“ศุภโชติ” ชี้คำแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทินไม่แตะต้นเหตุค่าไฟแพง แนะนายกฯ
ใช้เวลา 4 เดือนสะสาง 4 ปัญหาพลังงาน เคาะในที่ประชุม
กพช. ลดค่าไฟประชาชนได้ทันที
วันที่
29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายประเด็นนโยบายพลังงาน
โดยกล่าวว่าทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล
ชุดนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาลที่ตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะทำงานเพียง 4 เดือน แล้วจะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนคาดหวังไม่ใช่การสร้างโครงการใหม่ที่หวือหวาหรือซับซ้อนเกินกําลังตัวเอง
แต่สิ่งที่ประชาชนรวมถึงตนพอจะคาดหวังได้
คือการสะสางปัญหาเก่าที่รัฐบาลในอดีตปล่อยปละละเลย
ไม่สร้างภาระต้นทุนใหม่ให้ประชาชน และถ้าเป็นไปได้ ต้องวางรากฐานที่ดีสำหรับภาคพลังงาน
คําแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทินมีหลายจุดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเคยเสนอ ทั้งการลดรายจ่ายค่าพลังงาน ส่งเสริมโซลาร์ภาคครัวเรือนและเกษตร รวมถึงการผลักดันพลังงานสะอาดและตั้งเป้าหมายให้ทะเยอทะยานมากขึ้นอย่าง Net Zero ในปี 2050 แต่สิ่งที่ยังขาดในคําแถลงนี้ คือการสะสางปัญหาเก่าที่เป็นต้นเหตุหลักของค่าไฟแพง
ตนเคยอภิปรายไว้หลายครั้งว่าค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ
แต่เป็นผลจากการตัดสินใจผิดพลาดทางนโยบาย
หรือแม้แต่จงใจผิดพลาดเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง
เรามีสัญญาซื้อไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม
โครงการที่ออกแบบเพื่อเอื้อกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน แผนที่ไม่โปร่งใสและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
ดังนั้นถ้าปล่อยให้รัฐบาลเฉพาะกาลเดินตามรอยรัฐบาลก่อน จะเป็นการเสียโอกาสครั้งสำคัญสำหรับประเทศและประชาชน
แต่หากตนได้เตือนแล้วในวันนี้ รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าตามรอยรัฐบาลก่อน
ประชาชนจะเป็นคนตัดสินเองว่ารัฐบาลอนุทินเอาผลประโยชน์ของใครเป็นที่ตั้ง
ในช่วงเวลา
4 เดือน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินงานเพียง 4 เรื่องใหญ่
ที่จะช่วยลดค่าไฟให้กับประชาชนได้แน่นอน
ทุกเรื่องตัดสินใจได้ทันทีบนโต๊ะประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ที่นายกฯ เป็นประธาน
เรื่องแรก
ยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Adder ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐเคยทํากับผู้ประกอบการพลังงานหมุนเวียนในอดีต
โดยให้การสนับสนุนเพิ่มจากราคาปกติเพื่อจูงใจการลงทุนในช่วงที่เทคโนโลยียังใหม่
แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงมหาศาล แต่สัญญา Adder ยังคงบังคับใช้ แถมยังเป็นสัญญาที่ถูกตีความว่าไม่มีวันหมดอายุ
ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ยังมีเอกชนจำนวนหนึ่งที่ขายไฟให้ประชาชนในราคาที่แพงกว่า 3 บาท ทั้งที่ต้นทุนของโรงไฟฟ้าเหล่านี้อยู่แค่ 1 บาทกว่าเท่านั้น
สิ่งนี้ชัดเจนว่าทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟที่สูงกว่าความเป็นจริง
จึงหวังว่ารัฐบาลอนุทินที่พยายามคัดสรรผู้มีความสามารถอยู่ในคณะรัฐมนตรี
จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเคยแถลงข่าวแล้วว่ารอมติจากฝ่ายการเมืองเพียงอย่างเดียว
หากรัฐบาลยกเลิกได้จะช่วยลดค่าไฟได้ถึง 17 สตางค์ต่อหน่วย
ภายในเดือนแรกขอให้รัฐบาลเริ่มต้นด้วยการทบทวนและยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้
เรื่องที่ 2 ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้า RE Big Lot จากปีที่ผ่านมารัฐบาลเปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนล็อตใหญ่ ทั้งรอบ 5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งตนเคยอภิปรายและตั้งกระทู้ถามหลายครั้ง รวมถึงยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติไปแล้วว่าโครงการนี้ไม่โปร่งใส เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่เปิดช่องให้ผู้มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและทุนใหญ่ได้เปรียบ สุดท้ายประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นอีกรวมหลักแสนล้านบาท
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันที
คือต้องหยุดโครงการที่ยังไม่เซ็นสัญญา และต้องเจรจาลดราคาในโครงการที่เซ็นไปแล้ว
โดยทุกอย่างต้องเปิดเผยต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม
คณะกรรมการที่รัฐบาลเก่าตั้งขึ้นมาตรวจสอบ กลับบอกว่า “ไม่พบความผิด”
ทั้งที่ปัญหาเห็นอยู่เต็มตา จึงขอให้รัฐบาลใหม่ตอบให้ชัดว่าจะเดินหน้าต่อหรือจะยกเลิก
นี่คือเรื่องที่ควรทำให้สำเร็จในเดือนที่สอง และเดินหน้าสู่ระบบแข่งขันเสรีแบบ TPA (Third Party
Access) เพื่อเปิดให้เอกชนและชุมชนซื้อไฟตรงจากผู้ผลิตได้
ไม่ต้องผ่านการผูกขาด เพื่อไม่ให้ค่าไฟของประชาชนแพงไปกว่าเดิม
เรื่องที่สาม
ยกเลิกการก่อสร้าง LNG
Terminal 3 ที่ผ่านมาอีกปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟของประชาชนแพง
เพราะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่จําเป็น เช่น โครงการก่อสร้าง LNG
Terminal 3 เรามี Terminal 1 และ Terminal
2 ที่ยังใช้ไม่เต็มศักยภาพ แล้วทำไมจะสร้างแห่งที่ 3 อีก เงินลงทุนทุกบาทจะเข้าไปแฝงอยู่ในค่าไฟประชาชนอยู่ดี
และในขณะที่แนวโน้มทั่วโลกกําลังลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การสร้าง Terminal
3 ไม่ใช่การลงทุนเพื่ออนาคต
แต่เป็นการผูกมัดประเทศให้ใช้ก๊าซธรรมชาติไปอีกนาน
หากรัฐบาลอ้างว่าต้องสร้างเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก LNG ในภูมิภาค
ก็ต้องถามกลับว่าทําไมต้องเอาต้นทุนค่าไฟของประชาชนมาแบกรับความเสี่ยงแทนนายทุนเจ้าของโครงการ
อีกทั้งโครงการนี้ รัฐวิสาหกิจไทยถือหุ้นน้อยมาก ถ้าโครงการทำกําไร
ประเทศไทยแทบไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าโครงการขาดทุน ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟสูงขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำมีเพียงอย่างเดียว
คือออกมติ กพช. เพื่อยกเลิกมติเดิมครั้งที่ 3/2564 ที่ให้เอาต้นทุนของโครงการนี้มาอยู่ในค่าไฟประชาชน
ถ้ารัฐบาลไม่สามารถเจรจาแก้สัญญาเพื่อเอาภาระออกจากบิลค่าไฟได้
โครงการนี้ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ต้องเดินหน้าต่อไป
เรื่องที่
4 จัดทําแผน PDP ใหม่อย่างโปร่งใส เพราะแผน PDP
คือหัวใจของนโยบายพลังงาน ที่ผ่านมาแผน PDP ถูกวิจารณ์ว่าจัดทําในห้องปิด
ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ใช้สมมติฐานเอื้อต่อการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจําเป็น
แทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนและลดภาระค่าครองชีพ
กลับกลายเป็นภาระใหม่ของประชาชน
ดังนั้นรัฐบาลอนุทินต้องทำให้แผน
PDP ใหม่มี 4 หลักการสำคัญ (1) โปร่งใส
ข้อมูลและเอกสารทุกขั้นตอนเปิดเผย ตรวจสอบได้ (2) มีส่วนร่วม
ทุกฝ่ายต้องเข้ามาเสนอความคิดเห็น และนําไปปรับใช้จริง (3) ตรวจสอบได้
มีกลไกอิสระคอยกลั่นกรอง ป้องกันการแทรกแซง (4) บรรลุเป้าหมายประเทศเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน
ต้นทุนที่เป็นธรรม และ Net Zero 2050 นี่คือการวางรากฐานใหม่ให้พลังงานไทยไม่ตกอยู่ในวังวนของการผูกขาดและความไม่โปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีสัญญาณที่น่ากังวล เพราะประธานคณะกรรมการจัดทำ PDP ใหม่ต้องลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกรัฐบาล
จึงต้องยืนยันต่อประชาชนว่า PDP ฉบับใหม่นี้จะเดินหน้าอย่างโปร่งใส
และเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ
ศุภโชติทิ้งท้ายว่า
รัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4
เดือน ประชาชนไม่ต้องการปัญหาใหม่
แต่ต้องการให้แก้ปัญหาเก่าให้เห็นผล ถ้ารัฐบาลมีความพร้อม สามารถทำทั้งหมดพร้อมกันได้ทันที
ค่าไฟจะลดลงได้อย่างน้อย 30 สตางค์ต่อหน่วย
และจะช่วยประชาชนหนึ่งครอบครัวประหยัดได้ร้อยกว่าบาทต่อเดือน ถ้าทำได้
ประชาชนจะเห็นว่านี่คือรัฐบาลที่กล้าเปลี่ยนแปลงแม้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ถ้าไม่ทำ
ประชาชนจะตัดสินเองในวันเลือกตั้งว่าใครทำเพื่อเขา หรือใครแค่ยื้อเวลาโดยไม่ทำอะไรเลย