วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

แถลงการณ์แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กรณีนายกรัฐมนตรีได้กล่าวข้อความอันเป็นที่น่ากังวลต่อการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่

 


แถลงการณ์แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม


เรื่อง กรณีนายกรัฐมนตรีได้กล่าวข้อความอันเป็นที่น่ากังวลต่อการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่


สืบเนื่องจากกรณีที่นักกิจกรรมทางการเมือง ‘ตะวัน’ และเพื่อน ได้ถูกกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ที่นำโดยนายอานนท์ กลิ่นแก้ว ผู้อ้างตนว่าเป็นกลุ่มคนปกป้องสถาบันฯ ทำร้ายร่างกายนักกิจกรรมทางการเมืองที่ทำกิจกรรมบริเวณห้างสยามพารากอน โดยใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและข่มขู่นักกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง และพบว่าเหตุการณ์นี้ได้มีการตระเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว โดยต่อเนื่องจากแถลงการณ์ฯ ครั้งก่อนหน้านี้


เมื่อวานนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความบนแพล็ตฟอร์ม X (Twitter) ว่า


ผมและคณะรัฐมนตรีไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและขอให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อปกป้องสถาบันฯ ครับ” โดยมีแอคเคาท์พรรคเพื่อไทยรีโพสต์ข้อความดังกล่าว


พวกเราเห็นว่า การสื่อสารในครั้งนี้ที่ออกมาจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการแสดงจุดยืนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อปกป้องสถาบันฯ มีประเด็นที่อาจทำให้ประชาชนเกิดคำถามได้ เช่นการที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเลือกที่จะกล่าวเพียงว่า ไม่สนับสนุนการใช้ความความรุนแรง แต่ไม่ได้มีท่าทีแสดงความกังวลต่อความรุนแรง(ทางกายภาพ)ต่อร่างกายที่ได้เกิดขึ้นกับนักกิจกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นเยาวชน โดยกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ได้มีการระดมพล ตระเตรียมการกระทำการอันเป็นความรุนแรงล่วงหน้าอย่างโจ่งแจ้งโดยเป็นการเย้ยหยันต่อกฎหมาย ดังที่น่าจะทราบกันโดยทั่วไปแล้ว


และนอกจากความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดขึ้น เราอยากจะเรียกร้องให้ท่านทำความเข้าใจเพิ่มอีกว่าความรุนแรงทางกฎหมายนั้นมีอยู่จริง และได้เกิดขึ้นกับผู้ใช้เสรีภาพในการแสดงออกทุกฟากฝ่ายมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหารในปี 49 ที่มีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองทุกฝ่าย


การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเป็นเรื่องที่ดี แต่กฎหมายควรถูกบังคับใช้เพื่อปกป้องและเป็นประโยชน์กับประชาชนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ในปัจจุบันการบังคับใช้กฎหมายยังคงไม่เป็นธรรมและเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงฝ่ายผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองเท่านั้นที่ถูกกฎหมายบังคับใช้เพื่อการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายว่าด้วยการชุมนุม หรือ กฎหมายอาญามาตรา 112 เองก็ดี


พวกเราขอช่วยท่านชี้ถึงหน้าที่ของนายกฯ ที่เป็นฝ่ายบริหารว่า ท่านมีหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามข้อตกลงฯ ปฏิญญา ที่ได้ลงนาม (signed) หรือให้สัตยาบัน (ratified) ไว้ รวมไปถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย Universal Periodic Review (UPR)


ซึ่งภายใต้กระบวนการของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council) รอบล่าสุด หลายประเทศไทยแนะนำให้มีการแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (Lese-majeste Law) รวมไปถึงได้มีการแนะนำให้มีการแก้ไขลดโทษในการตัดสินความผิดให้มีความได้สัดส่วน (proportionate) โดยคำนึงถึงสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม และสิทธิในการประกันตัวในกระบวนการศาลระหว่างรอการตัดสิน ตามหลักดำเนินคดีอาญา บทสันนิษฐานอันเป็นหลักการสำคัญที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษา ถึงที่สุดว่าได้กระทำผิด (Presumption of innocence) ซึ่งเป็นหลักการที่มุ่งคุ้มครองสิทธิอันเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร และคณะรัฐมนตรีในการออกนโยบายการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคงไว้เพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ ความเสมอหน้าต่อกฎหมายของคน ทุกคน ทุกฝ่าย ปฏิบัติตามหลักสากล คำแนะนำของทั้งในประเทศและต่างประเทศ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อันจะนำไปสู่สังคมที่อยู่ร่วมกัน โดยสามารถจัดการความขัดแย้งได้อย่างที่จริง และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจึงมองว่าการที่นายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าวมีปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประเด็น


1. เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นการสนับสนุนการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างรุนแรง

2. ไม่ได้มีวิธีการจัดการปัญหาความขัดแย้งอย่างเป็นรูปธรรม

3. เป็นการทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นใจกลางของความขัดแย้งดังกล่าว เนื่องจากบรรยากาศแห่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้ ม.112 ซึ่งเป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์ของสถาบันฯ และมิอาจหาผลดีจากสิ่งเหล่านี้ได้เลย


จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและชุมนุมทางการเมือง อย่างน้อย 5027 ราย ใน 3014 คดีตั้งแต่การประกาศใช้กฎหมายทุกหมวดทุกมาตราเพื่อรับมือกับการชุมนุม โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2563


จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความรุนแรงทางกฎหมายก็สามารถทำให้ประชาชนเดือดร้อนเช่นกัน


ซึ่งการที่ประชาชนเดือดร้อนจากคดีการเมือง เดือดร้อนจากการบังคับใช้ ม.112 เป็นประเด็นที่นายเศรษฐาเคยยอมรับและสัญญาว่าจะแก้ในเวทีหาเสียง อย่างเช่นตอนกล่าวว่า “เราจะไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง”


แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจึงขอยืนยันว่าไม่ควรมีฝ่ายใดถูกใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามเพียงเพราะแค่เห็นต่างทางการเมือง การละเมิดสิทธิเสรีภาพมิใช่ทางออกและอาจสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ให้เกิดขึ้น


เราขอฝากข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ใน 3 ข้อหลัก ๆ คือ


1. ไม่สนับสนุนการใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามคนเห็นต่าง

2. วางตัวเป็นกลางและเป็นเจ้าภาพในการพูดคุยเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านี้

3. ส่งเสริมและสร้างพื้นที่อย่างเป็นทางการไว้พูดคุยเพื่อแก้ปัญหาความเห็นต่างทางการเมืองของประชาชน

   

การใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดย่อมเป็นสิ่งที่ดีเมื่อทำเพื่อประโยชน์สุขของปวงประชา หาใช่เพื่อขจัดทำร้ายหรือทำลายผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง เราจึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าผู้มีอำนาจในขณะนี้จะไม่ลืมว่ากฎหมายมีไว้เพื่อปกป้องประชาชนด้วย มิใช่แค่สำหรับบุคคลหรือสถาบันใดสถาบันหนึ่ง


แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม

13 กุมภาพันธ์ 2567


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม