“ศิริกัญญา” ชี้ไม่คาดหวังนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน แต่ยังอดผิดหวังไม่ได้ ซัดเร่งอนุมัติรีดเงินจนลุกลี้ลุกลนผิดสังเกต เกรงกลายเป็นสร้างภาระถมให้รัฐบาลหน้า แนะรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประคองประเทศถึงเลือกตั้ง อย่าสร้างความเสียหายที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบ่งชี้ได้ว่าเป้าหมายของรัฐบาลคืออะไร จะเดินไปในเส้นทางไหน โดยวิธีการใด และจะถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ แต่คำแถลงนโยบายรอบนี้ก็ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม ไม่แตกต่างจากคำแถลงนโยบายของอีกสองรัฐบาลก่อนๆ มีแต่คำกว้างๆ ลอยๆ ที่พูดอีกก็ถูกอีก ขาดความชัดเจนของเป้าหมาย ไม่มีการระบุตัวชี้วัดใด แม้ทุกคนจะรู้ว่าเป้าหมายของรัฐบาลนี้จะต้องเสร็จภายใน 4 เดือน
สิ่งที่ตนคาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจนจึงไม่ใช่แค่จะทำอะไรและจะทำอย่างไร แต่ต้องถึงขั้นว่าทำอย่างไรถึงจะสำเร็จภายใน 4 เดือน ขอบเขตงานต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่จะทำเสร็จได้ใน 4 เดือนจะมีแค่แผนงาน ที่สุดท้ายต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มมาปฏิบัติต่อ
แต่ถึงจะคาดหวังน้อยขนาดนี้แล้วตนก็ยังผิดหวังกับคำแถลงนโยบายฉบับนี้ ที่ไม่ได้ช่วยสร้างความกระจ่างชัดเจน แต่กลับสร้างคำถามตามมา โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่ระบุแต่ว่าจะทำอะไร แต่ขาดรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร เช่น การแก้หนี้สินรายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้มีประมาณ 3 ล้านกว่าบัญชี จะทำให้หมด 3 ล้านกว่าบัญชีเลยหรือไม่ หรือจะทำกี่ราย ลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลจะซื้อหนี้หรือไม่ จะตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหม่หรือไม่หรือจะใช้เจ้าเดิม แต่กลับไม่ระบุรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า ในส่วนของนโยบายเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท SMEs ไทยมี 3-5 ล้านราย รัฐบาลจะทำกี่รายและรายละกี่ล้านบาท ปัญหาราคาสินค้าเกษตรก็บอกเพียงแค่ว่าจะจัดการราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็ไม่ชัดเจนว่าจะอุดหนุนหรือจะเพียงบริหารอุปสงค์อุปทาน หลายนโยบายอ่านแล้วต้องตั้งคำถามว่าเร่งด่วนจริงหรือ เช่น นโยบายสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การอัปสกิล-รีสกิล จะทำเสร็จได้ภายใน 4 เดือนจริงหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงหลายนโยบายในหมวดอื่นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การเสนอร่างกฏหมายระเบียบบริหารราชการทันสมัย หรือร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องใหญ่และมีมาตราจำนวนมาก ไม่น่าจะพิจารณาเสร็จได้ใน 4 เดือน
นอกจากนี้ รัฐบาลมีการประกาศว่าจะจัดทำโครงการคนละครึ่ง จากการประกาศต่อสาธารณะ จะทำเป็น 3 โครงการย่อย คือเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 1,700 บาท คนละครึ่งสำหรับผู้ยื่นภาษี 2,400 บาท/คน คนละครึ่งสำหรับผู้ไม่ยื่นภาษี 2,000 บาท เฉพาะส่วนแรกของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 22,000 ล้านบาท จะต้องใช้งบกลางของปี 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติให้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน หรือก็คือวันพรุ่งนี้ ที่รัฐบาลต้องจัดประชุม ครม.นัดพิเศษเพื่ออนุมัติงบดังกล่าว หลัง 6 โมงเย็นพรุ่งนี้
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า ในการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ จะมีการอนุมัติงบกลาง 68 ที่เหลืออยู่ทั้งหมด 63,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากทั้งเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินและเงินที่เหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนที่รัฐบาลก่อนหน้านี้อนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจไม่หมด เหลืออยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ตนยังทวงถามอยู่ว่าจะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่มีแล้ว และเงินส่วนที่เหลือก็น่าจะพับไปเลย ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะจะสามารถลดการขาดดุลและลดการกู้เงินเพิ่มได้ จะได้ไม่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ และคลังเองก็จัดเก็บรายได้ตกเป้าอยู่ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล กลับนำงบที่เหลือออกมาใช้ทันที
ส่วนที่เหลือที่เป็นคนละครึ่งพลัสจริงๆ รวมแล้วทั้งคนที่ยื่นภาษีและไม่ยื่นภาษี 44,000 ล้านบาท ก็จะใช้งบประมาณปี 2569 คิดเป็น 1 ใน 3 ของกระสุนทางการคลังที่ประเทศเหลืออยู่ ที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ของปี 2569 มีส่วนของเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น 99,000 ล้านบาท บวกกับงบกลางรายจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 25,000 ล้านบาท ก็จะรวมเป็น 124,000 ล้านบาท เฉพาะเฟสแรกของคนละครึ่งใช้ไปแล้ว 1 ใน 3 แล้ว รัฐบาลยังบอกว่าจะมีเฟสสองต่อ ไหนจะต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของประชาชน เยียวยาผลกระทบภาษีทรัมป์ ฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เท่ากับว่ารัฐบาลนี้จะใช้เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน จนแทบจะไม่เหลือเงินสำรองจ่ายไว้ให้กับรัฐบาลหน้า
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า สำหรับนโยบายคนละครึ่ง เป็นโครงการที่ทุกคนเห็นด้วย มีประโยชน์มากในการช่วยลดค่าครองชีพและช่วยกระตุ้นยอดขายเอสเอ็มอีได้ แต่หากจะใช้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจต้องปรับเงื่อนไข เช่น กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำที่ได้รับเงินสมทบ หรือสิทธิ์มีอายุสั้นๆ วันต่อวัน เพื่อเร่งให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นและเร็วขึ้น
แต่สำหรับโครงการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจจะช่วยลดค่าครองชีพได้แต่ก็เพิ่งแจกเงิน 10,000 บาทไปเมื่อปีที่แล้ว ช่วยเอสเอ็มอีก็ไม่ได้ เพราะใช้จ่ายได้แต่กับร้านธงฟ้า แต่สิ่งที่ทั้งสองโครงการนี้ทำได้คือการซื้อเสียงสร้างความนิยมล่วงหน้าสำหรับการเลือกตั้ง
ที่ตนกังวลกับงบประมาณปี 2568 เพราะ ผลการจัดเก็บ 11 เดือนรายได้รัฐตกเป้าไป 34,000 ล้านบาท เมื่อเก็บได้น้อยรัฐก็ควรจะใช้น้อยตามมา ไม่ใช่ถลุงจนบาทสุดท้ายแบบนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเทคโนแครตมาก่อนคิดมาอย่างดีแล้วใช่หรือไม่ มีการวิเคราะห์มาดีแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้อาจจะยังแก้ไขทัน ขอให้มีความกล้าหาญในการเตือนสติฝ่ายการเมือง ต้องท้วงติงนายกรัฐมนตรีบ้าง
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่ารัฐบาลนี้แม้จะอยู่เพียงแค่ 4 เดือนแต่ก็ต้องทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญในปลายปีนี้ คือการกำหนดกรอบงบประมาณปี 2570 และมอบนโยบายงบประมาณ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่จะมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังแห่งรัฐ ยังต้องเป็นผู้ออกประกาศขยายเพดานหนี้สาธารณะจากเดิมที่ 70% เพราะสิ้นปี 2569 หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 69% แล้ว ไม่เช่นนั้นจะกู้เพิ่มได้เพียง 200,000 ล้านบาทเศษ และเพื่อรักษาภาพลักษณ์การคลังของประเทศที่กำลังถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจ้องจะปรับลดเรตติ้งอยู่ ทำให้รัฐบาลยังอาจจะต้องเป็นผู้นำเสนอแผนการจัดเก็บรายได้ใหม่ให้กับประเทศด้วย
แต่ถ้ารัฐบาลทำแผนการจัดเก็บรายได้ หรือแผนการปฏิรูปภาษี หรือแผนการปฏิรูปการคลัง ตนเกรงว่าจะกลายเป็นแผนที่เอามาบังคับใช้เอากับรัฐบาลหน้า เรียกได้ว่ารัฐบาลนี้เร่งใช้เงิน แต่รัฐบาลหน้าต้องรักษาวินัยการคลัง ถ้าฝ่ายการเมืองยังคงเร่งรีบใช้งบประมาณทุกบาทแบบนี้เพื่อคะแนนนิยม แล้วรัฐมนตรีคนนอกเข้าไปนั่งนิ่งๆ ยอมให้ทำอะไรก็ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะมีรัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดีมาดูด้านเศรษฐกิจการคลัง
ศิริกัญญาทิ้งท้ายว่า เวลา 4 เดือนของรัฐบาลนี้ ถ้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้คงไม่มีใครว่า แต่ขออย่าสร้างความเสียหายที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นได้อีกในอนาคต