“ภัทรพงษ์” แนะรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ปัญหามลพิษน้ำกก-ฝุ่นพิษ PM2.5 ขอคำตอบ รมว.พาณิชย์ จัดการอย่างไรบริษัทสัญชาติไทยรับซื้อข้าวโพดเผาในประเทศเพื่อนบ้าน
ก่อฝุ่นพิษกระทบคนไทย
วันที่
30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ (หางดง สันป่าตอง) พรรคประชาชน
อภิปรายปัญหามลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำ โดยกล่าวว่า
ปัญหามลพิษเป็นเรื่องที่ต้องวางแนวทางการจัดการให้ถูกต้องใน 4 เดือนนี้เพื่อรับมือกับปัญหาและลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้าให้ได้มากที่สุด
แต่จากรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ซึ่งมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว
และจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล อดห่วงไม่ได้จริงๆ
ว่ารัฐบาลชุดนี้จะกลายเป็นมลพิษไปเสียเอง
สำหรับมลพิษทางน้ำ
ที่ภาคเหนือบ้านของตนคือปัญหาน้ำกก-น้ำสาย-น้ำรวก เป็นพิษ
จากการทำเหมืองทองคำและแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศเมียนมา
ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำเข้าและส่งออกไปยังต่างประเทศ
ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษตรวจสารพิษในแหล่งน้ำไป 10 ครั้ง
พบค่าเกินมาตรฐานทั้งสารหนู ตะกั่ว และแคดเมียม
แต่การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาแทบไม่มีอะไรคืบหน้า
ถ้ารัฐบาลนี้ยังเชื่องช้าในการแก้ไข ปัญหานี้จะลุกลามขึ้นหลายเท่า
โดยสถานการณ์ตอนนี้ประชาชนรู้แล้วว่าน้ำเป็นพิษ
ไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค
และควรหลีกเลี่ยงการกินปลาเพราะเครื่องในปลามีสารพิเศษสะสม
แต่สิ่งที่ประชาชนไม่รู้และไม่มั่นใจคือพืชผลที่ปลูกมาจากแม่น้ำเหล่านี้กินได้จริงหรือเปล่า
เมื่อไม่รู้จึงเกิดปัญหาตามมาคือการโดนกดราคาพืชผล เกษตรกรขาดทุน
ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีมาตรการอะไรในการรับมือ
ส่วนการเจรจาระหว่างประเทศ
ผ่านมาหนึ่งปีไทยมีการคุยกับเมียนมาเรื่องนี้แค่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกเดือนกรกฎาคม ครั้งที่สองเดือนสิงหาคม
และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เป็นการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี
แต่การเจรจาแทบไม่มีผลอะไรเลย
ภัทรพงษ์ย้ำว่า
ปัญหานี้ต้องเร่งจัดการเพื่อไม่ให้ขยายลุกลาม
แต่กลับไม่มีอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน
ต้องถามว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นประธานบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่คิดจะทำการบ้านเรื่องมลพิษบ้างหรือ
ดังนั้นวันนี้ขอให้เร่งรื้อการทำงานใหม่ทั้งหมด
(1)
เร่งบูรณาการทำระบบฐานข้อมูลที่รวบรวมจากทุกหน่วยงานมาไว้ที่เดียว
แล้วเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจประปาหมู่บ้าน ตรวจผลผลิตการเกษตร
เพื่อให้ทราบว่าพื้นที่ไหนมีการปลูกพืชอะไร
ผลการตรวจสารพิษในผลผลิตนั้นเป็นอย่างไร หากพบค่าอะไรเกินมาตรฐาน จะสามารถระบุในแผนที่ได้ด้วยว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการแก้ไข
แผนที่นี้จะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลที่คาบเกี่ยวหลายกระทรวง ทำงานคล่องขึ้น
ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง
(2)
เร่งตั้งศูนย์ตรวจวัดสารปนเปื้อนที่จังหวัดเชียงราย
แก้ปัญหาที่ปัจจุบันการตรวจที่กรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจอย่างน้อย 1,800
บาท และใช้เวลามากกว่า 30 วันกว่าจะได้ผล
ซึ่งอาจไม่ทันต่อการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ให้ถูกกดราคาผลผลิต
(3)
เร่งรื้อการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด คือฝายตักตะกอน 4 จุด 173 ล้านบาทที่ทําแค่น้ํากกที่เดียว
ไม่พูดถึงน้ําสายและน้ํารวก ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้จริง
ควรปรับเป็นการวางแผนดักตะกอนเฉพาะน้ําที่ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภคเท่านั้น
ตรงจุดกว่าและใช้งบประมาณคุ้มกว่าหลายเท่า
(4)
เร่งรื้อแนวการเจรจาระหว่างประเทศ
ใช้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงด้านสิ่งแวดล้อม (LMEC) เนื่องจากกรอบ
LMEC เป็นกรอบเดียวที่มีประเทศไทย เมียนมา และจีนครบถ้วน
และมีแผนปฏิบัติการด้านมลพิษทางน้ำที่สามารถจัดการปัญหาได้ตรงจุด
และรัฐบาลต้องมอบอำนาจให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบการเดินเรื่องภายใต้กรอบ
LMEC โดยตรง ไม่ใช่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
ที่เลือกใช้กรอบ MRC ที่ไม่มีเมียนมาและจีน
ทำให้การแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่คืบหน้า
การเจรจาระหว่างประเทศต้องเริ่มดำเนินการทันที
โดยไทยยื่นเสนอวาระเข้าที่ประชุมอาเซียนตามข้อตกลงโครงการบริหารจัดการภัยพิบัติที่จะประชุมกันในวันที่
12-17 ตุลาคม และอีกเวทีที่ไทยต้องยื่นคือเวที China-ASEAN ตามกรอบ LMEC ที่จะประชุมวันที่ 21-23 ตุลาคม โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องชัดเจนในการเจรจาครั้งนี้
คือต้องบอกว่าต้องการให้ประเทศไหนทำอะไรบ้าง การแก้ปัญหาต้องทำที่ต้นเหตุ
กางห่วงโซ่อุปทานของเหมืองแร่ออกมาให้ชัด
แล้วเอาผิดต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านกลไกนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก
ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการคือประชาชนภาคเหนือได้แม่น้ำของพวกเราคืนมา
ภัทรพงษ์กล่าวต่อว่า
อีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำไปพร้อมกันอย่างจริงจัง คือการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM2.5 การรับมือปัญหานี้ในปีนี้จะแตกต่างจากเดิม
เพราะศาลปกครองออกคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเขตควบคุมมลพิษ 5
จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน
และแม่ฮ่องสอน
แต่อย่างแรกที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจคือฝุ่นพิษไม่มีเส้นแบ่งเขตจังหวัด
เราต้องประกาศเขตควบคุมมลพิษตามขอบเขตของปัญหา อ้างอิงตามแหล่งกำเนิด
ปรับการประกาศเขตควบคุมมลพิษใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มพื้นที่
(1)
พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขยายเขตควบคุมปรับจากแค่กรุงเทพฯ เป็นกรุงเทพฯ
และปริมณฑล โดยใช้มาตรา 40
ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
จัดทำแผนร่วมกันเพื่อขจัดและลดมลพิษ ด้วยการทำ Low Emission Zone (LEZ) หลายชั้นตามข้อมูลมลพิษของพื้นที่นี้ย้อนหลัง 5 ปี
ส่วนการควบคุมภาคอุตสาหกรรม
กลุ่มจังหวัดต้องร่วมกันวางแผนจัดทำมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศใหม่สำหรับพื้นที่นี้โดยเฉพาะ
รวมถึงทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ เช่น นำ Hyperspectral UAV มาใช้ตรวจสอบการปล่อยมลพิษแบบ Real-Time ในช่วงวิกฤต
เพื่อระบุต้นตอและเอาผิดผู้ก่อมลพิษได้ชัดเจน
(2)
พื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการเผาภาคเกษตรสูง
ได้แก่ เพชรบูรณ์, ลพบุรี, นครสวรรค์
ควรใช้พื้นที่นี้เป็นโมเดลลดการเผาภาคเกษตรที่เข้มข้นที่สุด
โดยภาครัฐต้องเพิ่มแรงจูงใจแก่เกษตรกรผ่านการสนับสนุนเกษตรกรที่ไม่เผาอ้อยไร่ละ 120
บาท โดยต้องจ่ายให้ทันภายในเดือนตุลาคมนี้
เพื่อให้เกษตรกรวางแผนต้นทุนได้
โดยคำนึงถึงเงื่อนไขการเผาทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ต้องมีมาตรการเสริมคือการค้ำประกันสินเชื่อให้เอกชนที่มีเครื่องจักรย่อยสลายและฝังกลบซากอ้อยเพื่อช่วยลดการเผา
ในขณะที่การปลูกข้าวก็เช่นกัน
ต้องรื้อฐานข้อมูลข้าวใหม่ให้ละเอียดเหมือนอ้อย
แล้วสนับสนุนเอกชนที่มีเครื่องตีดินมาปั่นฟางและตอซังลงดินแทนการเผา
ควบคู่กับการพัฒนาวิธีหมักจุลินทรีย์เพื่อให้ย่อยสลายได้เร็ว
ทันรอบการเพาะปลูกของชาวนา รวมทั้งสนับสนุนรถอัดฟางแบบเคลื่อนที่เข้าอัดเป็นเม็ดเชื้อเพลิงส่งเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวล
(3)
พื้นที่ภาคเหนือซึ่งเกิดไฟป่า
รัฐบาลต้องเตรียมงบกลางและปลดล็อกให้ท้องถิ่นสามารถใช้งบได้ตามสภาพพื้นที่ของตัวเอง
โดยต้องทำให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม
เพื่อไม่ให้งบมาช้าเหมือนปีที่ผ่านมาซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็เห็นปัญหาเพราะเป็นรัฐบาลในเวลานั้น
รวมถึงพิจารณาปรับระเบียบค่าตอบแทนคนดับไฟป่าให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและชั่วโมงการทำงาน
ซึ่งปัจจุบันถือว่าน้อยมาก
สุดท้ายคือห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากการเผา
ตนเสนอเรื่องนี้ทุกปีตั้งแต่ปี 2566 แต่ไม่ทำสักที
เพิ่งมาใส่ในคำแถลงนโยบายตอนนี้ ซึ่งสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
นายทุนไม่ต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพราะนายทุนไปเปิดโรงงานรับซื้อข้าวโพดเผาที่ประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งรัฐบาลนี้จะอ้างว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้ไม่ได้
เพราะในเวลานั้นรัฐมนตรีสังกัดกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีอีกคน
ตอนนี้ก็เป็นรองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ ในรัฐบาลชุดนี้
ดังนั้นสิ่งที่ตนต้องการคำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
คือภายใน 4
เดือนนี้จะวางมาตรการห้ามนำเข้าด้วยวิธีไหน
ตรวจสอบย้อนกลับและตรวจสอบห่วงโซ่ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างไร
ที่สำคัญที่สุด
จะทำอย่างไรกับผู้ประกอบการสัญชาติไทยที่ไปเปิดบริษัทแปรรูปอาหารสัตว์อยู่ที่เมียนมาเพื่อรับซื้อข้าวโพดที่เผาในเมียนมา
มาแปรรูปแล้วส่งออกไปต่างประเทศ
แม้ไม่ได้นำเข้ามาในไทยแต่ก็เผาในประเทศเพื่อนบ้านและฝุ่นก็ลอยเข้ามาในไทยอยู่ดี
เพราะตอนนี้ชัดเจนว่าการที่รัฐบาลไทยถ่วงเวลาไม่ยอมประกาศห้ามนำเข้ามาหลายปี
เป็นเพียงเพราะรอให้นายทุนสร้างโรงงานที่เมียนมาเสร็จก่อน เมื่อสร้างเสร็จก็มาประกาศเอาหน้าเหมือนว่าตัวเองจริงจัง
ภัทรพงษ์ทิ้งท้ายว่า
ตนไม่เคยมีความไว้ใจ เชื่อใจ หรือสบายใจกับการมีคนชื่อ สุชาติ ชมกลิ่น
มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นและเป็นกรอบ
4 เดือนที่สำคัญมากกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ตนจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #PM25 #ฝุ่นพิษ #มลพิษน้ำกก