ภัสราวลี
ธนกิจวิบูลย์ผล (มายด์) :
“นักการเมือง” จะมีความความกล้าหาญได้หรือยัง? เพื่อยืนยันว่าสังคมนี้ควรจะต้องมีความยุติธรรมกว่านี้
ณ
สดมภ์นุสรณ์ ลานนวมทองไพรวัลย์
หน้า
สำนักงานใหญ่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เมื่อวันที่
31 ตุลาคม 2567
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณผู้จัดงานที่ให้เกียรติมายด์ได้มาพูดอีกปีหนึ่ง
เป็นอีกปีหนึ่งที่พวกเราได้มารำลึกและสดุดีถึงความกล้าหาญของลุงนวมทอง
เป็นอีกปีหนึ่งที่เราได้มารวมตัวกัน ที่ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ของนักสู้ค่ะ ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นคนรุ่นไหน
ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นคนวัยไหน แต่ว่าเป็นพื้นที่ของนักสู้ค่ะ
และพื้นที่ตรงนี้มันทำให้นักสู้ทุกช่วงวัยได้มาแลกเปลี่ยนมาแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน
และได้มาคุยกันว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปกันดีที่จะคงยึดถือสานต่ออุดมการณ์ที่มันมีอยู่ตรงนี้
มายด์อยากจะบอกทุกท่านอย่างนี้ค่ะว่า
เมื่อ 18 ปีที่แล้วมายด์อาจจะไม่ทัน มายด์อาจจะยังคงเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่ได้รู้เรื่องการเมือง
ไม่ได้รู้ว่าการสละชีพของลุงนวมทองนั้นมีความสำคัญอย่างไร แต่เมื่อครั้งที่มายด์ได้มาสนใจและมายด์ได้เริ่มศึกษาแล้ว
มายด์ได้เริ่มรู้จักชื่อของลุงนวมทองแล้ว มายด์คิดว่าตลอด 18
ปีที่ผ่านมาสิ่งที่ลุงนวมทองได้ทำและพิสูจน์แล้วก็คือ
มันมีคนที่ยึดถืออุดมการณ์จนยอมสละชีพได้จริง ๆ มันเป็นการลบล้างคำสบประมาทของ
พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ เป็นการลบล้างคำสบประมาทนี้
และมายด์เชื่อว่าไม่ได้มีแค่ลุงนวมทองค่ะที่คิดแบบนั้น
ไม่ได้มีแค่ลุงนวมทองคนเดียวหรอกที่ยึดถืออุดมการณ์และยอมสละชีพเพื่ออุดมการณ์ได้
18 ปีที่ผ่านมามายด์คิดว่าสิ่งหนึ่งที่ลุงนวมทองได้แสดงออกและเป็นสัญลักษณ์ยืนยันให้กับพวกเราอย่างหนึ่งก็คือ
“ลุงนวมทองคือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ”
เป็นความกล้าหาญที่แท้จริงที่มายด์เชื่อว่าหลาย ๆ
คนก็มีความกล้าหาญแบบนี้เช่นเดียวกันถ้าหากเรามีฝันที่อยากจะทำให้เป็นจริง 18 ปี ลุงนวมทองเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ
แต่น่าเสียดายมากเลยค่ะที่ตอนนี้สภาพการเมืองไทยของบ้านเรา เราตกอยู่ในสภาวะที่ “นักการเมือง”
ที่อยู่ในสภาส่วนใหญ่ไร้ซึ่งความกล้าหาญ
ไร้ความกล้าหาญในการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน
ไร้ความกล้าหาญในการปกป้องความยุติธรรม ไร้ความกล้าหาญในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของพวกเขา
มายด์อยากจะบอกอย่างนี้ว่า
ที่มายด์กล้าพูดว่าตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่นักการเมืองไร้ความกล้าหาญ
มายด์ไม่ได้พูดลอย ๆ ค่ะ มันถูกพิสูจน์มาแล้วด้วยผลการเลือกตั้ง 1 ปีที่ผ่านมา
ถามว่าหลังการเลือกตั้งหลังวันเลือกตั้งเสร็จ เราทุกคนมีความหวังมั้ยคะ? มี!!! เราโคตรมีความหวังเลย!!! เพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เหมือนได้
“รัฐบาลดรีมทีม” แต่สุดท้ายผ่านมา 1 ปี
ถามว่าบรรยากาศความยุติธรรมในบ้านเรามันดีขึ้นหรือแย่ลง? มันแย่ลงใช่มั้ยคะ
รัฐบาลชุดใหม่แม้จะเป็นรัฐบาลพลเรือนที่ผ่านมาจากการเลือกตั้งแล้ว เขาไม่สามารถที่จะรักษาความยุติธรรมในประเทศนี้ไว้ได้
เขาไม่สามารถรักษาความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมให้พวกเรายังคงยึดถือไว้ได้ค่ะ
และเขาไม่สามารถที่จะเรียกร้องความยุติธรรมที่มันเคยถูกละเมิดในอดีต
ไม่สามารถชดใช้ให้กับผู้ที่เคยถูกละเมิดได้ค่ะ
ทั้งที่หน้าที่ในการหาวิธีการในการชดเชยถึงความถูกละเมิดความยุติธรรมในอดีตมันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังทำไม่ได้ค่ะ
ซ้ำไปมากกว่านั้นค่ะ
กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรามันหนักกว่าเดิม มันแย่กว่าเดิม ตอนนี้ยังมีเพื่อนเราหลายคนถูกขังอยู่ในเรือนจำ
“เก็ท” เพิ่งจะกรีดหน้าอกเป็นเลข 112 เป็นอีกหนึ่งการต่อสู้
อีกหนึ่งการใช้ร่างกาย การใช้ชีวิตของเขาในการยืนยันต่อสู้
กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรา ณ
ตอนนี้มันยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ที่ทำให้คนที่ถูกดำเนินคดีต้องต่อสู้ด้วยตัวเองค่ะ
อีกเรื่องหนึ่งที่มายด์กล้าพูดเลยว่าตอนนี้นักการเมืองบ้านเราไม่มีความกล้าหาญจริง
ๆ ค่ะ
เพราะว่าผลการลงมติในการเห็นชอบข้อสังเกตในรายงานของคณะกรรมาธิการนิรโทษกรรมที่มีการศึกษาว่าควรรวมมาตรา
112 เข้าไปหรือเปล่า ผลการลงมติล่าสุดนะคะ นักการเมืองในสภาส่วนใหญ่
ไม่เห็นชอบ! ทั้งที่มันยังไม่ใช่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวม
112 นะคะ มันเป็นเพียงแค่การลงมติในข้อสังเกตในรายงานว่าเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่คณะกรรมาธิการได้พิจารณามาหรือเปล่า
ว่าเรื่อง 112 นี้ ควรมี 3 รูปแบบ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการก็ไม่ได้มีการฟันธงชัดเจนด้วยซ้ำว่าจะต้องมีการนิรโทษกรรมรวม
112 แต่สส.ในสภาก็ไม่กล้าหาญพอที่จะลงมติค่ะ
ไม่กล้าหาญพอที่แม้จะแตะต้อง/เห็นด้วย/เห็นชอบในรายงานนั้นเลย
กลัวไปหมด กังวลไปหมดว่าถ้าหากว่าตัวเองลงมติเห็นชอบ
เสมือนว่าเป็นการแสดงออกว่าเห็นด้วยกับนิรโทษกรรมที่รวมมาตรา 112 หรือเปล่า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาชีพของพวกเขา
เขาไม่มีความกล้าหาญค่ะ เขารักตัวเอง นักการเมืองเหล่านั้นรักตัวเองมาก
วันที่เขาก้าวขาเข้ามาอยู่ในสนามการเมือง เขาก้าวขาเข้ามาในสนามการเลือกตั้ง
เขาอาจจะมีภาพที่ดี มีคำพูดที่ดีกับพวกเราค่ะ
เขาอาจจะมีความฝันสวยหรูที่บอกพวกเราว่าเขาจะทวงความยุติธรรมให้กับพวกเราอย่างไร แต่ว่าเมื่อเขาเข้าไปทำงานจริง
ๆ แล้วเราไม่เห็นเลยค่ะ เรายังไม่เห็น
ความไม่กล้าหาญของนักการเมืองในตอนนี้มันส่งผลให้พวกเราต้องเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง หมายถึงว่าประชาชนอย่างพวกเราต้องต่อสู้เรื่องนี้เพียงลำพัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถามว่าถ้าหากเรามีพื้นที่ที่ปลอดภัยมากพอในการพูดคุยกันเรื่องมาตรา 112 มันจะเกิดสถานการณ์แบบนี้มั้ยคะ? มันจะเกิดสถานการณ์ที่ว่าฝ่ายหนึ่งต้องออกมาเรียกร้อง ฝ่ายหนึ่งต้องถูกจับเข้าคุก ฝ่ายหนึ่งก็ทำเหมือนกับว่าไม่อยากแตะต้องเพราะฉันอยากเป็น “คนดี” ถ้าฉันแตกต้องแล้วฉันจะเป็น “คนไม่ดี” เรื่องของมาตรา 112 มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มันจำเป็นต้องมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอในการพูดคุยกันค่ะ
ในสภาพสังคมภายนอก
พวกเราหลายคน ประชาชนหลายคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ
เราบางคนมีความคิดเป็นแบบอนุรักษ์นิยม อันนี้ไม่ว่ากัน
เราบางคนมีความคิดแบบก้าวหน้า แบบยึดถือความเป็นสังคมนิยม อันนี้ก็ได้เราไม่ว่ากัน
แต่สิ่งสำคัญคือพื้นที่ภายนอกเราจำเป็นต้องมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอในการที่ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันและเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
พื้นที่ปลอดภัยตรงนี้มันต้องถูกสร้างด้วยรัฐค่ะ ต้องถูกสร้างด้วยภาครัฐ ด้วยรัฐบาล
ต้องถูกสร้างด้วยการที่เราแสดงความเห็นอะไรกันก็ตามจะต้องไม่มีใครถูกจับเข้าไปขังในคุก
นี่คือพื้นที่ปลอดภัย
ในพื้นที่ภายนอกเรามีความกล้าหาญในการถกเถียงพูดคุยกันทางอุดมการณ์ทางการเมืองกันอยู่แล้ว
แต่เราไม่มี “พื้นที่ปลอดภัย”
แต่กลับกันค่ะ
ในสภามีพื้นที่ปลอดภัยค่ะ ในสภานี่ปลอดภัยมากเลยค่ะ แต่ “นักการเมือง” กลับไม่มีความกล้าหาญ
ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ในสภาปลอดภัยมากแต่นักการเมืองไม่มีความกล้าหาญ
เรื่องของมาตรา 112 เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขนาดนี้ นักการเมืองคนไหนก็รู้ค่ะ
และเขาก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ข้างนอกมันคุยไม่ได้
ถ้าหากเราคุยกันเรามีราคาที่ต้องจ่าย ถ้าหากมีใครคนหนึ่งพูดคนหนึ่งอาจจะต้องติดคุก
แต่ในสภาพูดได้ค่ะ ในสภาควรเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ทำให้สังคมได้เห็นว่าเรื่อง 112
มันมีพื้นที่ในการพูดคุยกันได้ ในสภาเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำเร็จรูปแล้วค่ะ
เรารออย่างเดียวตอนนี้คือความกล้าหาญของนักการเมือง
เรารออย่างเดียวตอนนี้คือความกล้าหาญของนักการเมืองจะกล้าเปิดพื้นที่อย่างเป็นทางการในการพิจารณาเรื่อง
112 ไม่ให้มันตกน้ำไป ซึ่งนักการเมืองในสภาทำได้ค่ะ นักการเมืองส่วนหนึ่งที่พยายามทำเพื่อประชาชนยืนยันในสภาอยู่แล้ว
เราเห็นผลงานของพวกเขา เราก็ส่งใจช่วย แต่ยังมีนักการเมืองอีกมากอีกหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่เหมือนจะเคยให้ความหวังเราไว้ ตอนนี้มีบทบาทอยู่ในสภาแล้ว
เขาก็ไม่ได้ทำหน้าที่ยืนหยัดเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเราเลยค่ะ
การตีตกข้อสังเกตในรายงานของกมธ.นิรโทษกรรมล่าสุดเป็นหนึ่งสัญญาณที่ทำให้เห็นว่า
รัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยคุณแพทองธาร นำโดยพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่ยอมอนุญาตให้เกิดการนิรโทษกรรมที่รวมมาตรา
112 เกิดขึ้นค่ะ
หรืออีกมุมหนึ่งออาจจะไม่อนุญาตให้เกิดนิรโทษกรรมเกิดขึ้นเลยเสียด้วยมั้ง
ซึ่งมายด์คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และเป็นสิ่งสำคัญมากที่พวกเรา/ประชาชนจำเป็นจะต้องช่วยกันย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ใช่การจับมือกันของคนที่เคยทะเลาะกันเพียงเท่านั้น
แต่การก้าวข้ามความขัดแย้งที่แท้จริงมันคือการให้อภัยกันจริง ๆ
ยกเอาความผิดที่ไม่ควรผิดแต่แรกออก การนิรโทษกรรมทางการเมือง
การนิรโทษกรรมคดีความทางการเมืองทุกคดีจะเป็นหนทางออกที่จะทำให้พวกเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง
ๆ ค่ะ
การจับมือกันของพวกเขาที่เคยทะเลาะกัน
มันไม่ได้ยุติความขัดแย้ง และในอีกมุมหนึ่งมันยิ่งเพิ่มพูนความขัดแย้ง
เพราะว่าพวกเขาไปผนึกกำลังเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประชาชน ณ
ตอนนี้พวกเราประชาชนอาจจะมีเพื่อนอยู่ในสภาส่วนหนึ่งค่ะ แต่ว่าตอนนี้เพื่อนในสภาเราน้อยลง
สิ่งที่มายด์อยากจะบอกทุกท่านก็คือ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่พวกเราต้องช่วยกันก็คือการยืนยันด้วยเสียงของพวกเรากันเอง
ถ้าหากนักการเมืองใส่สูทในสภาพยายามข้ามหัวเรา พยายามมองข้ามเรา
พยายามข้ามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป พยายามไม่พูด พยายามไม่แสดงความกล้าหาญออกมา
เราก็มีหน้าที่ในการต้องกดดันให้เขาแสดงความกล้าหาญออกมาค่ะ
บางคนถามว่าแล้วเราจะไปกดดันเขายังไง?
สังเกตมั้ยคะว่ารัฐบาลชุดนี้จะอ่อนไหวมากกับคำถามที่ยิงตรงไปถึงโครงสร้าง รัฐบาลชุดนี้จะอ่อนดไหวมากค่ะกับคำถามที่ตอบยาก
เรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องโครงสร้าง เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เรื่อง 112
เมื่อไหร่ที่ถาม เขาจะอึกอัก ๆ ไม่กล้าพูด
เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความกล้าหาญค่ะ เขาไม่กล้าขุดคุ้ยไปถึงต้นตอ
เขากลัวว่าถ้าเขาไปเจอตอแล้วเขาก็จะไปต่อไม่ได้ แต่ว่านี่แหละค่ะคือจุดสำคัญที่เราต้องจี้บอกกดดันเขา
เรื่องนี้ยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวมากเท่าไหร่ ยิ่งเราจี้ถามเขา
เขายิ่งไม่กล้าพูดเท่าไหร่ ในวันหนึ่งเขาก็จะทนไม่ไหวแล้วเขาต้องพูดออกมาอยู่ดีค่ะ
เพราะว่าพวกเราถามเขา ย้ำแล้วย้ำอีก ๆ ๆ
พลังของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญค่ะ
“การนิรโทษกรรม” มายด์ยังหวังอยู่มากว่าจะเกิดขึ้นให้ได้ภายในรัฐบาลชุดนี้
และมันต้องรวม 112 เข้าไปด้วยนะคะ เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับสังคมเรา แต่ถ้าหากมันไม่เกิด
ก็อยากให้ทุกท่านปักหมุดหมายนี้ไว้ร่วมกัน
มันไม่ใช่แค่การต่อต้านรัฐประหารอีกต่อไปแล้วค่ะ มันไม่ใช่แค่ต่อต้านเผด็จการอีกต่อไปแล้ว
แต่มันเป็นเรื่องของการเซ็ตโครงสร้างใหม่โดยประชาชน รื้อโครงสร้างอำนาจอนุรักษ์นิยมออก
แล้วเซ็ตโครงสร้างใหม่ เซ็ตโครงสร้างใหม่นี้ไม่ใช่การปฏิวัติล้มล้างการปกครองนะคะ
แต่มันคือเซ็ตโครงสร้างทางการเมืองใหม่ให้ตรงตามระบอบประชาธิปไตยที่บ้านเราบัญญัติไว้ต่างหาก
และมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันเกิดจากพลังของพวกเราทุกคนจริง ๆ
มันเกิดจากพลังของประชาชนจริง ๆ
คำพูดของนักการเมืองก็ส่วนหนึ่ง
คำพูดของนักการเมืองค่ะ แต่เราประชาชนทุกคนมีอำนาจสูงสุดอย่างที่พี่เบญจาว่า
เพราะฉะนั้นหมายความว่า เรามีอำนาจ
เรามีหน้าที่ในการตรวจสอบเสียงที่เราให้นักการเมืองไปแล้ว
เรามีหน้าที่ในการกดดันบอกพวกเขาถ้าหากพวกเขาทำหน้าที่ไม่ตรงตามที่เคยบอกไว้กับเรา
เรามีหน้าที่ในการส่งเสียงบอกเขาว่าตอนนี้สถานการณ์บ้านเรามันหนักมาขนาดไหน
และเราต้องการอะไร มันดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร ถ้าหากเราหยุดพูด
เขาก็จะข้ามหัวเราแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะไม่ได้มีแค่ “อานนท์” หรือ “เก็ท”
ที่ต้องอยู่ในเรือนจำ แต่หลังจากนี้มันอาจจะมีมากกว่านี้ถ้าหากเราหยุดพูดไป
ช่วงท้ายนี้มายด์อยากจะบอกว่าขออนุญาตกลับมาที่ลุงนวมทองค่ะ
ลุงนวมทองคือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ
และมายด์เชื่อว่านักสู้ที่อยู่ตรงนี้ทุกคนก็ยังมีความกล้าหาญที่จะยึดถืออุดมการณ์ในการต่อสู้ต่อไป
ถ้าหากวันนี้ลุงนวมทองยังอยู่ ลุงนวมทองก็คงยึดถือตามอุดมการณ์เช่นเดิมนี่แหละ
เลยอยากจะขอส่งเสียงบอกเหล่าบรรดานักการเมืองที่ใส่สูทอยู่ในสภาทุกคนค่ะ วันนี้ 18
ปีแล้วที่ลุงนวมทองได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และเหล่านักการเมืองในสภา
คุณจะมีความกล้าหาญได้หรือยัง? คุณจะมีความกล้าหาญในการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนได้หรือยัง?
คุณจะมีความกล้าหาญในการยืนยันว่าสังคมนี้มันควรจะต้องมีความยุติธรรมกว่านี้ได้หรือยัง?
มายด์เชื่อว่าถ้าหากนักการเมืองในตอนนี้มีความกล้าหาญได้ครึ่งสักลุงนวมทอง
อานนท์คงไม่ต้องอยู่ในคุก เก็ทคงไม่ต้องอยู่ในคุก บุ้งคงไม่ต้องจากไป
ก็แค่อยากบอกนักการเมืองว่า ขอให้มีความกล้าหาญมากกว่านี้
ให้มันสมกับแรงที่พวกคุณได้ไปยกมือไหว้พี่น้องประชาชนก่อนที่จะเข้าไปในสภา
และก็อยากบอกกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งว่า อำนาจเป็นของเราจริง ๆ ค่ะ
ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเงียบ เขาก็จะข้ามหัวเราไปเรื่อง ๆ เพราะฉะนั้น เราต้องไม่เงียบ
เราต้องส่งเสียงต่อไป เราต้องยืนยันต่อไปว่า ประเทศนี้เป็นของเราจริง ๆ
และเราสามารถเซ็ตโครงสร้างใหม่ด้วยตัวของพวกเราเอง ขอบคุณค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นวมทองไพรวัลย์ #ต่อต้านรัฐประหาร #แท็กซี่ชนรถถัง