วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

“ภัทรพงษ์” แนะรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ปัญหามลพิษน้ำกก-ฝุ่นพิษ PM2.5 ขอคำตอบ รมว.พาณิชย์ จัดการอย่างไรบริษัทสัญชาติไทยรับซื้อข้าวโพดเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อฝุ่นพิษกระทบคนไทย

 


ภัทรพงษ์” แนะรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ปัญหามลพิษน้ำกก-ฝุ่นพิษ PM2.5 ขอคำตอบ รมว.พาณิชย์ จัดการอย่างไรบริษัทสัญชาติไทยรับซื้อข้าวโพดเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อฝุ่นพิษกระทบคนไทย

 

วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ (หางดง สันป่าตอง) พรรคประชาชน อภิปรายปัญหามลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำ โดยกล่าวว่า ปัญหามลพิษเป็นเรื่องที่ต้องวางแนวทางการจัดการให้ถูกต้องใน 4 เดือนนี้เพื่อรับมือกับปัญหาและลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้าให้ได้มากที่สุด แต่จากรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ซึ่งมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล อดห่วงไม่ได้จริงๆ ว่ารัฐบาลชุดนี้จะกลายเป็นมลพิษไปเสียเอง

 

สำหรับมลพิษทางน้ำ ที่ภาคเหนือบ้านของตนคือปัญหาน้ำกก-น้ำสาย-น้ำรวก เป็นพิษ จากการทำเหมืองทองคำและแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำเข้าและส่งออกไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษตรวจสารพิษในแหล่งน้ำไป 10 ครั้ง พบค่าเกินมาตรฐานทั้งสารหนู ตะกั่ว และแคดเมียม แต่การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาแทบไม่มีอะไรคืบหน้า ถ้ารัฐบาลนี้ยังเชื่องช้าในการแก้ไข ปัญหานี้จะลุกลามขึ้นหลายเท่า

 

โดยสถานการณ์ตอนนี้ประชาชนรู้แล้วว่าน้ำเป็นพิษ ไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค และควรหลีกเลี่ยงการกินปลาเพราะเครื่องในปลามีสารพิเศษสะสม แต่สิ่งที่ประชาชนไม่รู้และไม่มั่นใจคือพืชผลที่ปลูกมาจากแม่น้ำเหล่านี้กินได้จริงหรือเปล่า เมื่อไม่รู้จึงเกิดปัญหาตามมาคือการโดนกดราคาพืชผล เกษตรกรขาดทุน ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีมาตรการอะไรในการรับมือ

 

ส่วนการเจรจาระหว่างประเทศ ผ่านมาหนึ่งปีไทยมีการคุยกับเมียนมาเรื่องนี้แค่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนกรกฎาคม ครั้งที่สองเดือนสิงหาคม และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เป็นการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี แต่การเจรจาแทบไม่มีผลอะไรเลย

 

ภัทรพงษ์ย้ำว่า ปัญหานี้ต้องเร่งจัดการเพื่อไม่ให้ขยายลุกลาม แต่กลับไม่มีอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ต้องถามว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่คิดจะทำการบ้านเรื่องมลพิษบ้างหรือ ดังนั้นวันนี้ขอให้เร่งรื้อการทำงานใหม่ทั้งหมด

 

(1) เร่งบูรณาการทำระบบฐานข้อมูลที่รวบรวมจากทุกหน่วยงานมาไว้ที่เดียว แล้วเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจประปาหมู่บ้าน ตรวจผลผลิตการเกษตร เพื่อให้ทราบว่าพื้นที่ไหนมีการปลูกพืชอะไร ผลการตรวจสารพิษในผลผลิตนั้นเป็นอย่างไร หากพบค่าอะไรเกินมาตรฐาน จะสามารถระบุในแผนที่ได้ด้วยว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการแก้ไข แผนที่นี้จะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลที่คาบเกี่ยวหลายกระทรวง ทำงานคล่องขึ้น ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง

 

(2) เร่งตั้งศูนย์ตรวจวัดสารปนเปื้อนที่จังหวัดเชียงราย แก้ปัญหาที่ปัจจุบันการตรวจที่กรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจอย่างน้อย 1,800 บาท และใช้เวลามากกว่า 30 วันกว่าจะได้ผล ซึ่งอาจไม่ทันต่อการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ให้ถูกกดราคาผลผลิต

 

(3) เร่งรื้อการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด คือฝายตักตะกอน 4 จุด 173 ล้านบาทที่ทําแค่น้ํากกที่เดียว ไม่พูดถึงน้ําสายและน้ํารวก ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้จริง ควรปรับเป็นการวางแผนดักตะกอนเฉพาะน้ําที่ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภคเท่านั้น ตรงจุดกว่าและใช้งบประมาณคุ้มกว่าหลายเท่า

 

(4) เร่งรื้อแนวการเจรจาระหว่างประเทศ ใช้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงด้านสิ่งแวดล้อม (LMEC) เนื่องจากกรอบ LMEC เป็นกรอบเดียวที่มีประเทศไทย เมียนมา และจีนครบถ้วน และมีแผนปฏิบัติการด้านมลพิษทางน้ำที่สามารถจัดการปัญหาได้ตรงจุด และรัฐบาลต้องมอบอำนาจให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบการเดินเรื่องภายใต้กรอบ LMEC โดยตรง ไม่ใช่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่เลือกใช้กรอบ MRC ที่ไม่มีเมียนมาและจีน ทำให้การแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่คืบหน้า

 

การเจรจาระหว่างประเทศต้องเริ่มดำเนินการทันที โดยไทยยื่นเสนอวาระเข้าที่ประชุมอาเซียนตามข้อตกลงโครงการบริหารจัดการภัยพิบัติที่จะประชุมกันในวันที่ 12-17 ตุลาคม และอีกเวทีที่ไทยต้องยื่นคือเวที China-ASEAN ตามกรอบ LMEC ที่จะประชุมวันที่ 21-23 ตุลาคม โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องชัดเจนในการเจรจาครั้งนี้ คือต้องบอกว่าต้องการให้ประเทศไหนทำอะไรบ้าง การแก้ปัญหาต้องทำที่ต้นเหตุ กางห่วงโซ่อุปทานของเหมืองแร่ออกมาให้ชัด แล้วเอาผิดต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านกลไกนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการคือประชาชนภาคเหนือได้แม่น้ำของพวกเราคืนมา

 

ภัทรพงษ์กล่าวต่อว่า อีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำไปพร้อมกันอย่างจริงจัง คือการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM2.5 การรับมือปัญหานี้ในปีนี้จะแตกต่างจากเดิม เพราะศาลปกครองออกคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเขตควบคุมมลพิษ 5 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน แต่อย่างแรกที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจคือฝุ่นพิษไม่มีเส้นแบ่งเขตจังหวัด เราต้องประกาศเขตควบคุมมลพิษตามขอบเขตของปัญหา อ้างอิงตามแหล่งกำเนิด ปรับการประกาศเขตควบคุมมลพิษใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มพื้นที่

 

(1) พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขยายเขตควบคุมปรับจากแค่กรุงเทพฯ เป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยใช้มาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนร่วมกันเพื่อขจัดและลดมลพิษ ด้วยการทำ Low Emission Zone (LEZ) หลายชั้นตามข้อมูลมลพิษของพื้นที่นี้ย้อนหลัง 5 ปี ส่วนการควบคุมภาคอุตสาหกรรม กลุ่มจังหวัดต้องร่วมกันวางแผนจัดทำมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศใหม่สำหรับพื้นที่นี้โดยเฉพาะ รวมถึงทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ เช่น นำ Hyperspectral UAV มาใช้ตรวจสอบการปล่อยมลพิษแบบ Real-Time ในช่วงวิกฤต เพื่อระบุต้นตอและเอาผิดผู้ก่อมลพิษได้ชัดเจน

 

(2) พื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการเผาภาคเกษตรสูง ได้แก่ เพชรบูรณ์, ลพบุรี, นครสวรรค์ ควรใช้พื้นที่นี้เป็นโมเดลลดการเผาภาคเกษตรที่เข้มข้นที่สุด โดยภาครัฐต้องเพิ่มแรงจูงใจแก่เกษตรกรผ่านการสนับสนุนเกษตรกรที่ไม่เผาอ้อยไร่ละ 120 บาท โดยต้องจ่ายให้ทันภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้เกษตรกรวางแผนต้นทุนได้ โดยคำนึงถึงเงื่อนไขการเผาทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว​ นอกจากนี้ต้องมีมาตรการเสริมคือการค้ำประกันสินเชื่อให้เอกชนที่มีเครื่องจักรย่อยสลายและฝังกลบซากอ้อยเพื่อช่วยลดการเผา

 

ในขณะที่การปลูกข้าวก็เช่นกัน ต้องรื้อฐานข้อมูลข้าวใหม่ให้ละเอียดเหมือนอ้อย แล้วสนับสนุนเอกชนที่มีเครื่องตีดินมาปั่นฟางและตอซังลงดินแทนการเผา ควบคู่กับการพัฒนาวิธีหมักจุลินทรีย์เพื่อให้ย่อยสลายได้เร็ว ทันรอบการเพาะปลูกของชาวนา รวมทั้งสนับสนุนรถอัดฟางแบบเคลื่อนที่เข้าอัดเป็นเม็ดเชื้อเพลิงส่งเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวล

 

(3) พื้นที่ภาคเหนือซึ่งเกิดไฟป่า รัฐบาลต้องเตรียมงบกลางและปลดล็อกให้ท้องถิ่นสามารถใช้งบได้ตามสภาพพื้นที่ของตัวเอง โดยต้องทำให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม เพื่อไม่ให้งบมาช้าเหมือนปีที่ผ่านมาซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็เห็นปัญหาเพราะเป็นรัฐบาลในเวลานั้น รวมถึงพิจารณาปรับระเบียบค่าตอบแทนคนดับไฟป่าให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและชั่วโมงการทำงาน ซึ่งปัจจุบันถือว่าน้อยมาก

 

สุดท้ายคือห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากการเผา ตนเสนอเรื่องนี้ทุกปีตั้งแต่ปี 2566 แต่ไม่ทำสักที เพิ่งมาใส่ในคำแถลงนโยบายตอนนี้ ซึ่งสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว นายทุนไม่ต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพราะนายทุนไปเปิดโรงงานรับซื้อข้าวโพดเผาที่ประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐบาลนี้จะอ้างว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้ไม่ได้ เพราะในเวลานั้นรัฐมนตรีสังกัดกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีอีกคน ตอนนี้ก็เป็นรองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ ในรัฐบาลชุดนี้

 

ดังนั้นสิ่งที่ตนต้องการคำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คือภายใน 4 เดือนนี้จะวางมาตรการห้ามนำเข้าด้วยวิธีไหน ตรวจสอบย้อนกลับและตรวจสอบห่วงโซ่ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างไร ที่สำคัญที่สุด จะทำอย่างไรกับผู้ประกอบการสัญชาติไทยที่ไปเปิดบริษัทแปรรูปอาหารสัตว์อยู่ที่เมียนมาเพื่อรับซื้อข้าวโพดที่เผาในเมียนมา มาแปรรูปแล้วส่งออกไปต่างประเทศ แม้ไม่ได้นำเข้ามาในไทยแต่ก็เผาในประเทศเพื่อนบ้านและฝุ่นก็ลอยเข้ามาในไทยอยู่ดี เพราะตอนนี้ชัดเจนว่าการที่รัฐบาลไทยถ่วงเวลาไม่ยอมประกาศห้ามนำเข้ามาหลายปี เป็นเพียงเพราะรอให้นายทุนสร้างโรงงานที่เมียนมาเสร็จก่อน เมื่อสร้างเสร็จก็มาประกาศเอาหน้าเหมือนว่าตัวเองจริงจัง

 

ภัทรพงษ์ทิ้งท้ายว่า ตนไม่เคยมีความไว้ใจ เชื่อใจ หรือสบายใจกับการมีคนชื่อ สุชาติ ชมกลิ่น มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นและเป็นกรอบ 4 เดือนที่สำคัญมากกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตนจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #PM25 #ฝุ่นพิษ #มลพิษน้ำกก