“ก้าวไกล” แถลงข่าวจับตานโยบาย ชง 3 ข้อเสนอ
แก้ปัญหาสินค้าต่างชาติทะลักถล่ม SME ไทย
เลิกยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท
จี้รัฐบาลทำได้ทันที ผู้ประกอบการศึกษามาให้หมด-ไม่ต้องศึกษาแล้ว
วันที่
19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล
แถลงข่าวจับตานโยบาย (Policy Watch) “ภาษีต้องเป็นธรรม
อย่าให้สินค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มฆ่า SME ไทย” โดย สิทธิพล
วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
โดยเป็นการแถลงตั้งข้อสังเกตพร้อมข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ในการแก้ปัญหาช่องว่างทางภาษีที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์สินค้าต่างชาติล้นตลาดเข้ามาเอาเปรียบผู้ประกอบการชาวไทยและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
สิทธิพลระบุว่า
ปัจจุบันการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
สินค้าจากต่างชาติสามารถอาศัยช่องว่างทางภาษี
ที่อนุญาตให้สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในขณะที่สินค้าไทยจากผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก
นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไทยกำลังถูกเอาเปรียบจากช่องว่างทางภาษีตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ภาคเอกชนได้เคยร้องเรียนปัญหาดังกล่าวนี้มายังคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
ซึ่งมีตนเป็นประธาน ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญทั้งผู้ประกอบการ
ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมสรรพากร กรมศุลกากร
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาให้ข้อมูล
และต่อมาได้นำไปสู่การแถลงข่าวเพื่อเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้มีมาตรการแก้ไข
สิทธิพลกล่าวต่อไปว่า
เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมารับข้อเสนอทั้งจากคณะกรรมาธิการฯ
และจากภาคเอกชน
ที่ขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนช่องว่างทางภาษีเหล่านี้ที่กำลังเอาเปรียบพี่น้องเอสเอ็มอี
วันนี้
พรรคก้าวไกลจึงขอสื่อสารไปยังรัฐบาลถึงสิ่งที่ต้องทำว่ามีอะไรบ้าง ประการแรก
คือต้องมีการไปแก้ประกาศซึ่งเป็นต้นตอของปัญหานี้ ซึ่งก็คือประกาศกรมศุลกากรที่ 191/2561 ที่ระบุหลักเกณฑ์ว่าสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียอากรนำเข้า นั่นหมายความว่าตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าชาวไทยและสินค้าไทยไม่สามารถขายได้
ก็เพราะมีการยกเว้นให้กับสินค้าจากต่างชาติที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องจ่ายอากรนำเข้า และเมื่อไปรวมกับประมวลรัษฎากรมาตรา 81
(2) (ค)
ที่ให้สินค้าที่รับการยกเว้นอากรนำเข้าไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วย
ก็ยิ่งทำให้สินค้าที่มาจากต่างชาติที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
ไม่ต้องเสียทั้งอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างของผลกระทบที่เกิดจากประกาศฉบับนี้
สมมติกรณีพ่อค้าไทยกับพ่อค้าต่างชาติที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน
สมมติว่าเป็นเสื้อหนึ่งตัวขายที่ราคา 500 บาท
ผู้ประกอบการไทยที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเช่นผ้า ต้องเสียอากรนำเข้า
ต้องจ่ายค่าแรงสมมติ 100 บาท
ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอีกประมาณ 32 บาท
นั่นหมายความว่าต้นทุนทั้งหมดสำหรับผู้ประกอบการไทยอยู่ที่ประมาณ 232 บาทแล้ว ขณะที่พ่อค้าขายเสื้อสำเร็จรูปจากต่างชาติ
นำเข้าสินค้ามาก็ไม่ต้องเสียภาษีเพราะมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
ไม่ต้องเสียภาษีทั้งในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบ ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
แถมค่าแรงอาจจะถูกกว่าอีก นั่นหมายความว่าต้นทุนอย่างมากของเขาก็อยู่ที่ 200
บาทเท่านั้น
สิทธิพลระบุว่าในกรณีเช่นนี้
ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบตั้งแต่ในมุ้งแล้ว ขายสินค้าประเภทเดียวกัน
อย่างไรก็มีโอกาสเอาชนะสินค้าต่างชาติได้ยาก
วันนี้สิ่งที่ภาคเอกชนไทยคาดหวังไม่ใช่การไม่ต้องเสียภาษี
แต่พวกเขาคาดหวังว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากสินค้าต่างชาติที่ไม่ต้องจ่ายภาษี
นอกจากนี้
หลายคนอาจมองว่าสินค้าไทยสามารถได้เปรียบจากตำแหน่งที่ตั้ง
สามารถส่งได้ง่ายและสะดวกกว่า แต่วันนี้ข้อได้เปรียบนี้หายไปแล้ว
จากข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศและระเบียบกรมศุลกากร
ที่เปิดช่องว่างให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Free Trade Zone Distribution Center (โกดังปลอดภาษี)
ที่ผู้ค้าต่างชาติสามารถเอาสินค้ามาพักในโกดังในประเทศไทยได้โดยยังไม่ต้องจ่ายภาษี
เมื่อมีคนไทยช็อปปิงออนไลน์ก็ค่อยส่งจากโกดังนั้นไปยังบ้านเรือนประชาชน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อรวมกับการยกเว้นให้สินค้าที่ราคาต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ก็ยิ่งทำให้สินค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มสามารถทะลักเข้าสู่ตลาดไทยได้อย่างง่าย
สิทธิพลยังกล่าวต่อไป
ว่าจากการประมาณการของสถาบันวิจัย Krungthai Compass พบว่ามูลค่าการค้าของสินค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอยู่ที่ปีหนึ่งประมาณ
6-7 แสนล้านบาท
ซึ่งตนอนุมานว่าสินค้าที่มาจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท มีปริมาณมากอาจจะอยู่ที่ราว 90% ของ 6-7 แสนล้านบาทนี้ นั่นหมายความว่าแต่ละปี 4-5 แสนล้านบาทกำลังไหลไปสู่ต่างประเทศจากช่องว่างทางภาษี
และรายได้ส่วนนี้ รัฐเก็บภาษีไม่ได้
นอกจากนี้
สิ่งที่ภาคเอกชนร้องเรียนผ่านคณะกรรมาธิการฯ และพรรคก้าวไกล
ก็คือวันนี้สินค้าจำนวนมากที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์กำลังไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของสินค้า
ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มอาหาร ยา อาหารเสริม วิตามิน ที่หากเป็นสินค้าไทยจำเป็นต้องขอ
อย. หรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่นอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ต้องขอ มอก.
แต่ปรากฏว่ามีสินค้าบนแพลตฟอร์มจำนวนมากที่มาจากต่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีมาตรฐานเหล่านี้
ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบสองทาง ทางแรกคือมีโอกาสส่งผลร้ายต่อผู้บริโภค
ประชาชนที่เห็นสินค้าประเภทเดียวกันไม่สามารถรู้ได้ว่าชิ้นไหนมีเลข อย. หรือมีเลข
มอก. หรือไม่ เห็นแค่ว่าสินค้าเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่าผู้บริโภคก็มักเลือกซื้อสินค้าที่ราคาถูกกว่า
นั่นหมายความว่าในอีกมิติหนึ่ง สินค้าไทยจะขายได้ยากขึ้น ดังนั้น
จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปกำกับแพลตฟอร์มออนไลน์
ให้สามารถบังคับให้ผู้ค้าบนแพลตฟอร์มเหล่านั้นมีการแสดงเลขจดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น อย.
หรือ มอก. เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
สิทธิพลกล่าวต่อไป
ถึงข้อร้องเรียนประการต่อมาที่ภาคเอกชนส่งข้อร้องเรียนมายังพรรคก้าวไกล
ก็คือมีแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมากที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง
สื่อโซเชียลมีเดีย หรือการขายโฆษณา ที่ได้รายได้จากคนไทยไปจำนวนมากในแต่ละปี
ที่น่าสนใจคือในต่างประเทศรัฐบาลสามารถเก็บภาษีจากรายได้ส่วนนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่คำถามที่ภาคเอกชนส่งเสียงมาก็คือวันนี้รัฐบาลไทยสามารถจัดเก็บภาษีจากรายได้ของแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ได้ครบถ้วนหรือไม่
จากการชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ
โดยกรมสรรพากร พบว่าในปีที่แล้วรัฐบาลสามารถเก็บภาษีในส่วนนี้ ที่เรียกว่า VES - VAT for
Electronics Service เป็นจำนวนประมาณ 6-7 พันล้านบาท
จากยอดการค้าประมาณ 1 แสนล้านล้าน
อย่างไรก็ตามภาคเอกชนประเมินว่ายอดรายได้ที่เกิดขึ้นจริงจากบริการออนไลน์น่าจะอยู่ที่ราว
2 แสนล้านบาท หรือพูดง่ายๆ
ว่ารายได้ภาษีที่รัฐบาลควรจะเก็บได้อาจจะตกหล่นไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ดังนั้น
ภาคเอกชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลมีกระบวนการในการติดตามอย่างเพียงพอ
เพื่อกวดขันว่าแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ได้มาขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพากรหรือกระทรวงการคลังครบถ้วนหรือยัง
วันนี้มีการมาขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 177 ราย
ยังมีใครที่อยู่นอกเหนือจากนี้ที่ทำธุรกิจกับคนไทยแต่ยังไม่ได้มาจดแจ้งหรือไม่
และสามารถไปตรวจสอบได้หรือไม่ว่าแต่ละบริษัทได้นำส่งภาษีครบถ้วนหรือไม่
สิทธิพลกล่าวต่อไป
ว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พรรคก้าวไกลจึงไปรวบรวมมาว่าในต่างประเทศมีปัญหาแบบเดียวกันนี้หรือไม่
ก็พบว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นที่แรก
ในอาเซียนเองก็มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ที่ประเทศอินโดนีเซีย
ที่ปัจจุบันมูลค่าที่ยกเว้นไม่ต้องจ่ายอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่เพียง 100 บาทเท่านั้น
ที่น่าสนใจคือยอด 100 บาทนี้
อินโดนีเซียเพิ่งปรับลดลงลดลงจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ 2,000 บาทเมื่อปี 2020
นอกจากนี้
จากการประเมินของสถาบันวิจัยนโยบายเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ cube.asia ประเมินว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ในอาเซียนที่มีขนาดตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ใกล้เคียงกัน
ก็พบว่าอีคอมเมิร์ซไทยมีการกำกับดูแลจากรัฐน้อยกว่าในต่างประเทศ
นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นในเชิงภาษี ในเชิงคุ้มครองผู้ประกอบการ ในเชิงการดูแลผลกระทบ
ปัจจุบันยังน้อยไปและยังไม่เพียงพอ
สิทธิพลกล่าวต่อไป
ว่าสิ่งที่อยากฝากไปยังรัฐบาลเป็นการบ้านง่ายๆ มีไม่กี่เรื่อง
และไม่จำเป็นต้องไปทำการศึกษาเพิ่มแล้ว
เพราะสิ่งนี้เป็นข้อเรียกร้องที่ภาคเอกชนเรียกร้องมา 3-4 ปีแล้ว
และทุกครั้งภาครัฐก็บอกว่ากำลังศึกษาอยู่ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันทีมีอยู่อย่างน้อย
3 เรื่อง คือ
1)
แก้ประกาศกรมศุลกากรที่ 191/2561 ไปปรับตัวเลขยอด
1,500 บาทให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม
ที่ไม่สร้างผลกระทบความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการชาวไทยหรือสินค้าไทย
ซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยตรง
และสามารถทำได้ทันที
2)
ต้องมีกระบวนการติดตามที่เพียงพอ
ให้แพลตฟอร์มที่ให้บริการจากต่างประเทศต้องมาจดแจ้งและนำส่งรายได้อย่างครบถ้วน
สิ่งนี้เป็นอำนาจของกรมสรรพากร
ซึ่งก็อยู่ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเช่นกัน
3)
ให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือกระทรวงดิจิทัลฯ
ไปคุยกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในประเทศไทย ซึ่งก็มีไม่กี่เจ้า
ให้ไปทำระบบกวดขันผู้ค้าให้ต้องระบุเลข อย. หรือ มอก.
พร้อมทำระบบหลังบ้านเพื่อตรวจทานกับ อย. หรือ มอก. ว่าเลขเหล่านั้นเป็นเลขที่จดแจ้งอย่างถูกต้องหรือไม่
“ทั้งหมดนี้ต้องทำทันที
เพราะภาคเอกชนพี่น้องเอสเอ็มอีเขาลำบากมามากและลำบากมานานแล้ว
สิ่งเหล่านี้พี่น้องเอสเอ็มอีจำนวนมากไม่เคยทราบว่านี่คือปัญหาที่เกิดจากช่องว่างทางภาษี
แต่เขาเป็นคนได้รับผลกระทบ
พี่น้องโรงงานเอสเอ็มอีจำนวนมากไม่รู้เลยว่าทำไมวันหนึ่งออเดอร์ถึงหายไป
พวกเขาจำนวนมากเปิดร้านค้าจ่ายค่าเช่า ไม่รู้ว่าทำไมนับวันเขาถึงขายของไม่ได้
นี่คือต้นตอของปัญหา
นี่คือความรุนแรงของปัญหาที่ทำให้ครอบครัวกิจการเอสเอ็มอีไทยจำนวนมากไปต่อไม่ได้”
สิทธิพลกล่าว
สิทธิพลยังกล่าวอีกว่าทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาอะไรอีกแล้ว
เพราะมีการศึกษามานานแล้ว ท่านมีหน้าที่ต้องไปทำ
เพราะสุดท้ายถ้าท่านไม่รีบแก้จะเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รายได้จากการค้าออนไลน์จะไหลไปสู่ต่างประเทศทั้งหมด
ซึ่งจะกระทบกับการประกอบธุรกิจของชาวไทย โรงงานไทย ตลอดจนการจ้างงาน การลงทุน
และศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว