“ณัฐพล” แนะรัฐบาลอนุทินคิดใหม่ทำใหม่นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ใช้เงินเฉียด 4 พันล้านในงบรายจ่าย 69 วางรากฐานอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศ ไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดรัฐบาลเพื่อไทย
วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ (สันกำแพง แม่ออน ดอยสะเก็ด) พรรคประชาชน อภิปรายถึงนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยระบุว่า แม้นโยบายนี้ไม่ใช่นโยบายของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แต่ตนจำเป็นต้องพูดเพราะนโยบายซอฟต์พาวเวอร์มีมูลค่าเป็นเงินภาษีประชาชนเกือบ 4,000 ล้านบาทตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่เพิ่งผ่านสภาไป และจะเริ่มเบิกใช้ได้ในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้
แม้รัฐบาลภูมิใจไทยของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ เพราะไม่ได้เป็นนโยบายเรือธงของพรรคและไม่มีในคำแถลงนโยบาย แต่ความไม่ชัดเจนตอนนี้กำลังทำให้นโยบายนี้มีสภาพ ‘ลูกผีลูกคน’ เอาแน่เอานอนไม่ได้ หากตนไม่หยิบมาพูดในวันนี้ เกรงว่า 1 ปีจากนี้งบประมาณเกือบ 4,000 ล้านบาท อาจหายไปอย่างสูญเปล่า
สภาพความเป็น ‘ลูกผีลูกคน’ ของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการทำไม่ได้อย่างที่พูดของพรรคเพื่อไทยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หากย้อนไปตอนหาเสียงเลือกตั้งในปี 2566 พรรคเพื่อไทยบอกว่าจะยกระดับเศรษฐกิจไทยด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานแบบ KOCCA ของเกาหลีใต้ โดยจะใช้ชื่อว่า THACCA
แต่ผ่านไป 2 ปีสำนักงาน THACCA ยังไม่เกิด เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีร่างกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานในมือตัวเองตั้งแต่ต้น ครั้นจะร่างก็ไม่ได้ร่างเอง แอบให้หน่วยงานหนึ่งร่างให้ พอร่างเสร็จเอาไปรับฟังความเห็น ปรากฏว่าโดนหน่วยงานอื่นๆ แย้งกลับมาจนยับ เพราะไม่เห็นด้วยที่จะตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาทำภารกิจซ้ำซ้อนกับที่หน่วยงานอื่นๆ ทำได้อยู่แล้ว เมื่อโดนแย้งหนัก พ.ร.บ.จัดตั้ง THACCA ก็ถอยหายไป ไม่เคยปรากฎเข้ามาในสภาแม้แต่ครั้งเดียว ที่เหลืออยู่คืองบซอฟต์พาวเวอร์ 4,000 ล้านบาทซึ่งถ้านายกฯ คนใหม่ไม่สั่งตั้งคณะกรรมการ THACCA หรือถ้าไม่มี พ.ร.บ.จัดตั้ง THACCA ขึ้นมาอย่างจริงจัง THACCA จะเหลือแค่บัญชีกับแอดมินที่อยู่ในเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์เท่านั้น
ถึงอย่างนั้นแม้การจัดตั้งหน่วยงานไม่เกิดขึ้น แต่ 2 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการ THACCA ใช้เงินภาษีประชาชนไปจำนวนมาก อ้างอิงข้อมูลจากบัญชีผู้ใช้ X ที่ชื่อว่า THACCA ระบุว่าปี 2567 ใช้งบกลางไป 635.54 ล้านบาท, ปี 2568 ได้รับงบปกติไป 2,318.42 ล้านบาท และได้งบกลางอีกราวๆ 566.18 ล้านบาท รวมเป็น 2,884.60 ล้านบาท และปี 2569 ที่จะถึงนี้ ได้เงินอีก 3,927.40 ล้าน สรุปว่าซอฟต์พาวเวอร์โดยคณะกรรมการ THACCA จำแลง ได้งบรวมกัน 3 ปี เป็นเงิน 7,447 ล้านบาท
อีกเรื่องที่ต้องพูด คือวิธีการดำเนินงานของคณะกรรมการ THACCA จำแลงที่ผ่านมา ส่อว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางรายได้งานได้เงิน เนื่องจากคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์มีนายกฯ เป็นประธาน และมีคณะอนุกรรมการย่อยๆ หลายคณะแบ่งตามสาขาต่างๆ โดยในคณะอนุฯ เหล่านี้ ประกอบด้วยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการเอกชนมานั่งเป็นกรรมการ ซึ่งตนเคยถามถึงเกณฑ์ในการเลือกเอกชนให้เข้ามาร่วม ปรากฏว่าหน่วยงานได้แต่อมยิ้มและตอบไม่ได้ เพราะไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย เป็นระบบ ‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’ เท่านั้น
ยิ่งไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง CSI LA ได้ออกมาเปิดโปงขบวนการ ‘ล็อกมงงานอีเวนต์ของรัฐ’ โดยเปิดแผนผังที่แสดงความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “ก๊วนกวาดงานพันล้านของ ททท.” วิธีการคือวางตัวบุคคลหนึ่งไว้ในบอร์ดของ ททท. บุคคลนี้จะทำหน้าที่คิดงาน เคาะงาน รู้ก่อนว่าจะมีงานอะไร จากนั้นก็บอกเครือข่ายพวกพ้องตนเองให้เข้าประมูลงานและได้รับงานนั้นไป ซึ่งข้อกล่าวหาสำคัญที่เพจดังกล่าวเปิดเผยคือคนในขบวนการที่ว่า อาจเป็นคนใกล้ตัวของอดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร
ดังนั้นในเมื่องบประมาณซอฟต์พาวเวอร์เกือบ 4,000 ล้านบาท จำนวน 113 โครงการ กระจายตัวอยู่ใน 27 หน่วยงาน ภายใต้ 9 กระทรวง กำลังจะถูกใช้ภายใต้การกำกับของหลายรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทิน ตนจึงมี 4 ทางเลือกให้รัฐบาลใหม่ลองพิจารณา
(1) “ปล่อยเบลอ ให้หน่วยงานที่ได้รับงบทำไป เพราะไม่ใช่เรื่องที่คิด” ข้อดีคือหากมีอะไรผิดพลาดก็โทษรัฐบาลก่อนได้ แต่ข้อเสียคือหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ รัฐบาลอาจจะโดนต่อว่าว่าละเลยอยู่ดี
(2) “ตัดทิ้งหมดทั้งก้อน” สั่งชะลอโครงการผ่านรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง และทำการโอนเปลี่ยนแปลงภายใน หรืออาจเสนอแก้ พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 เพื่อโอนเปลี่ยนแปลงก็ได้ ข้อดีคือจะได้ตัดงบซอฟต์พาวเวอร์ทั้งก้อน รวมถึงอาจได้ตัดงบอื่นๆ ที่รัฐบาลก่อนทิ้งไว้ด้วย เพื่อเอาเงินไปทำเรื่องอื่นที่รัฐบาลเห็นว่าสำคัญ แต่ข้อเสียคือความต่อเนื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะหายไป หลายโครงการที่ดีจะถูกตัดตอน ซึ่งจะเท่ากับเป็นการเทเงินที่ใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ทิ้งไปเหมือนกัน
(3) “ยึดแนวทางเดิมแบบรัฐบาลก่อนและทำต่อ” หากรัฐบาลใหม่เห็นว่าที่ทำมาดีอยู่แล้วและควรทำต่อ สามารถใช้อำนาจนายกฯ ตั้งคณะกรรมการชุดเดิมขึ้นมาอีกครั้งได้
หรือ (4) “คิดและทำใหม่” เลือกใช้โอกาสนี้ในการวางรากฐานที่ดีให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วิธีการคือ ต้องกำหนดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้ชัดเจนก่อน และกำหนดหนึ่งหน่วยงานขึ้นมาเป็นแม่งาน สามารถตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีเอกชนเข้าร่วม เพียงแต่คราวนี้ต้องมีหลักเกณฑ์ให้ชัดว่าเอกชนจะมาเข้าร่วมได้อย่างไร คัดเลือกอย่างไร มีวาระอย่างไร มีข้อห้ามอะไรบ้าง หรือกำหนดไปเลยว่าเอกชนในคณะห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการรับงาน เพื่อปิดช่องข้อครหาเรื่องการเอื้อผลประโยชน์
เมื่อตั้งโครงสร้างที่ว่านี้ขึ้นมาแล้ว จึงทบทวนโครงการซอฟต์พาวเวอร์ทั้งหมดอีกครั้ง อันไหนดีก็ทำต่อ อันไหนไม่ดี อันไหนมีความเสี่ยงว่าจะเอื้อประโยชน์ ก็หยิบโครงการนั้นออก ข้อดีของทางเลือกนี้คืองานที่ทำมาแล้ว ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างทั้งหมด เอกชนคนในวงการที่อยากมาช่วยจะได้เห็นภาพชัด ตนแนะนำทางนี้ เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ตนมีข้อเสนอถึงพรรคเพื่อไทย แม้ไม่ได้ทำนโยบายนี้ต่อ แต่สามารถนำผลสัมฤทธิ์ที่ท่านทำมาเพื่อเสนอต่อประชาชน หรือชี้โครงการที่ดีให้รัฐบาลทำต่อ รวมถึงใช้กลไกสภาผู้แทนราษฎร กลไกกรรมาธิการวัฒนธรรม หรือกรรมาธิการท่องเที่ยวที่พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน เพื่อติดตามกำกับให้ความเห็น และหากท่านเห็นว่าการวางรากฐานของซอฟต์พาวเวอร์เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ก็ควรนำเสนอโมเดลการบริหารจัดการซอฟต์พาวเวอร์ในรูปแบบอื่นขึ้นมา เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปทำต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป