“วิโรจน์” แฉเครือข่ายแบงก์-ทุนใหญ่กัมพูชาโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์พยายามเข้าฮุบหุ้นบางจาก-ล้วงลูกกระบวนการสรรหาผู้ว่า ธปท. ตั้งข้อสังเกตหลายบุคคลใน ครม. มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวหรือไม่ หวั่นเปิดประตูทุนเทาข้ามชาติขนเงินสีเทาเข้ายึดประเทศ
วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงนโยบายข้อที่ 9.1 ว่าด้วยการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีการซื้อขายหุ้นของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (BCP)
วิโรจน์ระบุว่ากรณีดังกล่าวเริ่มจากสำนักข่าว Asia Sentinel รายงานว่า ในปี 2567 มีกองทุนลึกลับพยายามจะเข้าซื้อหุ้นบางจากทั้งหมด ที่กองทุนประกันสังคมถือครองอยู่ 14.18% เป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการบริหารการลงทุนสำนักงานประกันสังคม พยายามสอบถามว่าผู้ที่จะซื้อหุ้นนั้นเป็นใครแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ จึงทำให้การซื้อหุ้นบางจากครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น แต่ต่อมาก็มีกองทุนจากประเทศสิงคโปร์ แคปปิตอล เอเชีย อินเวสต์เมนท์ (CAI) ได้เข้ามาถือครองหุ้นบางจากในสัดส่วนสูงถึง 14% แต่ต่อมาในเดือนมีนาคม 2568 ก็ได้มีการเทขายหุ้นกว่า 9% ให้กับบริษัทไทย อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอจี้ (ACE) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน
โดยบริษัท ACE ยังได้ไล่ซื้อหุ้นบางจากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 9 เมษายน 2568 สามารถครอบครองหุ้นไปได้ถึง 20% ตนซึ่งได้ไปสืบค้นต่อก็พบว่าธุรกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึง เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (เบน สมิธ) ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ ฮุน เซน และนายทุนกับกลุ่มทุนธนาคารในกัมพูชา โดยที่ในฝั่งไทยเองเบนจามินก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับนักการเมืองใหญ่หลายคนอย่างแนบแน่นด้วย
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังเคยปรากฏภาพถ่าย เบนจามิน นั่งร่วมโต๊ะกาแฟกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้งยังมีภาพถ่ายการทำบุญตักบาตรร่วมกันในงานทอดกฐินที่ จ.อุตรดิตถ์ แม้การมีภาพถ่ายร่วมกันจะยังไม่อาจสรุปได้ว่า ทักษิณ และ ธรรมนัส มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือทางการเมืองโดยตรงกับ เบนจามิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยว่าความเชื่อมโยงที่แท้จริงคืออะไรกันแน่
เบนจามินถูกตั้งข้อสงสัยอย่างหนักว่าอาจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกิจสีเทา ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งมีฐานปฏิบัติการใหญ่ในประเทศกัมพูชา และมีมูลค่าถึง 12,900–19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4–6 แสนล้านบาท เท่ากับ 60% ของจีดีพีประเทศกัมพูชา ซึ่งคนไทยตกเป็นเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ สูงถึงปีละ 1.15 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นวันละ 316 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจพนันออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึงปีละ 20,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย วันละ 55 ล้านบาท เมื่อรวมตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง ปีละประมาณ 1.35 แสนล้านบาท
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าที่น่าสนใจคือหนึ่งในผู้จัดการกองทุน CAI คือ แคทรียา บีเวอร์ ซึ่งเป็นภรรยาของ เบนจามิน โดยเบนจามินไม่ได้เป็นแค่ชาวต่างชาติที่ได้สัญชาติกัมพูชา แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน โดยตรง และทำงานคู่กับ ยิม เลียก ลูกชายของ ยิม ไช ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของ ฮุน เซน โดยที่น้องสาวของ ยิม เลียก คือ ยิม ไช ลิน ได้แต่งงานกับ ฮุน มานี ลูกชายคนเล็กของ ฮุน เซน ด้วย
ปัจจุบัน ยิม เลียก ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ BIC Group กลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับตระกูลฮุน โดยที่บนหน้าเว็บไซต์ของ BIC Group เคยมีการแอบอ้างเอาชื่อของ วรภัค ธัญยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ร่วมกับ อดีตปลัดสองกระทรวงคือกระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน และอดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 3 เพิ่งถูกเอาชื่อออกจากหน้าเว็บไซต์เมื่อกลางเดือนกันยายน 2568 นี้เอง
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าเมื่อปี 2563 แคทรียา บีเวอร์ ได้เข้ามาซื้อหุ้น บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟเอเชีย จำกัด (UPA) ซึ่งต่อมา UPA ก็ไปซื้อหุ้น บริษัท One Central Tower จาก ยิม เลียก ในสัดส่วนถึง 33.84% ซึ่งเมื่อพิจารณาเชื่อมโยงกันแล้วย่อมตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า เบนจามิน, แคทรียา และ ยิม เลียก ทั้งสามคนน่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แนบแน่นมาก
ที่ตนต้องเอ่ยถึงชื่อ วรภัค ก็เพราะ วรภัคเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท พิลกริม ฟินันซ่า อินเวสท์เม็นต์ โฮลดิ้งส์ (PFIH) และในช่วงแรกถือหุ้นมากถึง 60% ต่อมาหุ้นบริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด (FSX) ที่เคยถือครองโดยบริษัท พิลกริม ตกไปอยู่กับกองทุน CAI ซึ่ง แคทรียา เป็นผู้จัดการกองทุน คำถามจึงเกิดขึ้นว่า วรภัค รู้จักกับ แคทรียา และ เบนจามิน อยู่ก่อนแล้วหรือไม่
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าบริษัท ACE ที่เข้ามาซื้อหุ้นบางจากต่อจากกองทุน CAI มีผู้ถือหุ้นเพียง 2 ราย คือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด ถือหุ้น 51% และบริษัท อังกอร์ อิสชูแอนซิส ถือหุ้นอีก 49% แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด กลับมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกันและชั้นเดียวกันกับ BIC Group ในประเทศไทย และยังเป็นที่เดียวกันกับ บริษัท เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ ของ แคทรียา นั่นก็คือชั้น 28 อาคารเกษรทาวเวอร์
ตนเชื่อว่า อนุทิน น่าจะรู้จัก เบนจามิน อยู่บ้าง เพราะในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 บุคคลนี้เคยขอสละสัญชาติกัมพูชาแล้วมายื่นขอสัญชาติไทย แต่ อนุทิน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ลงนามอนุญาต โดยที่กระบวนการในครั้งนั้น มีหนึ่งในผู้รับรองประวัติให้กับ เบนจามิน คือ วราห์ สุจริตกุล รองประธานกรรมการบริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด (FSX) ซึ่งเป็นหุ้นที่ บริษัท พิลกริม ที่ วรภัค เคยถือหุ้นใหญ่ ขายให้กับกองทุน CAI ที่มี แคทรียา เป็นผู้จัดการกองทุน
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าหุ้นบางจากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ บริษัท ACE กำลังเข้าซื้อ นั้น มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท ดังนั้น การซื้อหุ้นบางจาก 20% จะต้องใช้เงินมากถึง 10,000 ล้านบาท คำถามคือ บริษัท ACE เอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะทุนจดทะเบียนของ บริษัท ACE มีเพียงแค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น จึงมีข้อสงสัยจากบรรดานักลงทุนว่าแหล่งเงินทุนที่เอามาซื้อหุ้นบางจากนั้น มีความเกี่ยวพันกับ BIC Group หรือกลุ่มทุนอื่นๆ ของประเทศกัมพูชาหรือไม่
ปัจจุบัน บริษัท บางจาก ไม่ได้เป็นเพียงแค่ธุรกิจโรงกลั่นและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป แต่ได้ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะบริษัทในเครืออย่าง BCPR ที่จัดตั้งทั้งในประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ เพื่อดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 บริษัท BCPR เพิ่งประกาศความร่วมมือกับเชฟรอน เพื่อสำรวจปิโตรเลียมในแปลง G2/65 ในอ่าวไทย
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าแต่ประเทศไทยและกัมพูชายังมีข้อตกลง MOU44 ที่กำหนดการแบ่งพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลมูลค่ามหาศาล มีการวางแผนเรื่องสัมปทานไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กิจกรรมสำรวจและผลิตยังไม่เกิดขึ้น เพราะข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชายังไม่สิ้นสุด คำถามคือถ้าวันหนึ่งฝ่ายการเมืองดีลกันลงตัวระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและกลุ่มทุนไทย กับเครือข่ายอำนาจของ ฮุน เซน บางจากในฐานะที่เป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของประเทศ จะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเปิดทางไปสู่อภิมหาโครงการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลหรือไม่
หากเงินที่ถูกนำมาไล่ซื้อหุ้นบางจากเป็นเงินสกปรก มีที่มาจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงินของเครือข่ายก่อการร้าย หรือแม้แต่อาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบต่างๆ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศกัมพูชา ก็หมายความว่าทุนเทาข้ามชาติกำลังคืบคลานเข้ามายึดประเทศไทยผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่ได้เป็นเพียงการเอาเงินสกปรกมาฟอก แต่คือการเอาเงินที่หลอกคนไทยมาทำกำไรผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์ โดยการเข้ามาซื้อหุ้นในธุรกิจยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงของประเทศ
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่ายังมีข้อสันนิษฐานว่าเงินทุนสีเทาก้อนนี้ อาจทะลักเข้ามายึดกุมระบบการเงินการธนาคารของประเทศไทยโดยตรง ซึ่งถ้าเป็นจริงประเทศไทยจะกลายสภาพเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของโลก เงินสกปรกจะไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างไม่ขาดสาย และจะกลายเป็นกำแพงกีดกันเม็ดเงินลงทุนสุจริตไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนสมัยใหม่ และโอกาสในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่สร้างการจ้างงานแรงงานทักษะสูง
BIC Group มีธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ชื่อว่า BIC Bank ซึ่งปัจจุบันมี ยิม เลียก นั่งเป็นประธานกรรมการ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือประธานกรรมการ BIC Bank คนแรกกลับปรากฏชื่อ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลังของประเทศไทย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น ยิม เลียก ในปี 2562 และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สถิตย์ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ให้เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สถิตย์ ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง
“ประชาชนและนักลงทุนจะไม่ตั้งข้อสงสัยอะไรเลยได้อย่างไร ในเมื่ออดีตประธานกรรมการ BIC Bank กลุ่มทุนทางการเงินขนาดใหญ่จากกัมพูชา ซึ่งถูกสื่อมวลชนตั้งข้อกังขาในเรื่องของความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ เข้ามามีบทบาทโดยตรงในกระบวนสรรหาและคัดเลือกบุคคลในตำแหน่งสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย ในระดับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลระบบการเงินและการธนาคารของประเทศ” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าส่วนบริษัท ACE ที่เข้าซื้อหุ้นบางจากต่อจากกองทุน CAI มีผู้ถือหุ้นอยู่ 2 ราย นั่นก็คือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล และ บริษัท อังกอร์ อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Chartered Group ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ ซึ่งมีบริษัทในเครืออีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส เมื่อตนติดตามการซื้อหุ้นของ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส จึงได้พบว่ามีการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีจีไอ จำกัด (VGI) โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 11% และเมื่อตามไปดูข้อมูลการซื้อขายหุ้นต่อก็พบว่ากองทุน CAI ก็เข้าซื้อหุ้น VGI ด้วยเช่นกัน โดยถือครองหุ้น VGI ในสัดส่วน 14.5% ซึ่งมีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าเป็นเพราะ VGI กำลังพยายามขอใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจากธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็ขออนุญาตไม่สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนที่มีความสัมพันธ์หรือรู้จักคุ้นเคยกับ BIC Group บริษัท VGI จะได้รับใบอนุญาตหรือไม่
สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงคริปโต ย่อมรู้จัก KuCoin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคริปโตระดับโลก แต่ที่น่าสนใจคือบริษัทแม่ของ KuCoin เคยถูกปรับเงินสูงถึง 300 ล้านดอลลาร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2567 เนื่องจากประกอบธุรกิจโอนเงินโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่สามารถหยุดยั้งการฟอกเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐได้ ซึ่ง KuCoin ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และเป็นผู้ออก SiriHub Token ให้กับ บริษัท แสนสิริ ที่เกี่ยวข้องกับ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แม้อาจจะเป็นเรื่องของธุรกิจปกติ แต่ก็อดสงสัยว่าทำไมในตอนที่ เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงต้องอาสามาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าบริษัท ERX เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เวลาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ลงทุนจะต้องทำธุรกรรมผ่านระบบธนาคารที่ผูกบัญชีเอาไว้ จึงมีข่าวเชื่อมโยงในแวดวงการเงินการลงทุนว่ามีกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะเจรจาซื้อหุ้นของธนาคารอิสลาม โดยมีข้อสันนิษฐานว่าจะนำเอาธนาคารอิสลามมาใช้ผูกบัญชีกับแพลตฟอร์ม KuCoin Thailand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่จะเข้ามาสนับสนุนโครงการ G‑Token อย่างเต็มตัว ซึ่ง G-Token ก็คือพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบดิจิทัลของรัฐบาลไทยที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งจะทำการซื้อขาย รับผลตอบแทน และไถ่ถอนบนแพล็ตฟอร์มของ KuCoin Thailand
ที่น่าสนใจก็เพราะเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 KuCoin Thailand ภายใต้การบริหารของ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (FSS) เพื่อร่วมผลักดันและขยายโอกาสด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท FSS ก็คือบริษัทในเครือของ บริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งมีรองประธานกรรมการบริษัทคือ วราห์ สุจริตกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่รับรองประวัติให้กับ เบนจามิน ในการขอแปลงสัญชาติจากกัมพูชาเป็นสัญชาติไทย ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ตนก็จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ อนุทิน ได้รับทราบ
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าแม้ว่าการซื้อหุ้นธนาคารอิสลามจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าโครงการนำร่องในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลบาทและนำไปใช้จ่ายของ กลต. เกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโครงการที่อนุญาตให้เงินคริปโตสามารถนำมาใช้จ่ายประหนึ่งเป็นเงินสดได้ ถ้าเงินคริปโตที่เอามาใช้จ่ายมีที่มาจากเงินสีดำสีเทา ก็เท่ากับว่านี่คือโครงการนำร่องที่ปั้นขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องฟอกเงินให้กับอาชญากรไซเบอร์ข้ามชาติ
นอกจากนี้ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Chartered Group ที่เป็นเสมือนพี่น้องกับ บริษัท อังกอร์ อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอ็นเนอจี้ ที่ไปเข้าซื้อหุ้นบางจาก บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส นอกจากจะซื้อหุ้นบริษัท VGI แล้ว ยังเข้าไปซื้อหุ้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ซึ่งถือเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่มีหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกด้วย โดยที่ บริษัท MFC เองเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสังคมก็ถือหุ้นบางจากอยู่ที่ 15.1% หากจะบอกว่า บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส อยู่ในฐานะที่ได้รับประโยชน์จากหุ้นบางจากทางอ้อม ก็พอจะอนุมานเช่นนั้นได้
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าเรื่องที่บังเอิญอย่างน่าสงสัย คือการที่เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ได้มีมติการประชุมครั้งที่ 5/2567 ในสมัยที่ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ เรื่อง ข้อกำหนดการฝากหรือลงทุนของสหกรณ์ ที่เปิดทางให้สหกรณ์สามารถนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ที่มีหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ ซึ่งบังเอิญไปสอดคล้องกับคุณสมบัติของกองทุน MFC อย่างลงตัว
เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงการขายอาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 เพราะถูกขายโดยบริษัท MFC ให้กับกองทุนประกันสังคมในราคา 7,000 ล้านบาท ทั้งที่การประเมินมูลค่าตลาดอยู่เพียง 3,428–3,863 ล้านบาทเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่ากรณีดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำกำไรเกินควรที่เข้าข่ายการเอารัดเอาเปรียบผู้ประกันตนแล้ว ยังเป็นกรณีที่ทำให้ประเทศไทยอาจกำลังเผชิญกับขบวนการทางการเมืองที่เปิดช่องให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศ เข้ามาเบียดบังผลประโยชน์ของผู้ประกันตนด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นเงินสีดำเงินสีเทาจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ หรืออาชญากรรมไซเบอร์
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่มันคือหายนะระดับชาติ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังเปิดประตูเมืองให้ทุนเทาข้ามชาติขนเงินสกปรกก้อนมหาศาลเข้ามาในประเทศ เอาเงินที่หลอกคนไทยอยู่ทุกวัน วันละ 370 ล้านบาท ปีละ 1.35 แสนล้านบาท ผ่านกลไกทางการเมือง การเงิน การลงทุน และการธนาคาร เข้ามายึดครองประเทศของเรา” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่า มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าทุนเทาข้ามชาติเหล่านี้มักจะมีเป้าหมายไปที่หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างพื้นฐานของชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่มีหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยไม่ได้หยุดอยู่ที่การซื้อหุ้นเท่านั้น แต่ยังมีการอุ้มสมเครือข่ายทางการเมือง ซื้อข้าราชการระดับสูงไปเป็นลูกสมุน ใช้เงินสีเทาไปใช้ซื้อเสียง เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมืองสีเทา เพื่อไปกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับตน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จำเป็นต้องเร่งสั่งการ ปปง. และ กลต. ให้เร่งตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ถ้า อนุทิน มีความตั้งใจที่จะทำตามคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในข้อที่ 9.1 ต้องเดินหน้าสั่งการมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ และ ปปง. ให้เตรียมการเดินหน้าลงสัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (UNCC2024) ในฐานะเป็นรัฐผู้ก่อตั้ง 40 ประเทศ ให้ทันกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 รวมทั้งสั่งการให้ ปปง. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอท.) เร่งทำความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก ทั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินสหรัฐ (FinCen) สำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศ (OFAC Egmont Group) คณะทำงานการปราบปรามการฟอกเงินของโลก (FATF) ตำรวจสากล (INTERPOL) เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงออนไลน์ ให้สิ้นซาก
นอกจากจะทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลกแล้ว ยังจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้เม็ดเงินสุจริตจากประเทศต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังจะทำให้ประชาชนคนไทยและผู้ประกอบการธุรกิจไทยมีความปลอดภัยในทรัพย์สิน แต่ถ้ารัฐบาลเปิดประเทศให้เงินสกปรกเหล่านี้เข้ามาผสมพันธุ์กับนักการเมืองได้ อย่าว่าแต่หุ้นบางจากเลย แม้แต่ ปตท. ธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารไทยพาณิชย์ เงินสกปรกเหล่านี้ก็ยึดได้