สิรวิชญ์
เสรีธิวัฒน์ (จ่านิว) :
วันหนึ่งเราอาจจะหมดลมหายใจ แต่สิ่งที่จะไม่หมดไปคือ ไฟแห่งการต่อสู้
ดวงไฟแห่งจิตวิญญาณของความรักประชาธิปไตยและความหวงแหนในอำนาจของประชาชน
ณ
สดมภ์นุสรณ์ ลานนวมทองไพรวัลย์
หน้า
สำนักงานใหญ่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เมื่อวันที่
31 ตุลาคม 2567
สวัสดีนะครับ
พ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน เราก็เห็นหน้าเห็นตากันมา ปีนี้ผม
สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ที่ท่านรู้จักกันในชื่อว่า “จ่านิว” ก็มาในนามส่วนตัว
ไม่ได้มาในนามองค์กรอะไรทั้งสิ้นในวันนี้ มาในฐานะที่เราก็มีเลือดเนื้อมีจิตวิญญาณเฉกเช่นเดียวกับ
“ลุงนวมทอง” ที่รักในประชาธิปไตย จะต่อต้านเผด็จการและรัฐประหารทุกชาติไป
ก่อนอื่นหลายท่านก็คงจะตราหน้าตีตราผมว่าเป็นนายแบก/นางแบกอะไรบ้าง
วันนี้ก็แบกพรรคหน่อยก็แล้วกันนะ
ท่านจะบอกว่าพรรคการเมืองที่ผมสังกัดอยู่นั้นไม่ได้ส่งหรีดมา ไม่ได้ส่งตัวแทนมา ต้องเรียนให้ท่านทราบว่าได้มีการส่งมาแล้ว
และมีการส่งตัวแทนมาในปีที่ผ่าน ๆ มานะครับ ยกเว้นปีนี้ ก็แล้วแต่นะครับ
ผมก็มาในฐานะตัวเองเท่านั้น
ถามว่าผมในฐานะที่หลายคนอาจจะรู้จักกันในฐานะคนที่ออกมาเคลื่อนไหวในการต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี
2557 ต้องยอมรับว่าวันนั้นที่ออกมาคนน้อยมาก เรามีกันอยู่ไม่กี่คน มองไปทางไหน
คิดในใจว่าคนออกมาต้านรัฐประหารมีแค่นี้เหรอ? เราจะทำอะไรได้?
สักพักหนึ่งก็มีคนพูดขึ้นมาว่า มีลุงคนหนึ่ง เขามีแค่ตัวคน ๆ เดียว
เป็นชายสูงอายุคนหนึ่งที่ต้องการแสดงจิตวิญญาณที่เขารักในประชาธิปไตย
ต่อต้านรัฐประหาร และใช้เลือดเนื้อชีวิตทุกอย่างขับรถแท็กซี่เป็นของคู่กายของเขา
ชนพุ่งไป และในวันนั้นอย่างที่ท่านว่า ก็มีนายทหารคนหนึ่งก็พูดว่า
ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดจะยอมพลีชีพได้ขนาดนั้น
ผมก็เลยได้แต่สงสัยว่าแล้วที่ผ่านมานายทหารไทยที่บอกว่า
เราตายกันมาเป็นร้อยเป็นพันเพื่อปกป้องบ้านเมือง ไม่ได้ตายด้วยอุดมการณ์เหรอครับ
ถึงได้กล้าดูถูกเหยียดหยามอุดมการณ์ของประชาชนขนาดนั้น ถ้าจะพูดอย่างนั้น
เราก็ต้องพูดในเรื่องเล่าของรัฐไทย เขาบอกว่าบรรพบุรุษได้อุทิศเลือดเนื้อปกป้องบ้านเมือง
ก็นั่นแหละครับคืออุดมการณ์ที่เขารักษาชีวิตเลือดเนื้อ ชีวิตของประชาชน
แต่ในวันนี้
ในยุคปัจจุบัน คำว่า “ประชาชน” มันไม่ได้หมายถึงประชาชนหรือไพร่ฟ้าหน้าใสอะไรแล้ว
มันคือประชาชนที่ถืออำนาจอธิปไตย เป็นเจ้าของอำนาจตัวจริงในระบอบประชาธิปไตย
เราไม่ใช่ไพร่ฟ้าหน้าใสอะไรอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ลุงนวมทองทำนั้นมากกว่าแค่การรักษาชีวิตจากอริราชศัตรู
แต่คือการปกป้องสิทธิและอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง
นั่นแหละครับ
หลังจากวันนี้เราก็เลยมีกำลังใจครับ ก็มีหลายคนที่ร่วมทำกิจกรรมในวันนั้น เราก็บอกว่าในเมื่อลุงคนหนึ่งเขากล้าพลีชีพ
ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นวีรชน วันใดทุกคนอาจจะต้องหมดลมหายใจไป
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตายก่อนกัน ถ้าเราได้ไปเจอพวกเขา
เขาก็คงบอกว่าเราก็ไม่อยากให้ใครเป็นวีรชนอีกต่อไปแล้ว เพราะการเป็นวีรชนนั้น
มันจะต้องมาจากการตาย แต่สิ่งที่เราจะทำได้ แม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องพลีชีพ
และผมคิดว่าสิ่งที่ลุงนวมทองจะบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องพลีชีพเช่นลุงนวมทอง
แต่สิ่งที่เราจะทำได้นั้นคือการอุทิศชีวิตและเลือดเนื้อของเรา
จิตวิญญาณของเราในการที่จะปกป้องประชาธิปไตย
ทั้งลุงนวมทองและพวกเราหลาย
ๆ คนพูดกันอยู่แล้วว่า เราอยากให้การรัฐประหารครั้งที่ผ่านเป็นครั้งสุดท้าย
แต่มันก็ชัดเจนว่ามันไม่มีคำว่าครั้งสุดท้ายสักที และเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่สิ่งที่เราจะทำต่อจากลุงนวมทองนั้นก็คือ การอุทิศชีวิตของเรา
แม้นว่าวันหนึ่งเราอาจจะเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ออกมาต่อต้านอำนาจของทหาร
อำนาจอธรรม แต่เราก็จะหล่อเลี้ยงไปเพื่อที่จะขยายขบวนการ
ขยายประชาชนออกมาต่อต้านการรัฐประหาร
และทำให้การรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาไม่มีอีกต่อไป
ก็ทำได้ด้วยพลังของประชาชนนี่แหละครับ
ผมก็อยากจะบอกกับคนไทยหลายคน
ผมไม่ต้องบอกในนี้ พวกเรารู้เสมอว่าผลกระทบ ผลพวงของการรัฐประหารมันคืออะไร
ไม่มีหรอกครับคำว่า “อยู่ไม่นาน” เราจำได้ครับตอนปี 2557 “เราจะทำตามสัญญา
ขอเวลาอีกไม่นาน” เป็นยังไงล่ะครับ มันขอเวลาอีกนานและทำตามสันดาน 5 ปีไปเลย ดังนั้น เราจะต้องไม่ทำให้เกิดการรัฐประหารและอย่ามีเวลาให้คณะรัฐประหารแม้แต่วินาทีเดียว
ก็ขอให้ทุกท่านในการที่จะอย่างน้อยเราได้ยืนหยัดตรงนี้
ให้รู้กันไปว่า การรัฐประหารนั้น ถ้าอยากจะทำมันก็ไม่ง่าย
เพราะประชาชนอย่างพวกเราจะยืนหยัดต่อต้านตลอดไป ใช่มั้ยครับ
ขอรำลึกถึง
สดุดีถึงลุงนวมทอง และทุก ๆ ท่าน ขอให้พวกเรา แม้ว่าวีรชนหลายคนจะหมดลมหายใจไป และเราก็อาจจะต้องหมดลมหายใจไป
แต่สิ่งที่จะไม่หมดไปนั้นคือ ไฟแห่งการต่อสู้
ดวงไฟแห่งจิตวิญญาณของความรักประชาธิปไตยและความหวงแหนในอำนาจของประชาชนครับ
ขอบคุณครับ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นวมทองไพรวัลย์ #ต่อต้านรัฐประหาร #แท็กซี่ชนรถถัง