วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

"ทักษิณ" ร่วมดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลชื่นมื่น "แพทองธาร" หวังว่าจะสามารถพิสูจน์ในกระบวนการต่าง ๆ และได้กลับมาทำงานรับใช้สถาบัน รับใช้ประชาชนอีกครั้ง

 


"ทักษิณ" ร่วมดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลชื่นมื่น "แพทองธาร" หวังว่าจะสามารถพิสูจน์ในกระบวนการต่าง ๆ และได้กลับมาทำงานรับใช้สถาบัน รับใช้ประชาชนอีกครั้ง


วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงกระชับความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล  ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีการเชิญ สส. เข้าร่วมด้วย ภายใต้ชื่องาน “Pheu Thai Party (พรรคเพื่อไทย) สามัคคีประเทศ ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน”  โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสส.พรรคร่วมรัฐบาล จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคกล้าธรรม  (กธ.) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) พรรคประชาชาติ (ปช.) พรรคไทยก้าวหน้า พรรคประชาธิปไตยใหม่  (ปธท.) พรรคไทรวมพลัง เข้าร่วมด้วยอย่างคึกคัก  


ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม เดินทางมาถึงในเวลา 17.30 น. ก่อนนำแกนนำพรรคเพื่อไทย มารอรับ นายทักษิณ ที่บริเวณหน้าลิฟต์ ในเวลา 18.00 น.


เวลา 18.00 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึง ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้จะขึ้นบรรยายในเรื่องอะไร โดยนายทักษิณ ตอบว่า มาคุยกับพรรคการเมืองก็ต้องพูดเรื่องการเมือง


น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวเปิดงานว่ารู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติเป็นที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับทุกท่าน และรับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากนี้แล้วหวังว่าจะมีบรรยากาศที่เป็นกันเอง คุยกัน พูดคุย และขอให้ทุกท่านคุยกันได้อย่างปลอดภัย อย่างสบายใจ จริง ๆ เรามีเจตนารมณ์ มีเป้าหมายร่วมกันอยู่แล้ว คือการดูแลพี่น้องประชาชน


น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่าก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่าน สำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากับ 1 ปี ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ในฐานะของนายกรัฐมนตรี ขอบคุณความทุ่มเทแรงกายแรงใจของทุกท่าน ที่จะทำให้รัฐบาลของเราแข็งแรง การที่มีรัฐบาลที่แข็งแรงก็จะมีโอกาสที่จะทำเพื่อพี่น้องประชาชนมากยิ่งขึ้นด้วย และที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีสถานการณ์มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์ของโลก เศรษฐกิจทุกวันนี้ สถานการณ์ภาษี สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้ง สถานการณ์เสถียรภาพการเมืองบ้านเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยคุกคามจากภายนอก เรื่องความมั่นคง


"แต่ดิฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเอกภาพเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลนี่แหละ ที่จะทำให้เราชนะทุกสิ่งผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ ชนะที่พูดถึง คือชนะในเรื่องของการที่เราจะสามารถรักษาอธิปไตยของเราไว้ได้ และสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด" น.ส.แพทองธาร กล่าว


น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ดิฉันก็ยังมั่นใจอีกเรื่อง ในเรื่องของเจตนาอันบริสุทธิ์ ที่จะรักษาไว้ซึ่งชีวิตของพี่น้องประชาชน รักษาไว้ซึ่งชีวิตของเจ้าหน้าที่ของทหาร และการยึดหลักในเรื่องของสันติวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญ และหวังว่าสิ่งพวกนี้จะสามารถพิสูจน์ในเรื่องของกระบวนการต่าง ๆ ได้ และดิฉันจะได้มีโอกาสกลับมาทำเพื่อพี่น้องประชาชน รับใช้พี่น้องประชาชน รับใช้สถาบัน และได้มีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกับทุกท่านอีกครั้ง


ภายหลัง น.ส.แพทองธารกล่าวเปิดงานได้ถ่ายรูปร่วมกับบรรดาหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและแกนนำพรรค  จากนั้นได้เชิญนายทักษิณขึ้นมาถ่ายรูปร่วมกับคณะด้วย 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล






“ชยพล” ลั่นอย่าใช้ศาลทหารเป็นเครื่องมือปกป้องพวกพ้อง ทหารต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกับประชาชน “ธนเดช” ผิดหวังคดีน้องเมย รุ่นพี่ทำร้ายจนเสียชีวิต แต่ศาลทหารให้รอลงอาญา จี้กลาโหมเยียวยาครอบครัว ปฏิรูปศาลทหาร - ระเบียบล้าหลังของกองทัพ

 


“ชยพล” ลั่นอย่าใช้ศาลทหารเป็นเครื่องมือปกป้องพวกพ้อง ทหารต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกับประชาชน “ธนเดช” ผิดหวังคดีน้องเมย รุ่นพี่ทำร้ายจนเสียชีวิต แต่ศาลทหารให้รอลงอาญา จี้กลาโหมเยียวยาครอบครัว ปฏิรูปศาลทหาร - ระเบียบล้าหลังของกองทัพ


วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ชยพล สท้อนดี' ส.ส.กทม. เขต 8 (จตุจักร-หลักสี่) พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีวันนี้ศาลทหารสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดีการเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ “เมย” เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งศาลฯ พิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ จำเลยมีความผิดทำร้ายร่างกาย ทำโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทันที ศาลเห็นว่าให้จำเลยปรับปรุงตัวรับราชการต่อไป โดยจำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี ระบุว่า


ผลการพิจารณาคดีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร 


พิจารณาคดี 8 ปี ตัดสินโทษ 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี


ที่ผ่านมา กมธ.ทหาร ทำงานทางความคิด พูดคุย และแนะนำกองทัพตลอดมาเรื่องการรักษาสิทธิ์ของกำลังพล เรื่องความสำคัญของสิทธิมนุษยชนของกำลังพล ที่ถึงแม้เราจะเน้นย้ำไปทางพลทหาร เพราะเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในกองทัพ แต่ก็จะพูดเสมอว่าไม่ว่าจะเป็นนายทหารชั้นยศไหนก็ควรต้องไปรับการคุ้มครองไม่ต่างกัน


กรณีของ #น้องเมย ผมในฐานะของศิษย์เก่า รร.ตท. ไม่สามารถรับได้กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สถาบันแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่จะจบไปเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหมต่อในอนาคต มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง ปลูกฝังนิสัยการเป็นนายทหารที่ดี มีความรับผิดชอบต่ออำนาจ ต่อหน้าที่ทหาร-ตำรวจอาชีพ ต่อสิทธิมนุษยชน ต่อภาษีของประเทศ ต่อระบอบประชาธิปไตย แต่กลายเป็นสถานที่แห่งนี้เองที่กลับเกิดการใช้อำนาจอย่างขาดความยั้งคิดจนเกิดการเสียชีวิตขึ้นได้


นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมที่ถูกตัดสินโดยศาลทหาร ที่ญาติผู้เสียชีวิตไม่สามารถตั้งทนายได้ มีเพียงอัยการว่าความแทน แต่ฝั่งทหารสามารถตั้งทนายได้ จนได้บทสรุปออกมาว่า “ลงโทษจำเลยไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัวรับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า” แล้วไหนจะเรื่องของอวัยวะที่ญาติไม่สามารถรับคืนได้ เราจะเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมแบบนี้ได้อย่างไร


ผมถามจริง ๆ พวกคนที่ขัดขวางไม่ให้ตั้งคำถาม ไม่ให้ตรวจสอบกองทัพและโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะบอกว่ากองทัพและสถาบันจะเสียชื่อเสียง คุณคิดว่าคุณรักวงการนี้แค่คนเดียวเหรอ คุณคิดว่ารักด้วยการปกปิด แทนที่จะช่วยกันพัฒนาให้วงการดีขึ้น มันคือทางออกที่ดีของวงการที่เรารักจริง ๆ เหรอ


ผมไม่ได้พยายามเรียกร้องให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษจนชีวิตพัง แต่เราก็ต้องถามด้วยเหมือนกันว่าเราควรปล่อยให้คนที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจการใช้อำนาจจนเกิดการเสียชีวิตเป็นนายทหาร-ตำรวจต่อไปด้วยเหรอ มันปลอดภัยหรือไม่กับการให้คนแบบนี้สามารถจับอาวุธและมีอำนาจต่อไปโดยที่ยังไม่รับโทษที่เหมาะสมต่อวัยและบริบทความผิดที่เกิด แล้วทำไมคดีนี้ไม่สามารถเข้ารับการพิจารณาด้วยมาตรฐานที่เหมือนกับคนทั่วไปได้ ทำไมต้องเป็นศาลทหาร


รร.ตท. ก็คือโรงเรียนม.ปลาย ผบ.รร.ตท.ในยุคที่ผมอยู่เคยพูดไว้ว่าถึงแม้เราจะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการเป็นทหารคือการเป็นนักเรียน การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่อเป็นประชากรที่มีคุณภาพก็สำคัญไม่ต่างจากการเป็นนายทหารที่ดี หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมอื่น ที่รุ่นพี่ลงโทษรุ่นน้องจนเกิดการเสียชีวิต คิดว่าสภาพโรงเรียนจะเป็นอย่างไร? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนถึงสอบเข้ารร.ตท.กันน้อยลง ไปดูยอดคนสอบเข้าโรงเรียนที่สลักไว้ที่ป้ายหน้าห้องสมุดตรงข้ามหอประชุมโรงเรียนเตรียมทหารได้เลย จากสมัยที่ผมสอบที่มี 2-3 หมื่นคน ทุกวันนี้เหลือเท่าไหร่


ฝากไปถึงผู้บังคับบัญชา อย่ามาพูดใหญ่พูดโตว่าดูแลบุคลากรอย่างดี รุ่นน้องโรงเรียนตัวเองยังให้ความยุติธรรมไม่ได้ แล้วไม่ต้องมาพูดจาน้อยใจว่าคนอยากเป็นทหารน้อยเพราะกลัวลำบาก ความจริงคือเขากลัวเป็นเหยื่อของระบบมากกว่า และฝากไปถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องของนักเรียนทหารทุกสถาบันที่ชอบมาแซะผมในช่องทางต่าง ๆ ว่าทำลายชื่อเสียงของวงการ พวกคุณไม่รู้หรอกว่าลูกหลานพวกคุณต้องเสี่ยงชีวิตกับเรื่องอะไรอยู่บ้าง มันไม่ใช่ความเสี่ยงทางการงาน แต่คือความเสี่ยงจากความอันตรายของระบบที่ไม่ยอมจะปรับตัว พวกคุณแค่ต้องการปกป้องความภูมิใจที่ได้มีลูกหลานเป็นทหารโดยไม่สนใจเลยว่ากำลังส่งพวกเขาไปเจอกับอะไร พวกคุณควรต้องช่วยตั้งคำถามด้วยซ้ำเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาปลอดภัยจนเป็นนายทหาร-ตำรวจที่ดีต่อในอนาคตได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตกับความบกพร่องของระบบที่ไม่สามารถถูกตรวจสอบได้


เช่นเดียวกัน ธนเดช เพ็งสุข สส.กรุงเทพฯ (ลาดพร้าว-บึงกุ่ม) พรรคประชาชน กล่าวว่า กว่า 8 ปีของคดีน้องเมยที่ศาลตัดสินบนข้อกังขาเต็มไปหมด ตนในฐานะ สส. และศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารอดรู้สึกเจ็บลึกกับคำพิพากษานี้ไม่ได้ รุ่นพี่ทำร้ายรุ่นน้องจนตาย แต่ศาลทหารกลับให้จำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท และให้ “รอลงอาญา” เพราะเห็นว่าควรกลับไปรับราชการต่อ นี่ไม่ใช่ความยุติธรรม แต่คือสัญญาณเตือนว่าศาลทหารและระบบระเบียบที่ล้าหลังของกองทัพ ต้องปฏิรูปโดยด่วน 


“ในฐานะคนเคยอยู่ในระบบนี้ ผมเข้าใจดีว่าคำว่า ‘ระเบียบ วินัย พี่น้อง’ สำคัญ แต่ถ้าความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติ หากความอยุติธรรมถูกปกป้องด้วยเครื่องแบบ แล้วเราจะหล่อหลอมผู้นำกองทัพแบบไหนออกสู่สังคม” 


ธนเดชกล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้กระทรวงกลาโหมแสดงความจริงใจ ด้วยการจัดให้มีการเยียวยาแก่ครอบครัวของคุณภคพงศ์อย่างโปร่งใสและเร่งด่วน ศาลทหารต้องเปิดให้ตรวจสอบและปฏิรูปโครงสร้าง ตามข้อเสนอของก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน คือคดีอาญาที่ทหารเป็นคู่ความ ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติผ่านศาลปกครองและศาลยุติธรรม โรงเรียนเตรียมทหารต้องยกเครื่องวัฒนธรรมที่เอื้อให้เกิดความรุนแรงและพร้อมพัฒนาการสร้างคนให้ทันยุคสมัย ต้องมีระเบียบป้องกันและคุ้มครองสิทธินักเรียน ไม่ให้ใครต้องตายโดยไม่มีใครรับผิดหรือไม่ได้รับความยุติธรรม 


“วันนี้ผมไม่ได้พูดแค่ในฐานะ ส.ส. แต่พูดในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นรุ่นน้องต้องตายเปล่าอีกคน” ธนเดชกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลทหาร #พรรคประชาชน

“อ.ธิดา” แจงข้อมูลความจริงเรื่อง “ชายชุดดำ” หลังมีความพยายามเสนอเรื่องนี้เพราะเชื่อตามคำบอกเล่า!!!


“อ.ธิดา” แจงข้อมูลความจริงเรื่อง “ชายชุดดำ” หลังมีความพยายามเสนอเรื่องนี้เพราะเชื่อตามคำบอกเล่า!!!


วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงข้อมูลความจริงกรณี “ชายชุดดำ” หลังมีความพยายามนำเสนอเรื่องดังกล่าว ตามความเชื่อจากคำบอกเล่าของบางคน แต่ตนนั้น อ้างถึงผลคดีความกับประสบการณ์ตรงเท่านั้น และทิ้งท้ายว่าเขียนเรื่องนี้มามากแล้ว ให้พิสูจน์ได้จากผลคดีก็แล้วกัน โดยข้อความชี้แจงในเฟซบุ๊กของ อ.ธิดา มีใจความว่า


เข้าใจที่มีความพยายามเสนอเรื่อง “ชายชุดดำ” เพราะมีความเชื่อจากคำบอกเล่าของคน ส่วนดิฉันนั้นอ้างถึงผลคดีความและประสบการณ์ตรง


ดิฉันขอชี้แจงจากข้อมูลความจริงอีกทีว่า หลังรัฐประหาร 2557 มีความพยายามรัฐบาล คสช. ที่จะทำคดีชายชุดดำ


1. ผลจากคดีชายชุดดำที่มีการกล่าวหาว่าใช้อาวุธยิงประชาชนหรือทหาร ต่อมานั้นศาลยกฟ้องหมด


อ้างถึง ไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 64 พาดหัวข่าว “ศาลฎีกายกฟ้อง ชายชุดดำ คดีปะทะแยกคอกวัว 10 เม.ย. 2553 ที่ห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเศก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4022/2557

[ลิ้งค์ : https://www.thaipost.net/main/detail/93219]


อ้างถึง ข่าวสดออนไลน์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 64 พาดหัวข่าว “ด่วน! ศาลฎีกา ยกฟ้องชายชุดดำ คดีปะทะแยกคอกวัว 10 เม.ย. 53”

[ลิ้งค์ : https://www.khaosod.co.th/politics/news_5964961]


จากโพสต์ของ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ระบุ

[ลิ้งค์ : https://m.facebook.com/story.php...]


2. พันเอก ร่มเกล้า ไม่ได้เสียชีวิตจากถูกชายชุดดำยิง แต่ทหารกลุ่มนั้น รวมทั้งพันเอก ร่มเกล้า เสียชีวิตจากระเบิดมือขว้าง M67 นี่ก็เป็นผลชัดเจนของคดีความ และไม่สามารถหาผู้ขว้างระเบิดได้ ศาลยกฟ้องเช่นกัน


อ้างถึง : มติชนสุดสัปดาห์ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 พาดหัวข่าว “คำพิพากษาคดี ‘พล.อ.ร่มเกล้า’ ศาลสั่งยกฟ้อง 3 นปช. ชี้พยานโจทก์มีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ-ไร้น้ำหนัก”

[ลิ้งค์ : https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_397031]


3. เวที นปช. ปี 2553 นั้น ไม่ใช่เวทีแจกอาวุธ แต่มีการเก็บอาวุธที่ถูกทหารทิ้งไว้มารวมกันเพื่อส่งคืนเจ้าหน้าที่ (แต่จะมีบางคนแอบขโมยไปบ้างก็อาจเป็นได้) แต่ไม่ใช่คลังอาวุธแจกคนเสื้อแดงแน่นอน


4. ดิฉันเคยได้ยินมาเรื่องมีอาวุธ 2 คอนเทนเนอร์ แต่ได้ยินต่ออีกว่าเอาไปขายทั้งหมด ทำให้ผู้ให้อาวุธโกรธมากที่ถูกหลอก


5. ช่วงมีม็อบเสื้อแดงนั้น มีกลุ่มคนที่หากินกับการแสดงตนเป็นฮาร์ดคอร์ และที่แสดงตนเป็นแกนนำ (ที่ไม่มีมวลชนมากจริงตามที่แอบอ้าง) รวมทั้งกลุ่มคนการเมืองที่อยากเป็นแกนนำเสื้อแดงแทน นปช. จำนวนมากทีเดียวเพื่อหาประโยชน์ คำพูดของคนเหล่านั้นก็ทำให้คนบางคนเชื่อได้


ก็เขียนเพิ่มเติมเท่านี้ค่ะ เพราะเขียนมาเยอะแล้ว ไปดูผลคดีเองก็แล้วกัน. (เรื่องคำบอกเล่าทั้งหลายเราไม่ยืนยัน แต่ยืนยันตามผลแห่งคดี)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายชุดดำ #คนเสื้อแดง

“ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดลงมติ 10 ก.ย. นี้ วินิจฉัยอำนาจรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามคำร้อง “เปรมศักดิ์-วิสุทธิ์”

 


ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดลงมติ 10 ก.ย. นี้ วินิจฉัยอำนาจรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามคำร้อง “เปรมศักดิ์-วิสุทธิ์”


วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี กรณีประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันจันทร์ ที่ 17 มี.ค.2568 พิจารณาญัตติด่วนกรณีที่นายเปรมศักดิ์ เพียยระ สว. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. เป็นผู้เสนอให้รัฐสภาพิจารณามีมติขอให้ศาลรัฐธรรรมนูญพิจารณาวินิจปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2)


โดยผลการลงมติในญัตติดังกล่าวว่า ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นด้วยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามญัตติ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2568 ประธานรัฐสภา (ผู้ร้อง) ส่งเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ศาลรัฐธธรรมนูญให้พยานผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ


ทั้งนี้ผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัญติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันพุธที่ 10 ก.ย.2568 เวลา 09.30 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 3) มีคำสั่งรับคำร้องตามข้อ 2 ที่นายเปรมศักดิ์ เป็นผู้เสนอญัตติ ซึ่งถามว่า “หากรัฐสภามีอำนาจพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้แล้ว การดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ สามารถกระทำภายหลังที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว โดยทำพร้อมกับการทำประชามติว่า ประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ ได้หรือไม่ อย่างไร”


และรับคำร้องตามข้อ 3 ที่นายวิสุทธิ์ เป็นผู้เสนอญัตติ ซึ่งถามว่า “รัฐสภาจะพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยยังไม่ได้มีการทำประชามติว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่” ไว้พิจารณาวินิจฉัย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ #รัฐสภา #ศาลรัฐธรรมนูญ #ประชามติ

“โรม” มอง “ทักษิณ” ร่วมดินเนอร์พรรคร่วมฯ เย็นนี้ ใช้ผู้อาวุโสบั้นปลายชีวิตประคอง ‘เพื่อไทย-ชินวัตร’ แสดงบทบาทนำ ทำ “แพทองธาร” ถูกคิดถึงน้อยลง ซัด “รัฐบาล” ง่อนแง่น ไม่ต้องถึงผลักดันนโยบายเรือธง แต่แค่ดำรงตนเป็นรัฐบาลที่ดีก็ทำไม่ได้

 


โรม” มอง “ทักษิณ” ร่วมดินเนอร์พรรคร่วมฯ เย็นนี้ ใช้ผู้อาวุโสบั้นปลายชีวิตประคอง ‘เพื่อไทย-ชินวัตร’ แสดงบทบาทนำ ทำ “แพทองธาร” ถูกคิดถึงน้อยลง ซัด “รัฐบาล” ง่อนแง่น ไม่ต้องถึงผลักดันนโยบายเรือธง แต่แค่ดำรงตนเป็นรัฐบาลที่ดีก็ทำไม่ได้


วันที่ 22 ก.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเข้าร่วมดินเนอร์กับพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้ ว่า คงไม่ดูแค่การดินเนอร์วันนี้ และสังคมไม่ได้รู้สึกว่า การที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และรมว.วัฒนธรรม ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้แตกต่างอะไรเลย ไม่ได้ทำให้สังคมอยู่ไม่ได้ จะมี น.ส.แพทองธารปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกหรือไม่ ไม่ได้สร้างความแตกต่าง กลายเป็นว่าวันนี้นายทักษิณใช้จังหวะนี้ในการแสดงบทบาทนำของตัวเองมากขึ้น เรื่องดินเนอร์ทานข้าวก็เป็นดุลยพินิจของพรรคร่วมรัฐบาล แต่วันนี้หลายฉากที่เกิดขึ้นนายทักษิณแสดงบทบาทนำแล้วทำให้น.ส.แพทองธารถูกคิดถึงน้อยลง


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องจะเหมาะสมหรือไม่ก็ไปว่ากันในดุลยพินิจของแต่ละคน แต่วันนี้ตนคิดว่าเราควรจะมีนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ในเมื่อนายกรัฐมนตรีถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง ๆ มากมาย ควรจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ ทั้งเรื่องคลิปเสียง ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา แม่น้ำกก มีความท้าทายอยู่ เราต้องยอมรับว่ามันไม่ได้รับการแก้ไข และต้องพูดกันว่าความชอบธรรมของนางสาวแพทองธารและพรรคเพื่อไทยไม่มีเหลืออยู่แล้ว เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางสาวแพทองธารไม่ถูกคิดถึง ในฐานะนายกรัฐมนตรีอีกแล้วเพราะขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ


"ตอนนี้ต้องเอาผู้อาวุโสบั้นปลายชีวิต ที่ใช้บารมีสุดท้ายที่เคยสะสมมาตลอดเวลามาเผาเล่น โดยหวังว่าจะใช้บารมี ที่มีในช่วงสุดท้ายในการประคองพรรคเพื่อไทย ประคองตระกูลชินวัตร ประคองลูก วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดที่ผิดประเทศของเราควรจะเดินหน้าได้เสียที และการจะเดินหน้าได้มันต้องหลุดพ้นจากการเมืองแบบนี้ได้แล้ว" นายรังสิมันต์ กล่าว


เมื่อถามว่ามองว่ารัฐบาลจะไปรอดถึงขั้นไหน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนก็มีคำถามเหมือนกันเราอยู่ในจังหวะที่พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลง่อนแง่นมาก เป็นช่วงเวลาที่เราต้องยอมรับว่า ล่าสุดในสัปดาห์ที่แล้วในแง่ของเรื่ององค์ประชุมสภา พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถประคองได้เลย พร้อมที่จะล่มตลอดเวลา ถ้าจังหวะไหนไม่เข้มแข็ง ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความสามัคคีในการปกครองสภา ดังนั้นการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ก็ยิ่งมีปัญหาต่อไป ไม่ใช่แค่นโยบายเรือธงที่ผลักดันไม่ได้ แม้แต่ในการเป็นรัฐบาลที่ดี ในแบบที่ควรจะเป็น ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รังสิมันต์โรม #ทักษิณชินวัตร

รักษาการนายกฯ สั่งปรับปรุงการสื่อสารภาครัฐ ผ่านโซเชียลมีเดียให้ทันเหตุการณ์ กำชับทุกหน่วยงานพร้อมรับมือภัยพิบัติต่าง ๆ

 


รักษาการนายกฯ สั่งปรับปรุงการสื่อสารภาครัฐ ผ่านโซเชียลมีเดียให้ทันเหตุการณ์ กำชับทุกหน่วยงานพร้อมรับมือภัยพิบัติต่าง ๆ

วันนี้ (22  กรกฎาคม 2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในที่ประชุม ครม. ดังนี้    


ในเดือนมหามงคลนี้ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2568 นี้ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชนและประชาชน พร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28กรกฎาคม 2568 ถึงวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568        

   
ข้อสั่งการที่  2 เรื่องการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากการสื่อสารของประชาชนในยุคดิจิทัล ปัจจุบันสื่อ social media มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของประชาชนอย่างมาก ทำให้การรับทราบปัญหา เหตุด่วนเหตุร้ายดำเนินด้วยความรวดเร็วทันการณ์ แต่ในอีกด้านหนึ่งข่าวสารที่เผยแพร่อย่างรวดเร็วอาจขาดการตรวจสอบกลั่นกรอง ดังนั้น ในฐานะที่หน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นผู้ตอบสนองแก้ไขปัญหา จึงขอให้ปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน รับการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายต่าง ๆ เพื่อให้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างทันการณ์ โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ระบุสถานที่ เหตุการณ์ ผู้แจ้งให้ชัดเจน แก้ไขทันเวลา สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะการพิจารณาใช้ทราฟฟี่ ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ที่ กทม. และหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานใช้อย่างได้ผลมาแล้ว

 
ส่วนการแจ้งเบาะแสอาชญากรรม เช่น ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ คอรัปชัน เป็นต้น ต้องให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ประชาชนและผู้แจ้งเบาะแสให้ดีที่สุด ส่วนการปล่อยข่าวเท็จ และข่าวลือ ขอให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดใน social media และเร่งการแก้ไขชี้แจงให้ทันเวลา ก่อนที่จะแพร่ออกไปจนสร้างความสับสนในสังคม สำหรับการประชาสัมพันธ์ผลงานตามนโยบายของรัฐบาล ขอให้สื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างถูกต้อง ชัดเจน และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ขอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับโฆษกประจำสำนักนายกฯ ประสานหน่วยงานภาครัฐดำเนินการเชิงรุก กระชับการดำเนินงานเรื่องการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ด้วย  


และในช่วงหน้าฝนจะมีสถานการณ์ น้ำท่วมและอุบัติภัย โดยสัปดาห์นี้ เกิดพายุวิภา และมรสุมตะวันตก ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ อาทิ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย จึงขอให้กรมอุตุฯ กรมทรัพยากรธรณี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยราชการในพื้นที่ ร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดเน้นการเตือนภัยและเร่งช่วยเหลือแก้ไขให้ทันต่อสถานการณ์ การปรับเตือนภัยเฉพาะพื้นที่ด้วย cell broadcast และสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมครม

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บุกตรวจ โรงงานโซลาร์เซลล์ จ.ชลบุรี พบสวมรอยแผงจีนย้อมแมวขาย โครงการรัฐเสียหายยับ!

 


บุกตรวจ โรงงานโซลาร์เซลล์ จ.ชลบุรี พบสวมรอยแผงจีนย้อมแมวขาย โครงการรัฐเสียหายยับ! 


วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568 สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) นำกำลังเข้าตรวจสอบโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา ชลบุรี 20230 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ได้รับมาตรฐาน มอก. เพียง 1 ใน 8 แห่ง ในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาต หลังได้รับการร้องเรียนจาก สส.กาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 27 กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ที่ได้เปิดโปงเรื่องนี้เมื่อปลายเดือนก่อน 


โดย สส. ณัฐชา ได้ยื่นหนังสือถึง สมอ. ให้เร่งตรวจสอบ เนื่องจากพบความไม่ชอบมาพากลในโครงการของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในที่ว่าการอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีเงื่อนไขบังคับให้ใช้แผงโซลาร์เซลล์ที่ได้รับ มอก. จากไทยเท่านั้น ทำให้มีเพียง 8 บริษัทนี้ เท่านั้น ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่กลับมีเสียงร้องเรียนหนาหูว่ามีการนำแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศจีน ที่มีมูลค่าเพียง 1,000 กว่าบาท มาขายให้กับผู้รับเหมาในราคาสูงถึง 6,000-7,000 บาท ซึ่งเป็นการปั่นราคาขึ้นกว่าเจ็ดเท่าตัว โดยที่คุณสมบัติและคุณภาพของแผงยังคงเท่าเดิม สร้างความเสียหายมหาศาลแก่ภาครัฐ 


วันนี้ทีมติดตามของ สส. ณัฐชา ได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สมอ. และพบหลักฐานการทุจริตคาโรงงาน โดยพบแผงโซลาร์เซลล์จากจีนจำนวนมากที่ถูกลอกสติกเกอร์เก่าออก แล้วนำสติกเกอร์ของบริษัทตัวเองที่มีตราสัญลักษณ์ มอก. มาติดทับ ซึ่งมีรหัสสินค้า MHJK. ระบุอยู่ ซึ่งแตกต่างจากสินค้าปกติของโรงงานที่ใช้รหัส MH. เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า รหัส MHJK. อาจเป็นรหัสภายในที่ใช้บ่งบอกว่าเป็นแผงนำเข้าจากจีนเพื่อนำมาสวมสิทธิ์ขายในโครงการของรัฐ ขณะนี้หลักฐานทั้งหมดถูกยึดไว้เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย 


สส. ณัฐชา ระบุว่าจะขยายผลตรวจสอบโครงการทั้งหมดที่นำแผงโซลาร์เซลล์จากบริษัทที่ได้รับ มอก. ไปติดตั้งในโครงการรัฐหลายๆแห่ง เนื่องจากเชื่อว่าอาจเป็นขบวนการล็อกสเปกเพื่อเรียกรับเงินทอนระหว่างผู้จ้างงานกับโรงงานผลิต และเตรียมทำหนังสือส่งถึงคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์



ศาลอาญายกคำร้อง ‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ขอไต่สวนกรณี “ตรวนข้อเท้า” อานนท์ นำภา ให้การใช้เครื่องพันธนาการสอดคล้องตามเจตจำนงกฎหมาย ระบุไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 


ศาลอาญายกคำร้อง ‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ขอไต่สวนกรณี “ตรวนข้อเท้า” อานนท์ นำภา ให้การใช้เครื่องพันธนาการสอดคล้องตามเจตจำนงกฎหมาย ระบุไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 


วันนี้ (21 ก.ค. 68) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ เวลา 09.00 น. มีนัดไต่สวนกรณีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนโดยพลันและยุติการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีของมนุษย์ ต่ออานนท์ นำภา ในกรณี “การใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขัง” เพื่อยืนยันว่าสำนักงานศาลยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์จะพิจารณาการใช้กุญแจข้อเท้าและโซ่ล่ามผู้ต้องขังรายอื่น เป็นรายกรณีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สิทธิของผู้ต้องขังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและหลักตามสิทธิมนุษยชน ต่อมาหลังไต่สวนพยานเสร็จ ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ระบุโดยสรุปว่า ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ได้ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนโดยพลันและยุติการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต่อนายอานนท์ นำภา หลังพบเห็นอานนท์ปรากฏตัวในชุดนักโทษพร้อมกุญแจเท้าทั้งสองข้างระหว่างการเดินทางมาศาลและในห้องพิจารณาคดี ธงชัยมองว่าการใส่ชุดนักโทษ การใส่กุญแจเท้า หรือการใส่โซ่ล่ามระหว่างการพิจารณาคดี ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผิดหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงอาจเป็นการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 26 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และทบทวนการใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ให้สอดคล้องกับข้อห้ามตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ที่มีใจความว่า “ห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง” 


สำหรับช่วงเช้าวันนี้ ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 708 มีประชาชนเดินทางมาร่วมรับฟังการพิจารณาคดีด้วย โดยศาลได้ไต่สวนพยานผู้ร้อง 4 ปาก ได้แก่ อานนท์ (ผู้เสียหาย) และพยานผู้เชี่ยวชาญ 3 ปาก (ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ, ด้านพ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ, ด้านประวัติศาสตร์ราชทัณฑ์) จนเสร็จสิ้น ศาลจึงนัดฟังคำสั่งในช่วงบ่าย


ต่อมาในช่วงบ่าย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) เปิดเผยว่า ศาลมีคำสั่ง ‘ยกคำร้อง’ โดยระบุว่าข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจากการไต่สวนรับฟังได้ดังนี้ “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ใช้เครื่องพันธนาการ กุญแจ และโซ่ตรวนกับอานนท์ นำภา ผู้เสียหาย ในระหว่างการเบิกตัวจากเรือนจำมายังศาลอาญาเพื่อพิจารณาคดีจริง 


ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ดังกล่าวมีมูลเพียงพอจะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำตามมาตรา 6 พ.ร.บ.ทรมานหรือไม่ เห็นว่ามีการใช้เครื่องพันธนาการ จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพและอาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้เสียหายและบุคคลอื่นอยู่บ้าง แต่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่ เมื่อ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ได้ให้อำนาจหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีได้ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายบัญญัติไว้


ส่วนการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ เห็นว่าการกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็น ความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ แต่จากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว 


ส่วนประเด็นที่เจ้าหน้าที่อาจมิได้จัดทำบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการนี้เป็นรายการอย่างชัดเจนตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 21 อนุ 4 เห็นว่า แม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ 


เมื่อข้อเท็จจริงชั้นไต่สวนเบื้องต้นยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่กฎหมายบัญญัติ คำร้องของผู้ร้องจึงยังไม่มีมูลเพียงพอที่ศาลจะออกหมายเรียกพยานฝ่ายผู้ถูกร้องมาไต่สวนต่อไป จึงมีคำสั่งยกคำร้อง”


เมื่อข้อเท็จจริงชั้นไต่สวนเบื้องต้นยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่กฎหมายบัญญัติ คำร้องของผู้ร้องจึงยังไม่มีมูลเพียงพอที่ศาลจะออกหมายเรียกพยานฝ่ายผู้ถูกร้องมาไต่สวนต่อไป จึงมีคำสั่งยกคำร้อง”


หลังจากฟังคำสั่งศาล ทนายความ ได้แก่ รัษฎา มนูรัษฎา, พรพิมล มุกขุนทด และพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า การย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักการสากลและที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ควรจะได้รับการพิจารณาว่ามีมูลที่จะเรียกให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์มาให้เหตุผล แต่ศาลได้สั่งยกคำร้องและแจ้งให้อุทธรณ์ต่อศาลสูง 


แต่อย่างไรก็ตาม เห็นว่าคดีในลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเสรีภาพของประชาชน การไต่สวนโดยพลัน มีเหตุผลสำคัญคือเพื่อที่จะยุติและป้องปรามการละเมิดสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับการใส่เครื่องพันธนาการในห้องพิจารณาคดี โดยทนายความและอานนท์ จะยื่นอุทธรณ์คดีทั้งเนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อไป 


ซึ่งในประเด็นข้อกฎหมาย พยานผู้เชี่ยวชาญได้ให้การและกล่าวถึงการพิจารณาคดีในศาลต่างประเทศ อาทิ ประเทศแคนาดา ฝรั่งเศส และเยอรมัน ไม่ได้มีการใส่เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขังคดีอาญาในศาล และประเด็นสำคัญคือตามรัฐธรรมนูญ บัญญัติว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้” แม้ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใช้ดุลยพินิจ แต่กฎหมายไม่ควรที่จะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด


ส่วนประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ อานนท์ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องขังในคดีที่ถูกพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิด อีกทั้งไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และเดินทางมาตามศาลทุกนัด จึงไม่มีเหตุอันสมควรในการใช้เครื่องพันธนาการ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา




ศาลอาญาเลื่อนไต่สวน"กุสุมาลวตี"อดีตผู้สมัคร สว. ฟ้อง"อนุทิน"ข้อหาหมิ่นประมาท เหตุทนายจำเลยไม่มาศาล เจ้าตัวยันไม่มีการยอมความจะสู้จนถึงที่สุดแน่นอน

 


ศาลอาญาเลื่อนไต่สวน"กุสุมาลวตี"อดีตผู้สมัคร สว. ฟ้อง"อนุทิน"ข้อหาหมิ่นประมาท เหตุทนายจำเลยไม่มาศาล เจ้าตัวยันไม่มีการยอมความจะสู้จนถึงที่สุดแน่นอน


วันนี้ (21 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 12.20 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีอ.1418/2568 ที่ นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตผู้สมัคร สว.เป็นโจทก์ ฟ้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจากการที่นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนกักขฬะ


นางกุสมาลวตี กล่าวว่า วันนี้ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ตนเป็นโจทก์ฟ้องนายอนุทินในข้อหาหมิ่นประมาทจากการกล่าวหาตนว่าเป็นคนกักขฬะ แต่ปรากฎว่าในวันนี้นายอนุทินไม่มา รวมทั้งทนายส่วนตัวด้วย โดยได้ขอเลื่อนการไต่สวน ตนจึงคัดค้านว่าในเมื่อหมายได้ออกมานานแล้ว และในช่วงวันที่ 14 ก.ค.25682 และจะพยายามนัดให้ตรงกับอีกคดีเพื่อไม่ให้เสียเวลาของทนายความ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมาขอเลื่อนการไต่สวน แต่เนื่องจากทางศาลเห็นว่า เสียเวลาของศาล และตนก็ได้เตรียมพยานหลักฐานเอาไว้แล้ว ศาลจึงให้ตนเบิกความก่อน โดยตนได้เบิกความเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนมองว่าน่าจะเข้าองค์ประกอบความผิดหมิ่นประมาท และศาลจะนัดไต่สวนมูลฟ้องของจำเลยในวันที่ 8 ก.ย. 2568 ถ้าหากไม่มาอีกเท่ากับว่าฝ่ายนั้นไม่เข้ามาเบิกความ


นางกุสุมาลวตี กล่าวอีกว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายนายอนุทินเพิ่งตั้งทนายความส่วนตัวในวันที่ศาลนัดไต่สวน และก่อนหน้านี้ในคดีที่พรรคภูมิใจไทยเป็นโจทก์ฟ้องตน ก็ไม่มาเบิกความแต่ส่งทนายความส่วนตัวมา จึงทำให้ตนแปลกใจว่าทำไมนายอนุทินไม่เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการยุติธรรม แต่ตนมองว่าศาลจะให้ความยุติธรรม จึงได้ให้ตนขึ้นเบิกความก่อน และตนมั่นใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้อย่างแน่นอน และตนจะสู้ให้ถึงที่สุด


ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเลยได้ขอไกล่เกลี่ยหรือยอมความหรือไม่ นางกุสุมาลวตี กล่าวว่า คดีที่พรรคภูมิใจไทยเป็นโจทก์ฟ้องตน แต่ไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องมาเบิกความ ซึ่งถ้าหากพรรคเป็นผู้ฟ้องจะต้องมีกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเบิกความ ซึ่งศาลก็ไม่ยอมให้เบิกความ โดยหลังจากนั้นทนายความของเขาได้มาขอไกล่เกลี่ยกับทนายความของตน แต่จะไม่ยอมไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอนไม่ว่าจะให้ใครมาเจรจา ที่ผ่านมาฝ่ายนั้นอาจจะชนะคดีคู่ขัดแย้งมาหลายราย แต่ไม่ใช่ครั้งนั้ตนจะสู้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อนุทิน #ภูมิใจไทย

กกต.มีมติฟันอาญา “หมอเกศ” หลอกลวงด้วยคำนำหน้า "ศาสตราจารย์" ในการสมัคร สว. โทษสูงสุด คุก 10 ปี ตัดสิทธิ 20 ปี “ทนายอั๋น” ชี้หมดเวลาของเธอแล้ว จี้ส่งศาลภายใน 25 ก.ค. นี้

 


กกต.มีมติฟันอาญา “หมอเกศ” หลอกลวงด้วยคำนำหน้า "ศาสตราจารย์" ในการสมัคร สว. โทษสูงสุด คุก 10 ปี ตัดสิทธิ 20 ปี “ทนายอั๋น” ชี้หมดเวลาของเธอแล้ว จี้ส่งศาลภายใน 25 ก.ค. นี้ 


วันนี้ (21 ก.ค. 68) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น เปิดเผยว่า กกต. มีมติคำวินิจฉัย กรณีตรวจสอบวุฒิการศึกษาของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. โดย เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับมติคำวินิจฉัยของ กกต. คำร้องในคดีให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ พญ.เกศกมล กรณีวุฒิการศึกษา เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงในการลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น สว. หนังสือลงวันที่ 18 ก.ค. 2568

 

โดย กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ พญ.เกศกมล ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า "ศาสตราจารย์" ซึ่งจะมีอัตราโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี


"ผมขอประกาศตรงนี้ มันหมดเวลาของเธอแล้ว คำวินิจฉัยส่งถึงผมเรียบร้อยในฐานะเป็นคนร้อง แต่เดิมทำเป็นจะเอาเรื่องของวุฒิการศึกษา ป.เอก แต่ผมมาที่นี่เพื่อคัดค้าน ท้ายที่สุดก็ยอมใส่คำว่าศาสตราจารย์ไป ไม่เหลือแล้ว กกต. ผมบอกเลย จะต้องส่งเรื่องหมอเกศ ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งภายในวันศุกร์นี้(25 ก.ค. 68) ไม่มีเหตุจะมาดึงเรื่อง ดังนั้นหวังว่าวันศุกร์นี้ คดีหมอเกศจะไปถึงศาลฎีกา" ทนายอั๋น กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สว67 #ทนายอั๋น #กกต #หมอเกศ

"สว.นันทนา"เดินหน้าค้านสว.เลือกองค์กรอิสระ บอกเสียงข้างมากหากไม่หยุด เท่ากับไม่เห็นหัวประชาชน เปรียบเหมือนเลือกผู้พิพากษาตัดสินคดีตนเอง ชี้การชะลอไม่ขัด ม.157 บอกยังไม่สาย รอบริสุทธิ์ก่อนเลือกคนมาทำหน้าที่

 


"สว.นันทนา"เดินหน้าค้านสว.เลือกองค์กรอิสระ บอกเสียงข้างมากหากไม่หยุด เท่ากับไม่เห็นหัวประชาชน เปรียบเหมือนเลือกผู้พิพากษาตัดสินคดีตนเอง ชี้การชะลอไม่ขัด ม.157 บอกยังไม่สาย รอบริสุทธิ์ก่อนเลือกคนมาทำหน้าที่


วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมวุฒิสภาเดินหน้าเลือกตำแหน่งในองค์กรอิสระ ว่า ที่ผ่านมาตนคัดค้านมาตลอด และครั้งนี้ต้องฟ้องประชาชนว่า คณะกรรมการ สืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ที่ตั้งร่วมกันระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ยื่นเรื่องกล่าวหาเกี่ยวกับการฮั้วเลือกสว. ซึ่งมีทั้งหมด 229 คน ไปยัง กกต.เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่า ข้อกล่าวหาที่ได้กล่าวหาไปนั้นมีมูลความจริง ใกล้เคียงมากแล้วและใกล้จะถึงจุดที่กกต.จะรับรองและส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง แต่ทำไม วุฒิสภาถึงยังเดือนหน้าที่จะเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะตำแหน่งที่กำลังจะลงมติในวันที่ 22 ก.ค.นี้ คือ กกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ถ้าที่ประชุมมีการเห็นชอบ ให้บุคคลเหล่านี้ เข้าไปดำรงตำแหน่ง จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์โดยชัดเจน เพราะกกต. จะมีอำนาจในการพิจารณาส่งฟ้องศาลฎีกา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจในการที่จะไต่สวนและวินิจฉัย ในเรื่องการได้มาซึ่งสว.ที่มิชอบ


น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน สว.เสียงข้างมาก ก็ได้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และกกต. ในฐานะผู้ร้องขณะเดียวกันก็เป็นผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกร้อง คือเป็นทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง แต่มีอำนาจในการที่จะส่งคนเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ทั้งกกต. และศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้คือสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะโดยจริยธรรม และจิตสำนึก ควรชะลอการลงมติก่อน รอให้คดีของสว.ทั้งหลายเป็นที่ยุติแล้วว่าบริสุทธิ์ จึงค่อยกลับมาลงมติก็ยังไม่ก็ยังไม่สายเกินไป แต่การกระทำขณะนี้ หรือว่าเร่งรีบเพื่อจะให้มีการบรรจุ


"ประชาชนทุกคนคงมองเห็นว่าตรงนี้ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือเป็นประโยชน์แฝงเร้นให้กับตนเองและพรรคพวกของตัวเอง เพราะผู้ที่ถูกกล่าวหา มีสว.ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 138 คน เท่ากับ 3 ใน 4 ของสภาแล้ว แต่ยังดึงดันที่จะลงมติเลือกคนจะไปพิจารณาคดี และตัดสินคดีของท่าน สิ่งเหล่านี้เหมาะสมหรือไม่ สมควรหรือไม่ ประชาชนคงไม่อยากเห็นความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ที่เกิดขึ้น มาจากการลงมติของสว.เสียงข้างมาก ที่ดันทุรังจะใส่คนให้เข้าไปในองค์กรอิสระ ให้เข้าไปพิจารณาคดีของตัวเอง นี่คือความขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน "น.ส.นันทนา กล่าว


เมื่อถามว่า หากสว.ไม่ดำเนินการ เลือกองค์กรอิสระ อาจ จะเสี่ยงขัดต่อมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ น.ส.นันทนากล่าวว่า การชะลอการลงมติไม่ได้เข้าข่ายการหยุดการทำหน้าที่ ไม่เข้าข่ายมาตรา 157 เพราะมีนักกฎหมายหลายคนพูดแล้วว่าการที่สว.ชะลอลงมติเห็นชอบบุคคลในองค์กรอิสระออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ชอบ สามารถทำได้ เพราะในขณะที่ตนเองเป็นผู้ถูกกล่าวหา แล้วไปทำหน้าที่ให้คนไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ก็เหมือนกับการไปเลือกผู้พิพากษา มาตัดสินคดีของตนเอง ซึ่งประชาชนรอดูอยู่ว่า ผลของการตรวจสอบที่มาของสว.ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันสว.เสียงข้างมากก็ยังลงมติ เพื่อที่จะเลือกคนที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมเข้าไป และเมื่อเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับตนเอง ก็จะส่งผลต่อคดีไปในทิศทางบวกให้กับตนเองหรือไม่


"ยืนยันว่า การชะลอการลงมติไม่เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเมื่อคดีของท่านสิ้นสุดแล้วพบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านสามารถกลับมาลงมติได้ และบุคคลในองค์กรอิสระถ้าเขาครบวาระแล้ว ยังไม่มีใครมาแทน เขาสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าจะได้คนใหม่ ท่านก็รอสิคะ รอให้คดีของท่านสิ้นสุดก่อน ต่อไปท่านจะมาลงมติก็ไม่เป็นที่สงสัย ไม่เป็นที่คางแคงใจของประชาชนใดๆทั้งสิ้น ยืนยันว่าการชะลอการลงมติ จะทำให้สว.สง่างาม และเป็นจิตสำนึกที่ดี ท่านกำลังใช้จริยธรรมชั้นสูงในการที่จะผดุงรักษากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ขอเรียกร้องวิงวอนให้ ชะลอและยุติการเลือกกกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 22 ก.ค.นี้ออกไปก่อน ถ้าตัดสินใจชะลอประชาชนก็จะสรรเสริญว่าท่านทำเพื่อประเทศชาติ แต่ถ้ายังดึงดัน แปลว่าท่านไม่เห็นหัวประชาชน และทำเพื่อประโยชน์ของท่านและกลุ่มของท่านเท่านั้น"น.ส.นันทนา


เมื่อถามว่าที่ผ่านมาคัดค้านมาโดยตลอดแต่ไม่สำเร็จ จะมีท่าทีอย่างไรต่อไป น.ส.นันทนากล่าวว่า ญัตติขอให้มีการชะลอการเลือกผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระออกไป ของนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.เท่าที่ทราบวันนี้คาดว่าไม่ได้ถูกบรรจุในระเบียบวาระ แต่ตนจะเสนอญัตติด้วยวาจาเพื่อที่จะคัดค้านต่อไป เพราะตนคัดค้านมาตั้งแต่วันที่ สว.ยังไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และตนก็จะเรียกร้องต่อไป


"แม้ว่าจะถูกสว.บางท่านไล่ออกจากห้องประชุม หรือกล่าวหาว่าดิฉันเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ประชาชนจะเป็นพยานเพราะสิ่งที่ดิฉันทำคือรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ไม่บิดเบี้ยว ยืนยันเดินหน้าต่อไม่กลัวว่าจะได้รับผลกระทบหรือแรงกระแทกอย่างไรก็จะยังสู้ต่อ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ยุติธรรมอย่างแท้จริง" น.ส.นันทนากล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สว67 #ฮั๊วสว

“คลัง” จ่อไฟเขียว “พิโกไฟแนนซ์” ปล่อยกู้ข้ามจังหวัด เพิ่มเข้าถึงแหล่งทุน แก้หนี้นอกระบบ

 


คลัง” จ่อไฟเขียว “พิโกไฟแนนซ์” ปล่อยกู้ข้ามจังหวัด เพิ่มเข้าถึงแหล่งทุน แก้หนี้นอกระบบ


วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาขยายขอบเขตพื้นที่ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์-PICO) จากที่ได้เฉพาะภายในจังหวัดที่ได้รับอนุญาต เป็นการประกอบธุรกิจได้ในจังหวัดที่ได้รับอนุญาตและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน


สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขนั้น การขยายขอบเขตพื้นที่ในการให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ คือ ต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประเภทพิโกพลัสที่มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยจะสามารถประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในจังหวัดและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน และสามารถให้สินเชื่อได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะขยายขอบเขตพื้นที่ในการให้บริการจะต้องมีแผนการดำเนินธุรกิจและแผนการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เช่น การพิสูจน์และยืนยันตัวตนลูกค้า การส่งมอบสินเชื่อและการรับชำระหนี้ การติดตามทวงถามหนี้ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถติดตามทวงถามหนี้ได้


การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์นี้จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดระยะเวลาในการเดินทาง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และช่วยขยายฐานลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจไปยังจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน รวมทั้งเป็นการให้เจ้าหนี้นอกระบบให้เข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ


โดยปัจจุบัน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังและประกาศ สศค. ที่เกี่ยวข้อง โดยจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิโกไฟแนนซ์

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

#กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งกัน จัดกิจกรรม 1 ปี แล้วในเรือนจำ ‘ขุนแผน - มานี’ ด้วยคดี 112 จุดพลุให้เพื่อนรู้ เราไม่ลืมนักโทษการเมือง 50 คน พร้อมร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด ให้ ‘อาย’ กันต์ฤทัย ในวัยครบ 34 ปี

 


#กลุ่มเพื่อนไม่ทิ้งกัน จัดกิจกรรม 1 ปี แล้วในเรือนจำ ‘ขุนแผน - มานี’ ด้วยคดี 112 จุดพลุให้เพื่อนรู้ เราไม่ลืมนักโทษการเมือง 50 คน พร้อมร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด ให้ ‘อาย’ กันต์ฤทัย ในวัยครบ 34 ปี 


วันนี้ (18 ก.ค. 2568) เวลา 17.00 - 20.00 น. ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม มีกิจกรรม 'ส่งเสียงถึงเพื่อนในเรือนจำ 50 คน' เนื่องในโอกาสคุมขัง “ขุนแผน” เชญ ชีวอบัญชา สื่ออิสระเพจ ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’ - “มานี” เงินตา คำแสน ผู้ชุมนุมอิสระ ในคดีมาตรา 112 ครบ 1 ปี และร้องเพลง “Birthday” ให้แก่ “อาย” กันต์ฤทัย เพื่อส่งกำลังใจให้แก่ผู้ต้องขังทางการเมือง


บริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม มวลชนเดินทางมาร่วมกิจกรรมโดยเริ่มจากการ “ยืน หยุด ขัง” พร้อมทั้งมีการถือภาพผู้ต้องขังทางการเมืองที่ยังถูกขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมทั้งป้ายข้อความ อาทิ “คืนสิทธิประกันตัว”, “ปล่อยเพื่อนเรา” และ “นิรโทษกรรมรวม 112” โดยมี หนวด ริมทาง มาเล่นดนตรีและร้องเพลงถึงเพื่อนในเรือนจำ


จากนั้นเวลา 19.38 น. พบว่ามีการจุดพลุเพื่อส่งเสียงให้เพื่อนในเรือนจำว่าพวกเขารับรู้ว่าเขายังไม่ถูกลืม จากนั้นจึงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้แก่ “อาย” กันต์ฤทัย เพื่อส่งกำลังใจให้เธอเนื่องจากเมื่อวานนี้ (17 ก.ค.) เป็นวันเกิดปีที่ 34 ของเธอ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เธอต้องฉลองวันเกิดในเรือนจำจากการถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 


“ซุน” สามีของมานี กล่าวในตอนท้ายว่า วันนี้เขาได้เข้าเยี่ยมมานี เธอเล่าให้สามีเธอฟังว่ามีเพื่อนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำและมีโอกาสได้ออกศาลได้มาบอกมานีว่า ทุกวันที่พวกเขากลับจากศาลก็จะเห็นกลุ่มคนยืนหยุดขังอยู่ที่หน้าเรือนจำ เธอได้รับรู้และฝากขอบคุณทุกคนด้วย มานีบอกว่าเธออยากออกมาจากเรือนจำแล้ว 


สำหรับขุนแผนและมานี ถูกขังตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2567 หลังศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ในคดีมาตรา 112 และดูหมิ่นศาล จากกรณีร่วมกิจกรรม “ยืนบอกเจ้าว่าเราโดนรังแก” และร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เรียกร้องให้ประกันตัว “ใบปอ” และ “บุ้ง” ที่ถูกคุมขังเมื่อปี 2565 ซึ่งทั้งสองคนไม่ได้รับสิทธิประกันตัวหลังศาลมีคำพิพากษา ปัจจุบันขุนแผนถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ส่วนมานียังคงถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง 


ส่วน “อาย” กันต์ฤทัย ถูกขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางตั้งแต่ 27 ส.ค. 2567 ในคดีมาตรา 112 โพสต์เฟซบุ๊กรวม 8 โพสต์ หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 8 ปี 48 เดือน และไม่ได้รับสิทธิประกันตัวเช่นกัน ซึ่งเดือนหน้าจะครบ 1 ปีที่เธอถูกขังแล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน #มาตรา112 #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน














วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ศาลไต่สวนแพทย์โรงพยาบาลตำรวจครึ่งเช้า 3 ราย หมอเจ้าของไข้เผย”ทักษิณ“มีช่วงดีขึ้น ไปนั่งโซฟาในห้องพักได้

 


ศาลไต่สวนแพทย์โรงพยาบาลตำรวจครึ่งเช้า 3 ราย หมอเจ้าของไข้เผย”ทักษิณ“มีช่วงดีขึ้น ไปนั่งโซฟาในห้องพักได้


วันนี้ (18 กรกฎาคม 2568) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5


นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงการสืบพยานคดี บังคับโทษ อดีตนายกรัฐมนตรีนัดที่ 5 ว่า วันนี้จะสืบพยานแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจคือแพทย์ใหญ่คนปัจจุบันและแพทย์ใหญ่ในอดีต และทีมแพทย์รักษา นายทักษิณ รวม 6 คน  ซึ่งการไต่สวนในวันนี้น่าจะใช้เวลาพอสมควร ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ศาลให้ความสนใจ อยากทราบ นอกจากนี้ยังมีเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับเวชระเบียน หรือ บันทึกการรักษา รวมถึงประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศของนายทักษิณ ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นการนำข้อเท็จจริงขึ้นสู่ศาล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และ ตนได้ตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า แต่ก็ต้องดูว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ โดยเป็นดุลยพินิจของศาล


สำหรับการไต่สวนในช่วงเช้าวันนี้ ศาลได้ไต่สวนพยานจำนวน 3 ปาก เป็นอดีตแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจคนปัจจุบัน และแพทย์ผู้ทำการรักษานายทักษิณที่เข้าเวรช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 23 ส.ค. 2566


ส่วนพยานที่เป็นแพทย์ใหญ่และอดีตแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจเบิกความว่าห้องพักชั้น 14 มีผู้ป่วยมาพักก่อนหน้าอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงที่โรงพยาบาลทำการกักตัวผู้ป่วยโควิด ทำให้ต้องใช้ห้องพักผู้ป่วยทุกห้อง


โดยพยานรายที่ 3 ที่เป็นแพทย์ผู้ทำการรักษาเบิกความถึงอาการในช่วงเข้ารับการรักษาของนายทักษิณ โดยพยานได้มีการโทรปรึกษาเกี่ยวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคทางหัวใจด้วย โดยระหว่างการรักษาตัว นายทักษิณมีอาการป่วยด้วยโรคอื่น แพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่นายทักษิณปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งนี้ แพทย์ยืนยันว่า ให้การรักษาตามจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่รู้เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการส่งตัวหรือการส่งกลับผู้ป่วยที่มาจากเรือนจำ พยานรายที่ 3 ยังเบิกความอีกว่าพอรักษาไปสักพัก ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวสามารถส่งกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้  และเคยเห็นนายทักษิณไปนั่งที่โซฟาภายในห้องพัก นอกจากจะนอนอยู่เเค่ที่เตียง ส่วนที่ได้เป็นเเพทย์เจ้าของไข้ทักษิณเพราะว่าเป็นเเพทย์ที่รับไข้คนเเรก


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14

“ขุนแผน” ร่ายกวีจากบางขวาง ครบ 1 ปี การจองจำคดี ม.112 “เพียงเกลียวคลื่นซัดใส่ให้จำนน เพียงใจคนที่พร้อมย่อมไม่กลัว” ... “หากสุดท้ายหมายมุ่งความรุ่งเรือง ย่อมใช่เรื่องของใครไทยทุกคน”




ขุนแผน” ร่ายกวีจากบางขวาง ครบ 1 ปี การจองจำคดี ม.112 “เพียงเกลียวคลื่นซัดใส่ให้จำนน เพียงใจคนที่พร้อมย่อมไม่กลัว” ... “หากสุดท้ายหมายมุ่งความรุ่งเรือง ย่อมใช่เรื่องของใครไทยทุกคน”


วันนี้ (18 กรกฎาคม 2568) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยม เชน ชีวอบัญชา หรือขุนแผน” นักกิจกรรมและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 58 ปี ที่ยังคงถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำกลางบางขวาง มาตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2567 ซึ่งเป็นระยะเวลาครบ 1 ปีแล้ว


ในช่วงแรกเขาถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และต้องถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ก่อนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะถูกบังคับย้ายตัวมายังเรือนจำกลางบางขวาง


หนึ่งปีแห่งชีวิตที่เผชิญกับความไม่แน่นอนและปัญหาสุขภาพ ขุนแผนยังคงเดินหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความเชื่อมั่นของเส้นทางที่เลือก และการรักษาจิตใจให้เข้มแข็งท่ามกลางสถานการณ์ที่เคร่งครัด เขายังได้ฝากบทกลอนที่เต็มไปด้วยพลังและความหวัง เป็นการส่งผ่านข้อความถึงสังคมภายนอกผ่านคำประพันธ์ที่คนผ่านประสบการณ์ชีวิตทั้งโลกข้างนอกและในเรือนจำอย่างเขาอยากจะให้รับรู้


ขุนแผนเดินมาด้วยท่าทีเรียบนิ่ง สวมใส่หน้ากากอนามัย ผมสั้นเหมือนเพิ่งโกนผมมาไม่นาน เมื่อถูกถามถึงสภาพความเป็นอยู่ เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไรนะครับ มันก็เหมือนเดิมแหละ ผมก็สบายดี แต่ถ้าได้อยู่ข้างนอกก็ดีกว่า”


ระหว่างการสนทนา ขุนแผนไอเล็กน้อย เขาอธิบายว่า “อากาศเปลี่ยนแปลง ก็เลยไอเล็กน้อย และเจ็บคอ แต่ไม่ได้กังวลอะไรขนาดนั้นครับ ผมได้ทานยาแล้ว” สำหรับเรื่องของต้อตา ขุนแผนแสดงท่าทีที่เข้าใจในกระบวนการและไม่เร่งรัด “ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ แต่ผมก็ไม่ได้กังวล ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของมันครับ”


อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นคือการปวดบริเวณหัวไหล่ ซึ่งสืบเนื่องจากการออกกำลังกายที่บาร์โหนเมื่อ 1-2 เดือนก่อน ขุนแผนหัวเราะเบา ๆ ขณะเล่าว่า “ผมคงเล่นมากเกินมั้งครับ เลยปวดตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้”


เมื่อพูดถึงกรณีของอานนท์ นำภา และเก็ท โสภณ อีกสองผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ขุนแผนแสดงความเห็นใจแต่มีความมั่นใจในความเข้มแข็งของเพื่อนผมสงสารอานนท์ เก็ท ที่ต้องคดีขนาดนี้ แต่ไม่ต้องห่วงเขา เพราะผมรู้ว่าพวกเขาเข้มแข็งมาก”


สำหรับตัวเขาเอง ขุนแผนเผยว่าได้เตรียมใจมาตลอด “ก่อนที่จะถูกดำเนินคดี ผมรู้ตัวมาตลอดว่ามีโอกาสที่จะโดนเหมือนกัน ก็เตรียมใจในเรื่องนี้ไว้ส่วนหนึ่ง”


ขุนแผนยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ระแวดระวังจนเกินเหตุของเจ้าหน้าที่ในแดน เขาเล่าถึงการรื้อถอนอุปกรณ์ออกกำลังกาย หลังจากผู้ต้องขังได้ประยุกต์ขวดน้ำบรรจุทรายเพื่อใช้เป็นดัมเบลในการออกกำลังกาย แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาแดนเข้ามาตรวจพบ กลับมองว่าเป็นอาวุธที่อาจใช้ทำร้ายกันได้ จึงสั่งให้รื้อทิ้งไป


ขุนแผนวิเคราะห์ด้วยเหตุผลว่า “ขวดบรรจุทรายไม่สามารถใช้ทำร้ายร่างกายได้ถึงขนาดนั้น หากมันจะมีเรื่องกันจริง ๆ ก็ใช้แค่สองมือ สองเท้าก็สามารถทำร้ายกันก็ได้แล้ว” ผลของการรื้อทำให้ผู้ต้องขังไม่มีอุปกรณ์ใดใช้ในการออกกำลังกาย และไม่มีอุปกรณ์ใดมาทดแทน


ท่ามกลางสถานการณ์ที่เคร่งครัด ขุนแผนยังสามารถหาความสนุกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เขาเล่าให้ฟังเรื่องผู้ต้องขังคนหนึ่งที่ชอบวิ่งมาก ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ยังคงวิ่งตลอด “มีช่วงวันหนึ่งครับที่ฝนตก และผู้ต้องขังคนนี้ก็ยังวิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมมาหลบฝน จนเจ้าหน้าที่ต้องประกาศให้ผู้ต้องขังที่วิ่งอยู่นั้นช่วยไปหลบฝนก่อน” ขุนแผนเล่าพลางหัวเราะผมก็แบบเออเขาก็ยังใส่ใจอยู่นะ”


ในช่วงท้ายของการเยี่ยม ขุนแผนมอบกลอนที่เขาแต่งขึ้นเพื่อสื่อสารต่อไป เป็นอีกครั้งที่ได้ถ่ายทอดความคิดและกำลังใจผ่านคำประพันธ์ประกาศจุดยืนทางการเมืองและความเชื่อมั่นในอนาคต


เพียงขื่อคาขังไว้ให้ขื่นขม

เพียงแรงลมกรรโชกโบกโบยฝน

เพียงเกลียวคลื่นซัดใส่ให้จำนน

เพียงใจคนที่พร้อมย่อมไม่กลัว


เมื่อฟ้าหม่นคนหมองต่างมองหน้า

ใช่เพียงว่าเซทรุดจะมุดหัว

เมื่อลูกหลานเติบใหญ่ไม่หมองมัว

ต้องยืดตัวยืนตรงอย่าลงคลาน


เหล่าขุนศึกศักดินาทรราช

ปล้นอำนาจประชาน่าสงสาร

เข้าสมสู่รวมเสร็จเผด็จการ

เป็นทางผ่านผีป่ามาครองเมือง


เอาความกล้าเพียงกายเป็นหมายหมุด

สู้ให้สุดแรงล้าอย่าหมอบเชื่อง

หากสุดท้ายหมายมุ่งความรุ่งเรือง

ย่อมใช่เรื่องของใครไทยทุกคน


ต้องฟันฝ่ากาลียุคผ่านทุกข์เข็ญ

ถึงที่สุดลำเค็ญจะเห็นผล

จะหวังพึ่งเทวาฟ้าเบื้องบน

ฟ้าเองก็พิกลปนอัปรีย์


ก็เพียงกายขังไว้ใจมีปีก

จะหลบหลีกบินไปในวิถี

สู่ที่หมายปลายฟ้ายามราตรี

เพื่อวันรุ่งพรุ่งนี้ที่งดงาม


นอกจากขุนแผนแล้ว วันที่ 18 ก.ค. 2568 ยังครบเวลา 1 ปี ที่เงินตรา คำแสน หรือ “มานี” ถูกคุมขังด้วยคดีมาตรา 112 เช่นกัน จากกรณีทำกิจกรรมหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ปี 2565 ทั้งคู่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 6 เดือน และคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา


สำหรับ “เชน” สื่ออิสระ ที่ร่วมเผยแพร่ภาพสดกิจกรรมการชุมนุมของกลุ่มราษฎร เยาวชน นักศึกษา ตลอดจนกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองอื่น ๆ มาตั้งแต่ปี 2563 ผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก และช่องยูทูบ “ขุนแผน แสนสะท้าน” โดยก่อนที่จะถูกคุมขังด้วยคำพิพากษาครั้งนี้และไม่ได้รับการประกันตัว เชนและเพื่อนมวลชนได้ร่วมกันจัดกิจกรรม #ยืนหยุดขัง ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ในเวลาประมาณ 16.00 - 20.00 น. ของทุกวัน เพื่อเรียกร้องปล่อยผู้ต้องหาทางการเมือง รวมถึงส่งเสียงข้อเรียกร้องของบุ้ง เนติพร ก่อนเสียชีวิต คือ #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม


ทั้งนี้ขุนแผนหรือเชน ได้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯตั้งแต่วันศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2567 ในคดีมาตรา 112 และดูหมิ่นศาล โดยถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 3 ปี 6 เดือน จากการร่วมกิจกรรมเรียกร้องสิทธิประกันตัวสองนักกิจกรรมทะลุวังที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ และในเวลาต่อมาเขาถูกย้ายไปควบคุมตัวที่เรือนจำบางขวาง นนทบุรี


และทุกวันนี้กลุ่มเพื่อนขุนแผนและมวลชนยังจัดกิจกรรมยืนหยุดขัง อย่างต่อเนื่องทุกวันในช่วงเย็น เรียกร้องสิทธิประกันตัวประชาชน ปล่อยนักโทษการเมืองในทุกเย็น ทั้งหน้าศาลอาญารัชดา และหน้าเรือนจำคลองเปรม ด้วย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ขุนแผนแสนสะท้าน #มาตรา112 #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน #นิรโทษกรรมประชาชน