได้อย่างเดียวว่าเขาใช้ทุกวิธี แล้วเขาจะปรับกลยุทธ์ไปเรื่อย ขณะนี้นายกฯ
เป็นคุณอุ๊งอิ๊ง แต่ว่าพูดก็พูดคือ พูดในฝั่งของเครือข่ายระบอบอำมาตย์
พรรคเพื่อไทยก็จะต้องเข้าสู่การหาเสียง
เพราะว่าถ้าคุณไม่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนมาก
คุณก็ไม่มีค่าอะไรที่ฝ่ายระบอบอำมาตย์หรือว่าใบอนุญาตที่ 2 คือถ้าคุณได้ใบอนุญาตที่
1 น้อยมาก คุณก็ไม่มีค่า ดังนั้น
เพื่อที่จะให้ฝั่งระบอบอำมาตย์เห็นคุณค่าแล้วสามารถเป็นรัฐบาลได้มั่นคง
ก็ต้องหาเสียงมาก
เพราะฉะนั้น เราจะเผชิญ ซึ่งดิฉันจะพูดในคลิปต่อไปหลังจากนี้เกี่ยวกับเรื่องทวงความยุติธรรมและนิรโทษกรรม
ดังนั้นพรรคอย่างพรรคเพื่อไทยซึ่งข้ามขั้วไปแล้ว
บุคคลบางส่วนนะ ไม่ยอมรับการข้ามขั้ว ยังบอกเป็น 3 ก๊กอยู่ ช่วงนี้ขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจว่า
“สิ่งที่พูด” กับ “สิ่งที่ทำ” มันไม่เหมือนกัน เราดูวันนี้
เราต้องดูที่เขาพูดเมื่อวานนี้เขาพูดว่าไง?
แล้ววันนี้เขาทำตามที่พูดเมื่อวานนี้ไหม?
แต่เขาพูดวันนี้ว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้เขาจะทำ ถ้าเมื่อวานนี้ เมื่อก่อนนี้นะ เขาพูดเอาไว้แล้วเขาไม่ทำ
แล้วยังจะหวังว่าพูดวันนี้แล้วจะทำในครั้งหน้า มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!!!
ดิฉันจึงอยากจะเรียนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจไว้ว่า
นี่เข้าสู่ฤดูหาเสียงแล้ว แล้วฤดูหาเสียงของฝั่งที่ต้องการใบอนุญาตที่ 1
มันจะทำเต็มที่เลย บางครั้งดิฉันก็งง!! เอ๊ะ ทำไมทำอะไรอย่างนี้
ดูเหมือนดีนะ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เราผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ผ่านการเล่นละคร
ผ่านการหาเสียงมาเป็นลำดับ แม้มันจะไม่ค่อยมีโอกาสเลือกตั้งก็ตาม
แต่ให้เข้าใจว่าปี 2568
จะเป็นปีหาเสียงอย่างหนักของพรรคการเมืองในเครือข่ายระบอบอำมาตย์ เพราะต้องการใบอนุญาตที่
1 จากประชาชนเพื่อไปขอใบอนุญาตที่ 2 คือเขาต้องการทั้งสองใบ
แต่นี่คือขั้วความขัดแย้งกันระหว่างระบอบอำนาจจารีตนิยมกับประชาชน
มันเป็นความขัดแย้งกัน ถ้าคุณได้อนุญาตที่ 2 แล้วคุณหวังเหรอว่าจะได้ใบอนุญาตที่ 1
จากประชาชนมาก ใช่มั้ย? ถ้างั้นมันก็จะต้องมีการโกหกรอบใหม่อีกหรือเปล่า?
มีการหาเสียง แต่สำหรับดิฉัน ถ้าของเก่าพูดแล้วไม่ทำ อย่าไปหวังเลยว่าของใหม่
พูดแล้วจะทำ!!! ใครเชื่อ? ไม่เชื่อแน่นอน!!! นี่คือเรื่องของระบอบอำมาตย์ที่จะเข้าสู่ฤดูหาเสียง
ในส่วนขบวนการประชาชน เมื่อกี้เราพูดหลัก ๆ
คือแนวโน้มใหญ่มันเป็นด้านบวก มันเป็นขาขึ้น ฝั่งระบอบจารีตมันเป็นขาลง
แต่เขาอยู่สูงและเขาตอกหลักแน่นหนาเลย เขาตอกทุกเสาเลย เสากองทัพ เสากฎหมาย
เสาการศึกษา เสาศาสนาวัฒนธรรมประเพณี
แล้วระบอบศักดินาบ้านเรามันไม่เหมือนระบอบขุนนางในต่างประเทศ
ซึ่งขุนนางในต่างประเทศเขามีอำนาจเพราะเขาเป็นเจ้าที่ดิน
ดังนั้นเขาก็จะมีไพร่ติดที่ดิน มีพลพรรคมาก มีอำนาจ มีความมั่งคั่ง
สามารถที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ได้แบบอังกฤษ
แต่มันก็ใช้เวลายาวนานแบบอังกฤษ เขาถึงมีสภาขุนนางเพราะคนเหล่านี้ก็มีอำนาจ
แต่ของบ้านเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ในสมัยโบราณขุนนางก็ต่อสู้เพื่อเป็นกษัตริย์ แต่มาใน ร.5
ท่านได้เปลี่ยนปฏิรูประบบ ดังนั้น กลายเป็นว่าขุนนางก็เป็นข้าราชการ
คือใช้ระบบของอังกฤษที่ปกครองอาณานิคม เราก็เป็นเจ้าอาณานิคมนะ ก็เอามาใช้ปกครองประเทศไทย
เช่นหัวเมืองฝ่ายเหนือ อีสาน ฝ่ายใต้ เราก็เป็นเจ้าอาณานิคมย่อย
เราได้ปฏิรูปการปกครองรวมศูนย์ เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แข็งแกร่งมาก
ขุนนางทั้งหลายจบหมดเลย จะต้องขึ้นอยู่กับศูนย์กลางทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตาม
เวลาที่ผ่านมาแม้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ว่าอำนาจจารีตนิยมของเรามันตอก
อย่างที่บอก ตอกหลักกองทัพ ตอกหลักยุติธรรม ตอกหลักการศึกษา วัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา มันมีเสาตั้งหลายเสา แล้วไม่มีการต่อต้านจากขุนนาง
มันก็กลายเป็นเครือข่ายของระบอบที่ชนชั้นนำที่เป็นผู้ปกครองและอยู่ในฐานะเป็นด้านหลักมาจนถึงปัจจุบันนี้
แต่ว่ากราฟกำลังลดลงเป็นด้านเสื่อม ขณะที่ประชาชนกราฟเป็นด้านบวก แต่ยังต้องไต่
และต้องทำการต่อสู้ทางความคิดของประชาชนให้มากกว่านี้ จาก 70%
เป็นประชาธิปไตย ให้มันเป็น 90% เลย เพิ่มมาอีก 20% เลย โดยการเลือกตั้งครั้งที่แล้วที่เลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 70% อันนั้นมันเป็นสัญญาณสำคัญ
มีด้านบวก
แต่ด้านลบที่สำคัญก็คือ ผู้นำทั้งหลายถูกจัดการโดยใช้กฎหมาย
เขาไม่ได้ใช้อาวุธปราบปรามเหมือนกรณีคนเสื้อแดง ซึ่งดิฉันจะขอพูดในวันหลัง
เพราะมีประเด็นมากพอสมควร แต่ว่าคนเหล่านี้ถูกจัดการโดยกฎหมาย
จนส่วนหนึ่งต้องลี้ภัย ส่วนหนึ่งต้องอยู่ในเรือนจำ ดิฉันเคยพูดแล้วว่าคนอย่าง
“อานนท์ นำภา” เป็นตัวเชื่อมระหว่างประวัติศาสตร์ของคนเสื้อแดง เขาเป็นคนเสื้อแดง
เป็นทนายเสื้อแดง แล้วก็มาเป็นทนาย 112 จนกระทั่งตัวเองโดน 112 ด้วย
เขาเป็นผู้เชื่อมประวัติศาสตร์ และอาจจะพูดได้ว่า
เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในเรือนจำ เพราะส่วนใหญ่ก็จะลี้ภัย
อันนี้ก็แปลว่าระบอบอำมาตย์ใช้กฎหมายกับกระบวนการยุติธรรมในการจัดการกับผู้นำ
วิธีคิดของฝั่งจารีตเขาจะมุ่งไปที่แกนนำสำคัญเป็นหลัก สมมุติใครเป็นกบฏก็หัวหน้ากบฎนั่นแหละเป็นหลัก
ดิฉันก็เข้าใจที่มีคนส่วนหนึ่งลี้ภัย แต่ว่าอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถเป็นนักต่อสู้ได้
จะอยู่ในคุก จะอยู่ที่ไหนก็เป็นนักต่อสู้ได้ ดิฉันเชื่อว่าคุณอานนท์
การที่เขาถูกขังอยู่ในเรือนจำมันเป็นการต่อสู้อีกแบบหนึ่ง ที่เหมือนกับการพลีชีพตัวเองนั่นแหละ
มันก็เป็นการต่อสู้อีกแบบหนึ่ง ดิฉันเข้าใจเยาวชนที่จำเป็นต้องลี้ภัย
นี่คือด้านลบของผู้นำ
แต่ในความเป็นจริง
มันไม่ได้เป็นด้านลบแบบที่ฝั่งจารีตคิด
ดิฉันไม่อยากพูดทั้งหมดเดี๋ยวคนมาบอกว่าอย่าไปบอกเขาหมด ก็คือจริง ๆ
แล้วปัจจุบันนี้อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องลงถนน ทุกวันนี้ที่เป็นอยู่เขาไม่ลงถนน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต่อสู้ เพราะว่าเขาสามารถต่อสู้ได้โดยทางออนไลน์
ถนนออนไลน์ก็เป็นถนน ก็ขึ้นอยู่กับพลังว่าในออนไลน์มีมากหรือน้อย ดังนั้น
แนวรบเมื่อตอนที่ทำสมัยเสื้อแดงก็ถือว่าเป็นเขตยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะชนบท เมือง
กรุงเทพฯ แล้วออนไลน์เป็นเขตยุทธศาสตร์ที่ 4 ต่างประเทศเป็นเขตยุทธศาสตร์ที่ 5
มันก็เป็นเขตยุทธศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น
เขาก็ลงบนถนนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องมาลงตามถนนจริง แต่ว่าเราก็ไม่รู้ ไม่แน่
อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ด้านลบเรื่องนี้ก็คืออาจจะมีปัญหาเรื่องแกนนำ แต่ว่าประชาชนก็ต้องพลิกแพลง
ถามว่าทำไมเราต้องพลิกแพลง ฝั่งอำมาตย์ยังพลิกแพลงเลย คนแก่ ๆ
ขนาดฝั่งจารีตเขายังพลิกแพลง เพราะเพื่อเอาชีวิตรอด
การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมันจะเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้น ทำทุกอย่างได้
แต่ว่าคนที่ต่อสู้เพื่อให้ประเทศเจริญมักจะไม่โหดเหี้ยมเท่าการต่อสู้เพื่อรอดชีวิต
ฉะนั้นพวกฝั่งระบอบอำมาตย์จะเป็นพวกที่ต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด
ดังนั้นพวกฝั่งอำมาตย์จะต่อสู้แบบเรียกว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ถ้าไม่งั้นเขาก็ไม่รอด มันต้องพัฒนาจิตใจที่ต่อสู้
กล้าเสียสละ แต่ต้องเข้าใจว่าอีกหนึ่งนั้นอำมหิต
ดังนั้น
สิ่งที่ฝากไว้ก็คือ โอเค คุณสามารถมีแกนนำใหม่ คุณไม่จำเป็นต้องลงถนนก็ได้
หรือถ้าคุณลงถนนคุณก็สามารถมีแกนนำคนอื่นได้ เหมือนกับพรรคบางพรรค ระบอบอำมาตย์จัดการเขาทีละแถว
เขาก็ต้องสร้างคนใหม่มา
แล้วในแกนนำของประชาชนสร้างคนใหม่ง่ายกว่าพรรคการเมืองด้วยซ้ำ
เพราะมันไม่มีระเบียบ ใครก็เป็นแกนนำได้ถ้ามีความสามารถ การสร้างแกนนำใหม่ ๆ
ขึ้นมาตลอดเวลาก็ยังเป็นภารกิจ
แต่ที่สำคัญคือสนามการต่อสู้จะเป็นสนามการต่อสู้ออนไลน์
และการเปลี่ยนความคิดของประชาชนให้ก้าวหน้า เพราะว่าอาจารย์ผ่านชีวิตในเขตป่าเขา
มีอาวุธจริงนะในยุคก่อน
แต่ถามว่าคุณมีอาวุธแล้วถ้าสมมุติมีการหนุนช่วยของประเทศอื่นเข้ามา
แต่คนในประเทศความคิดยังไม่ได้เปลี่ยน มีประโยชน์มั้ย? มันไปต่อไม่ได้
เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงความคิดประชาชนให้มากกว่านี้ การมีแกนนำให้มากกว่านี้
การใช้ยุทธวิธีอื่น ๆ ให้มากกว่านี้ มันยังเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะต้องท้อถอยว่า
ผู้นำเข้าคุก ถูกจับไปหมด ก็คือเพียงแต่เราต้องพลิกแพลง ก็คุณดูซิ ผ่าน 2475
มาแล้ว พวกระบอบอำมาตย์จนถึงทุกวันนี้ทำไมยังอยู่ได้?
อยู่ได้อย่างเต็มที่เพราะเขาสู้ไม่ถอย พลิกแพลงยืดหยุ่น
ฝ่ายประชาชนเป็นฝ่ายถูกต้อง เราก็ต้องมีพลิกแพลงยืดหยุ่น ระมัดระวัง
แล้วต้องรู้ด้วยว่านี่เป็นสงครามที่ยืดเยื้อ
การต่อสู้ของประชาชนกับฝั่งจารีตอำนาจนิยมซึ่งเป็นฝั่งของผู้ปกครอง
ยังพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองต่อไป และเป็นการต่อสู้ที่เหี้ยมโหดอำมหิต
และใช้กลยุทธ์ทุกวิธี เพราะฉะนั้น ฝั่งประชาชนต้องเข้าใจ
ต้องมีความระมัดระวังว่าเราจะเจอการต่อสู้ที่เหี้ยมโหด เพราะเขาสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
แต่เราสู้เพื่อให้ประเทศเจริญขึ้น ใจมันคนละอย่างกันนะ
ใจของประชาชนจะไม่เหี้ยมโหดอำมหิต จะพยายามมองด้านบวก ปรองดองกันดีมั้ย? ก็นิรโทษฯ
ความเห็นต่างกัน เขาไม่เอา ไม่ยอมนิรโทษฯ ไม่ยอมแก้ไข เพราะเขาบอก
“เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย” เดี๋ยวมันจะผุพัง ก็ทำตัวให้มันเป็นไม้สักหน่อยซิ
ไม้สักก็ไม่เห็นจะต้องผุพังไปได้เลย ก็ต้องเป็นไม้เนื้อแข็ง
ไม่จำเป็นต้องถึงกับเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กก็ได้ เอาแบบโบราณ ๆ
ที่สำคัญตรงนี้ก็คือ
ขณะนี้ยังเป็นสงครามที่ผู้ถูกปกครองเป็นฝ่ายรอง
ผู้ปกครองด้านจารีตอำนาจนิยมยังเป็นฝ่ายหลัก แต่กำลังเสื่อมลง
ฝั่งประชาชนกำลังเติบโตขึ้น อีกอันหนึ่งก็คือ เมื่อฝั่งจารีตใช้กลยุทธ์แยกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไปรวมอยู่ด้วย
นั่นหมายถึงเขาแบ่งแยกประชาชน ดังนั้น
ประชาชนส่วนหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตยก็ถูกแบ่งแยกและกลายพันธุ์
ก็กลายเป็นว่าเพื่อผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับจากการได้ตำแหน่งหรือไม่ผลประโยชน์อะไรต่าง ๆ
ก็แล้วแต่
เพราะฉะนั้น
ส่วนของฝั่งประชาชนขณะนี้อาจารย์ว่าอย่าเสียใจ ในปี 2568
จะเป็นปีที่มันชัดเจนว่าใครเป็นกัลยาณมิตร ใครเป็นมิตรแท้
อาจจะมีส่วนหนึ่งซึ่งยังตัดสินใจไม่ได้ ก็ให้ความรู้
ให้เรายังเป็นกัลยาณมิตรกันได้ แต่ว่าสิ่งที่เราแยกมิตรแยกศัตรูก็คือ
ใครที่ข้ามไปอยู่ฝั่งผู้กระทำต่อประชาชน และทำอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต คุณลืม 2553
ไปแล้วหรือ? ใครเป็นผู้กระทำ? แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเราทวงความยุติธรรม
ถ้าไม่ใช่ความยุติธรรมคืบคลานเข้าไปหาใกล้เขา เขาจะทำรัฐประหาร 2557 ทำไม?
ไม่จำเป็น เขาไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหาร 2557 ก็ได้
แต่เขาต้องทำ! เพราะว่าสู้เพื่อชีวิตไง
เอาชีวิตรอด ดังนั้น ใครที่คิดว่าการเป็นแฟนคลับพรรคการเมือง แล้วก็คิดว่าเป็น 3
ก๊ก ไม่ใช่ระหว่างฝ่ายผู้กระทำกับฝ่ายผู้ถูกกระทำ คุณไปอยู่ฝ่ายกระทำ
ฝั่งฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตยอย่าเสียใจ 1) เราต้องช่วยกันทางความคิด 2)
มันจะคัดกรอง ใครเป็นแถวหน้า? ใครเป็นแถวกลาง? ใครเป็นแถวหลัง?
มันจะคัดกรองไปเรื่อย ๆ อาจารย์เดินทางผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อมาตลอด ตั้งแต่ 2516
เราก็เสียมิตรก่อนหน้านั้นไปเพราะพวกนั้นไม่สนใจการเมือง แล้วพอมาถึง 2519
เราก็เสียมิตรส่วนหนึ่งไป ชีวิตก็หักเหต้องเข้าอยู่ในเขตป่าเขา
เพราะเจอการกระทำที่อำมหิต แม้กระทั่งในสนามหญ้าในบริเวณมหาวิทยาลัย ซึ่งรับไม่ได้
มาปี
2535 จนกระทั่งมาปี 2549 มันมีหัวเลี้ยวหัวต่อ อย่าได้เสียใจ
เพราะคุณยังมีเพื่อนร่วมเดินทางใหม่
และมันจะคัดกรองคนที่ไม่สามารถเดินทางร่วมกันกับนักต่อสู้ไปได้
ขอให้ภาคภูมิใจในฐานะนักต่อสู้ของประชาชน และดังที่ได้พูดว่า
เราต้องยกย่องเกียรติภูมิของนักต่อสู้ประชาชนให้สูงเด่น เราไม่ได้อยู่ในคอก
เราเป็นเสรีชน ยอมรับความรู้และข้อมูลต่าง ๆ เรื่องการโหวตนั่นเป็นวิธีการ
และอย่าลืมว่าปีนี้ 2568 จะเป็นปีที่เข้าสู่การหาเสียง
เพราะว่าเขาอาจจะต้องยุบสภาก่อน 2570 ก็ได้ หรือมีอะไรเกิดขึ้นก่อน 2570 ก็ได้
ตัวประกันมีเยอะแยะไป สถานการณ์การเมืองของรัฐบาลจะถูกรุกฆาต ไม่ว่าจะเป็นคดีชั้น
14 ไม่ว่าจะเป็นคดี 112 อาจจะมองในแง่ดีโลกสวยก็ได้ว่า ไม่เป็นไร
แต่มันก็ไม่แน่นอน
มันขึ้นอยู่กับว่าพรรคที่ข้ามขั้วไปทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทแค่ไหน
นี่ก็คือสถานการณ์ปี
2568 เปลี่ยนแปลงความคิดประชาชน
แล้วอย่าไปเสียดายว่าบางครั้งเราอาจจะต้องเสียมิตรร่วมรบไปจำนวนหนึ่ง
แต่เราได้คนใหม่มา เพราะว่ากราฟประชาชนนั้นขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ
แต่จะเป็นปีที่คุณจะเผชิญการโฆษณาหาเสียงเป็นอย่างหนัก ก็ให้ระมัดระวังในสิ่งนี้ด้วย
และภายในปี 2568 ก็จะรู้แหละว่า พรรคที่ข้ามขั้วไปจะไปรอด หรือไม่รอด
ตัดสินกันในปี 2568 นี่แหละดิฉันว่า
วันนี้ก็ขอลาไปก่อนนะคะ
สวัสดีค่ะ