วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“พริษฐ์” เผย ‘ปชน.-พท’ เห็นตรงกันนานแล้ว ทำประชาชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2 ครั้งพอ รอตอบรับกลับ หลังส่งหนังสือหารือนายกฯ - ปธ.สภา - ศาลรธน. ไม่กังวลผลโพลคะแนนฝ่ายค้านลด เปรียบ ‘เตะบอล’ ต้องรอจบ 90 นาที ประชนชนผู้ตัดสิน

 


พริษฐ์” เผย ‘ปชน.-พท’ เห็นตรงกันนานแล้ว ทำประชาชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2 ครั้งพอ รอตอบรับกลับ หลังส่งหนังสือหารือนายกฯ - ปธ.สภา - ศาลรธน. ไม่กังวลผลโพลคะแนนฝ่ายค้านลด เปรียบ ‘เตะบอล’ ต้องรอจบ 90 นาที ประชนชนผู้ตัดสิน


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 พ.ย.2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคเพื่อไทยตอบรับเรื่องการทำประชามติ 2 ครั้งว่า เรื่องจำนวนของการทำประชามติ พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย เห็นตรงกันมานานแล้ว ในเชิงความจำเป็นของกฎหมายว่า 2 ครั้งพอ


แต่ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล พยายามจะใช้การยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขยายความให้เกิดความชัดเจนขึ้นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 หมายถึงจำนวนการทำประชามติทั้งหมดกี่ครั้ง พอศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่อง ทำให้ประธานสภาฯ มองว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ส่งผลให้ไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ศ.ร.) ของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลที่ยื่นไปเมื่อต้นปี


ดังนั้น ตนมองว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนสอดคล้องกันมาตลอด แต่มาถึงวันนี้ เราก็ต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไร ให้แผนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่อาศัยการทำประชามติ 3 ครั้ง เกิดขึ้นได้จริง


นายพริษฐ์ มองว่า ยังมี 3 ล็อกหรือ 3 บุคคลสำคัญที่ต้องเข้าไปหารือ คือ 1.ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้บรรจุร่างดังกล่าวลงระเบียบวาระ 2.นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เพื่อทำให้สมาชิกรัฐสภาลงมติเห็นชอบ โดยไม่นำคำวินิจฉัย 4/2564 มาเป็นข้ออ้างในการลงมติไม่เห็นชอบ และ 3.ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ขยายความให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และเดินตามแนวทางดังกล่าว


ทั้งนี้ ได้ส่งหนังสือ เพื่อขอเข้าพบกับ 3 บุคคลดังกล่าวแล้ว เนื่องจากวาระการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ทันกับการเลือกตั้งครั้งถัดไป ไม่เพียงแต่เป็นวาระที่ทั้งพรรครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เคยออกมาประกาศว่าเห็นตรงกัน แต่ยังเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้สัญญาไว้กับประชาชนเช่นกัน เราก็อยากจะเห็นเป้าหมายดังกล่าวสำเร็จ


เมื่อถามถึงการทำหนังสือที่ส่งไป มีการตอบรับมาแล้วหรือยัง นายพริษฐ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่มีการตอบรับกลับมา เนื่องจากเราส่งไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่เมื่อติดตามการให้สัมภาษณ์ของบุคคลในพรรคเพื่อไทยเรื่องนี้ ก็ฟังดูเป็นนิมิตรหมายที่ดี ว่า พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรครัฐบาล น่าจะพร้อมหารือ หาทางออกเรื่องนี้ร่วมกับเรา รอคำตอบจากทั้ง 3 ท่าน


เมื่อถามถึงความมั่นใจในการทำประชามติ 2 ครั้ง ไม่ถูกหยิบยกไปอ้างในการร้องศาลภายหลัง นายพริษฐ์ กล่าวว่า การพบ 3 บุคคลดังกล่าว จึงมีความสำคัญ หรือเป็นตัวแปรสำคัญมากที่เราจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป


เมื่อถามว่า หากให้ประเมินผลงานตัวเองที่ผ่านมา เต็มสิบให้เท่าไหร่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คนที่ให้คะแนนฝ่ายการเมืองได้ดีที่สุด คงไม่ใช่พวกเราเอง แต่คือประชาชน


ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพจำของกฎหมายที่ผ่านสภา ซึ่งมักจะเป็นกฎหมายที่พรรครัฐบาลเห็นด้วย จะสามารถนับว่าเป็นผลงานของฝ่ายค้านได้อย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าเมื่อเราเป็นฝ่ายค้าน เรามีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ถ้าสภาจะเห็นชอบ ต้องมี สส.ฝ่ายรัฐบาลเห็นชอบด้วย ยืนยันว่าไม่ได้มีความกังวลใจ ถ้าภาพจำจะเป็นผลงานของรัฐบาล เพราะหากย้อนไปตั้งแต่การก่อตั้งพรรคประชาชน รวมถึงพรรคก้าวไกล ที่ตั้งใจจะสร้างความเปลี่ยนแปลง ดังนั้น หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงสมัยที่พรรคประชาชนไม่ได้เป็นรัฐบาล เราก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคประชาชนเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนก็สามารถพยายามผลักดันและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปก่อนได้


ส่วนผลโพลที่คะแนนฝ่ายค้านลดลง มองว่ามีนัยสำคัญอย่างไร และจะมีการปรับเกมอย่างไรบ้างนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ผลโพลทุกสำนักเป็นข้อมูลประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของทุกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ต้องดูในรายละเอียดว่าเป็นผลโพลของสำนักไหน มีวิธีการถามคำถามอย่างไร และถามกับใคร ซึ่งทั้งหมดก็เป็นประโยชน์


ท้ายที่สุด ผลงานของเรา ประชาชนจะพิพากษาอย่างไร ก็จะจบที่การเลือกตั้งครั้งถัดไป หากเปรียบเหมือนเกมฟุตบอล ก็เป็นข้อมูลที่อาจจะช่วยให้เราสามารถปรับเกมระหว่างการแข่งขันได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคะแนนตอนจบเกมการแข่งขัน 90 นาที” โฆษกพรรคประชาชน ระบุ


เมื่อถามว่า ในการเมืองก่อนปิดสภา ซึ่งพรรคประชาชนอาจถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ค้านไม่จริง เนื่องจากเคยเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยมาก่อน ทำให้การตรวจสอบไม่เต็มที่ นายพริษฐ์ กล่าวยืนยันว่า ตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา เราในฐแกนนำพรรคฝ่ายค้านใช้กลไกของสภาอย่างเต็มที่ ในการตรวจสอบรัฐบาลทุกเรื่องที่สังคมคาใจส่วนเรื่องข้อเท็จจริงที่คงปฏิเสธไม่ได้ คือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเคยอยู่ในซีกพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน แต่ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลในปี 66 เป็นต้นมา เมื่ออยู่คนละขั้วกัน เราก็ทำงานเต็มที่ในการตรวจสอบ ไม่มีฮั้ว ไม่มีการอ่อนข้อแน่นอน ตนเชื่อว่า ในอีก 2 ปีครึ่งข้างหน้า จะยิ่งตอกย้ำ และยืนยันภาพดังกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชามติ #แก้รัฐธรรมนูญ