วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ยื่นญัตติด่วนหารือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐ ชง 5 ข้อ แนะ ‘รัฐบาล’ ทำงานเชิงรุก จี้รัฐเร่งเตรียมมาตรการรับมือผู้ได้รับผลกระทบ แนะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสจัดตำแหน่งไทยในระเบียบโลกใหม่ ยกระดับมาตรฐานไทยสู่อำนาจขนาดกลาง-สร้างบทบาทนำกลุ่มประเทศซีกโลกใต้

 


“ณัฐพงษ์” ยื่นญัตติด่วนหารือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐ ชง 5 ข้อ แนะ ‘รัฐบาล’ ทำงานเชิงรุก จี้รัฐเร่งเตรียมมาตรการรับมือผู้ได้รับผลกระทบ แนะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสจัดตำแหน่งไทยในระเบียบโลกใหม่ ยกระดับมาตรฐานไทยสู่อำนาจขนาดกลาง-สร้างบทบาทนำกลุ่มประเทศซีกโลกใต้


วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นญัตติด่วนด้วยวาจา กรณีการรับมือมาตรการด้านภาษีจากประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมอภิปรายเปิดญัตติชี้ให้เห็นข้อน่ากังวลของสถานการณ์และข้อเสนอในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว


โดยณัฐพงษ์ระบุว่าวันที่ 1 สิงหาคม 2568 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย จากตัวเลขภาษีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตั้งกำแพงกับสินค้าไทยไว้ที่ 36% คลื่นสีนามิที่แต่ก่อนดูห่างตัวมาก ดูเหมือนจะเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว


นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 เป็นต้นมา หลายประเทศทั่วโลกเดินหน้าเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาจนบรรลุผลสำเร็จ เวียดนามเป็นประเทศที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วที่สุด เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากมีการประกาศขึ้นภาษี 46% เวียดนามได้ส่งทีมเจรจาระดับสูงเข้าพบรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เสนอแผนเปิดตลาดสินค้าสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเวียดนามมีนโยบายการค้าที่ชัดเจนและทำงานเชิงรุกมากกว่าไทย 


ด้านอินโดนีเซียก็วางกลยุทธ์เจรจาแบบ Sector-based ตั้งแต่ต้น โดยไปพร้อมกับข้อเสนอข้างเคียง เช่น การปรับปรุงระบบกฎหมายภายใน สะท้อนให้เห็นว่าการเจรจานี้ไม่ใช่การเจรจาเรื่องตัวเลขอย่างเดียวเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นว่าการเจรจาครั้งนี้คือโอกาสในการสร้างระเบียบเศรษฐกิจใหม่ให้กับอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์เลือกใช้ความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานะพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทำให้เจรจาลดภาษีลงได้เป็น 19% ต่ำกว่าประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าในกลุ่มผู้ส่งออกที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของไทย หากอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประจำเดือนกรกฎาคม พบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบมาก ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เสี่ยงสูญเสียตลาดในสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบทางตรงที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น ยังมีหลายภาคส่วนที่รัฐบาลเอาไปแลกกับข้อตกลงภาษีในครั้งนี้ด้วย


ในส่วนของเกษตรกร ที่ผ่านมาเกษตรกรต้องสู้กับทั้งภัยแล้ง การถูกกดราคา การขาดสิทธิในที่ดินทำกิน ถูกรัฐฟ้องร้องขับไล่ ขาดปัจจัยในการผลิต ราคาปุ๋ยและราคาเครื่องจักรที่สูง ผู้ที่ทำปศุสัตว์ก็ต้องเผชิญโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง อาหารสัตว์ที่แพงขึ้น และราคาตลาดที่ผันผวนต่อเนื่องมาหลายปี ยิ่งเมื่อข้อตกลงที่รัฐบาลได้ทำไปแล้ว อาจกำลังจะบีบให้เกษตรกรไทยต้องแข่งขันกับเกษตรกรในต่างประเทศหนักขึ้น โดยที่เกษตรกรไทยมีความเสียเปรียบหลายด้าน ไม่ว่าจะในด้านขนาดแปลงที่ดิน ขนาดเงินทุน ระดับเทคโนโลยี รวมถึงมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่มากกว่าประเทศไทย คำถามคือข้อตกลงที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้น รัฐบาลจะเอาอะไร รายได้ของใคร ไปแลกกับสหรัฐอเมริกากลับมาบ้าง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าเมื่อมองลึกลงไปในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ตั้งแต่เกษตรกร คนขับรถบรรทุก ไปจนถึงผู้แปรรูปอาหารเพื่อส่งออก จะเห็นตัวเลขผู้ใช้แรงงานกว่า 4.9 ล้านคน ประเทศไทยมีความแข็งแรงที่กลางน้ำและปลายน้ำ มีโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่งที่ดี มีโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารที่เข้มแข็ง แต่ต้นน้ำในไร่นาของไทยยังอ่อนแอ เกษตรกรกินส่วนแบ่งมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานน้อยมากในขณะที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นทุกปี และยังอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงราคาผลผลิตที่ตกต่ำ


คำถามคือในขณะที่เกษตรกรไทยต้องต่อสู้เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ จึงต้องตั้งคำถามว่าเกษตรกรไทยจะได้รับผลกระทบอะไร และรัฐบาลหาทางออกอะไรให้เกษตรกรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด หรือหมู คุ้มหรือไม่ที่จะเอาความมั่นคงทางอาหารเหล่านี้ไปอยู่ในมือของประเทศมหาอำนาจอื่น


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าที่ต้องคุยเรื่องนี้กันในวันนี้ ก็เพราะประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากยอมให้ข้าวโพดราคาถูกจากต่างประเทศไหลทะลักเข้ามาเพื่อแลกกับอัตราภาษีที่ต่ำลง ประเทศไทยอาจได้อาหารราคาถูกแต่ก็อาจสูญเสียเกษตรกรไทยผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศไทยไปทั้งรุ่น หรือหากปล่อยให้มีการนำเข้าเนื้อหมูโดยไม่มีมาตรการที่เหมาะสม คนเลี้ยงสุกรรายย่อยอาจหายไปจากเศรษฐกิจชนบทของไทยได้


และในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยน ผู้บริโภคทั่วโลกต้องการอาหารที่ปลอดภัย หลายประเทศกำลังลงทุนในระบบอาหารที่ยั่งยืน ประเทศไทยวันนี้อาจไม่จำเป็นต้องแลกไปทุกอย่าง เพราะประเทศไทยเองมีโอกาสในการลงทุนและออกแบบระบบใหม่ทั้งระบบ เพื่อเปลี่ยนให้ไทยไม่ใช่เป็นแค่ครัวของโลก แต่เป็นครัวที่โลกต้องการด้วย ให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอาหารที่มีความปลอดภัย มีความยั่งยืน อยู่ในระบบห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรม เกษตรกรทุกรายได้รับส่วนแบ่งมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานใหม่อย่างเหมาะสม ซึ่งหากไทยไม่ทำตอนนี้ ปล่อยให้ประเทศอื่นทำไปก่อนจนกลายเป็นครัวของโลกใหม่แทนประเทศไทย วันหน้าไทยจะกลายเป็นเพียงผู้ที่ตามในห่วงโซ่อุปทานที่คนอื่นตัดสินใจแทยไปทั้งหมด


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าด้วยเหตุนี้ตนจึงเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานพูดคุยระหว่างภาครัฐและเอกชน นั่นคือภาคี “Farm-Feed-Food Fair Coalition” ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากเกษตรกรต้นน้ำ ผู้ประกอบการขนส่งกลางน้ำ และอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อส่งออกปลายน้ำ ที่มีพันธกิจร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบอาหารในประเทศให้แข่งขันได้และเป็นธรรมมากขึ้น ให้ไทยกลายเป็นครัวที่โลกต้องการจริง


รวมทั้งเปลี่ยนวิธีการใช้เงินงบประมาณจากที่เคยใช้งบประมาณเพื่อรักษาอดีต มาเป็นงบประมาณเพื่อสร้างอนาคต ด้วยการเปลี่ยนจากเงินอุดหนุนเกษตรกรแบบให้เปล่า ไปเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบมีเป้าหมาย เช่น การอุดหนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ๆ และเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมถึงการตั้งกองทุน Farm-Feed-Food Value Fund ซึ่งเป็นกองทุนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการลงทุนในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการทำให้ทุกคนได้รับส่วนแบ่งจากห่วงโซ่อุปทานใหม่นี้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น


และเพื่อให้การติดตามการทำงานต่อจากนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีความรอบคอบ และทุกคนเห็นภาพตรงกัน รัฐบาลควรต้องมีระบบรายงานสาธารณะ เพื่อเปิดเผยราคาข้าวโพด หมู ไก่ ผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ แบบรายสัปดาห์ อย่างน้อยเพื่อทำให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าระวังและเตือนภัยได้อย่างทันการณ์ เพื่อให้เกษตรกรไทยมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง และเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่านอกจากเกษตรกรแล้วยังมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิในครั้งนี้ มีแรงงานหลายภาคส่วนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศไทย แรงงานในนิคมอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง ถ้าเกิดการสูญเสียตลาดในสหรัฐอเมริกาอย่างฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก กระทบต่อโรงงาน กระทบต่อผู้ใช้แรงงานต่อไปเป็นทอด โดยเฉพาะแรงงานกลุ่มที่เป็นลูกจ้างรายวัน โดยเฉพาะแรงงานในธุรกิจ SMEs ก็มีความเปราะบางสูง เพราะไม่มีสายป่านที่ยาว และมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้นๆ


มาตรการที่รัฐบาลควรดำเนินการมานานแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการเสียที ก็คือการเดินหน้าไปหากลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าว่าในบรรดา 30,000 บริษัทไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา มี SMEs อยู่ถึง 4,990 บริษัท มีการจ้างงานรวมกันกว่า 5 แสนตำแหน่ง กลุ่มที่เปราะบางที่สุดคือกลุ่ม SMEs ขนาดเล็ก รัฐบาลมีมาตรการหรือนโยบายในการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานเหล่านี้อย่างไร


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าบริษัทจำนวนมากอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เกษตร โลหะ และสิ่งทอ โดยผู้ประกอบการจำนวนมากระบุว่าซอฟต์โลนไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม บางกลุ่มต้องการการช่วยพยุงการจ้างงาน บางกลุ่มต้องการการช่วยลดต้นทุน บางกลุ่มต้องการให้รัฐบาลช่วยหาตลาดใหม่ และบางกลุ่มมีชะตากรรมขึ้นกับบริษัทข้ามชาติที่กำลังจะย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม


อุตสาหกรรมไทยที่เก่งอย่างผู้ผลิตของเล่น เครื่องดินเผา เครื่องประดับ ที่ฝีมือคนไทยเก่งกว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศ อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ต้องฝ่าฟันมาทั้งคลื่นจีน คลื่นเวียดนาม คลื่นโควิด ที่ผ่านมาปากกัดตีนถีบช่วยเหลือตัวเองมาเยอะ รัฐบาลช่วยเหลือน้อย แต่วันนี้กำลังจะเจอคลื่นสึนามิอีกหนึ่งลูกที่ถาโถมเข้ามาในประเทศไทย เป็นคลื่นสงครามการค้าที่กำลังทำลายตลาดส่งออก จึงเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งหากรัฐบาลจะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้เพียงลำพัง และหากพวกเขาล้มจะส่งผลสะเทือนการจ้างงานหลายแสนครอบครัวทั่วประเทศ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ มมีศักยภาพในการสร้างอิทธิพลในหลายเรื่องในเวทีโลก เพราะประเทศไทยเป็นอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) ในด้านหนึ่งการที่ประเทศไทยถูกตั้งภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกาครั้งแรกสูงถึง 36% นั่นก็เพราะว่าประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเองมีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา มีความสามารถในการแข่งขันสูงในหลายภาคส่วน แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการทำงานการทูตและการต่างประเทศเชิงรุกมากกว่านี้


ตนจึงมีข้อเสนอในการทำงานเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ 5 ข้อ คือ


1) เปลี่ยนจากการวางตัวเป็นประเทศที่คอยทำตามกติกาที่คนอื่นเขียนให้ มาเป็นผู้ร่วมกำหนดกติกากับประเทศอื่นๆ ผ่านความร่วมมือในเวทีภูมิภาค เช่น ASEAN และ BIMSTEC


2) การทำตัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ที่ทำให้นักลงทุนที่อยากย้ายฐานจากจีนหรือกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐอเมริกาหันมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะทำแบบนี้ได้สิ่งที่หนีไม่พ้นคือขจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคเพื่อให้เกิดความสะดวกในการลงทุนในประเทศ


3) ความกล้าในการเปิดเวทีการเจรจากับประเทศมหาอำนาจอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกำหนดข้อตกลงให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้กินรวบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย หรือการนำไปสู่การร่วมลงทุนที่ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนในประเทศ


4) ยกระดับมาตรฐานประเทศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเร็วที่สุด เช่นการเข้าร่วมเป็นกลุ่มประเทศ OECD ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารจัดการเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น เปิดประตูในการร่วมมือกับอีกหลายประเทศในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น


5) ในฐานะประเทศอำนาจกลาง นอกจากการมองไปข้างบนที่กลุ่มประเทศ Global North แล้ว ต้องมองลงไปข้างๆ ไปในกลุ่มประเทศ Global South ด้วย กำหนดบทบาทตัวเองให้กลายมาเป็นผู้นำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยกันเอง โดยเ​ฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ASEAN


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าวิธีการเดินเกมทั้ง 5 ด้านนี้ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยลงมือทำได้ทันทีตั้งแต่วันนี้ในฐานะอำนาจขนาดกลาง สิ่งที่สำคัญคือไม่ว่าไทยจะเลือกเดินเกมอย่างไรก็ตาม ต้องใช้การทูตที่ยึดหลักการเพื่อให้ทุกการตัดสินใจต่อจากนี้ไม่สามารถถูกต่อว่าได้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าข้างมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่ง รัฐบาลต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ผ่านมาได้สื่อสารสิ่งต่างๆ เหล่านี้กับประชาชนอย่างชัดเจนและดีเพียงพอแล้วหรือยัง ว่าการเจรจากับสหรัฐอเมริกานั้นมีใครได้รับผลกระทบบ้าง และจะต้องเตรียมการรับมืออย่างไร


และเมื่อลงไปดูในงบประมาณในปี 2569 ก็พบว่าเป็นงบประมาณแบบ 3 ไม่มีในการรับมือกับภาษีสหรัฐอเมริกา คือ 1) ไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าแผนงานหรือโครงการใด จะรับมือหรือเยียวยาผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐอเมริกาเท่าไหร่บ้าง สิ่งที่เห็นคือการตั้งโครงการจ้างล้อบบี้ยิสต์ในสหรัฐอเมริการาว 100 ล้านบาท 2) ไม่มีการเชื่อมโยงโครงการของหน่วยงานต่างๆ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หรือตามอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบ และ 3) ไม่มีตัวชี้วัดหรือเป้าหมายใดในการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่อุปทานของประเทศนี้เลย เท่ากับว่างบประมาณปี 2569 สะท้อนภาพว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมรับมือปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและไม่มีการคาดการณ์ล่วงหน้า


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าด้วยเหตุนี้ตนจึงอยากส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาล โดยมีข้อเสนอระยะสั้นคือ 1) การตั้งกลุ่มภาคีที่ประกอบไปด้วยภาครัฐและภาคเอกชนในการติดตามสถานการณ์และผลกระทบในระยะยาวต่อเนื่อง 2) รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลการเจรจาอย่างโปร่งใสได้แล้ว ว่าไทยเอาอะไรไปเสนอ สหรัฐอเมริกาเรียกร้องอะไรและให้อะไรกับประเทศไทยกลับมาบ้าง 3) ประเมินผลกระทบเบื้องต้นอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล ว่ามีเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ใช้แรงงาน หรืออุตสาหกรรมภาคส่วนใดบ้าง ที่กำลังได้รับผลกระทบ และต้องประเมินผลกระทบแบบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้การออกแบบนโยบายต่อไปนี้สามารถเสริมความเข้มแข็งได้ทั้งอุตสาหกรรม 4) วางกรอบแผนเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น การใส่เงินเข้าไปในกองทุน FTA เพื่อรองรับการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบ และต้องเปลี่ยนกลไกของกองทุน FTA ใหม่ จากเดิมที่ทำเป็นรายโครงการ ให้เน้นเป็นรายห่วงโซ่อุปทานและต้องทำอย่างต่อเนื่องไปในอนาคต และ 5) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องควบคุมและกำกับมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด ระมัดระวังสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ที่อาจล้นทะลักเข้ามาในประเทศไทยด้วย


ส่วนข้อเสนอระยะกลาง ประกอบด้วย 1) การปรับตัวเข้ากับห่วงโซ่อุปทานใหม่ เตรียม Reskill/Upskill อย่างจริงจังให้พร้อมปรับตัว กำหนดเลือกเส้นทางการปรับตัวได้ด้วยตนเอง 2) การวางยุทธศาสตร์การเจรจาในอนาคต ประเทศไทยยังต้องใช้เวทีเจรจาในระดับพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็น ASEAN หรือ BIMSTEC และการเร่งรัดเข้าเป็นสมาชิก OECD เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยในระยะยาว ส่วนในระยะยาว ต้องมีการลงทุนให้ประเทศไทยมีเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าหากในวันพรุ่งนี้ประเทศไทยจะต้องพบฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด คือหากยังโดนภาษีที่อัตรา 36% ประเทศไทยอาจมีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจปีนี้เพียงแค่ 1.1% และจะต่ำลงเหลือ 0.4% ในปีหน้า การบริหารที่ดีต้องมีการประเมินฉากทัศน์ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนอยากได้ยินจากรัฐบาลในวันนี้ หากเกิดกรณีฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดขึ้น รัฐบาลมีมาตรการในการเยียวยาผลกระทบอย่างไร รวมถึงมีนโยบายอย่างไรในการทำให้ประเทศไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในเวทีโลก การวางตำแหน่งให้ไทยเป็นผู้นำ ASEAN และทำหน้าที่เป็นสะพานที่เชื่อมครึ่งหนึ่งของโลกเข้าด้วยกัน เป็นมุมมองที่ตนอยากให้รัฐบาลนำไปพิจารณาในวันนี้ เพราะจะกำหนดบทบาทและเวทีของไทยในเวทีการทูตระหว่างประเทศต่อนี้ไปในอนาคต


ประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ ตั้งอยู่ในจุดตัดตรงกลางระหว่างสองมหาอำนาจจีนและอินเดียพอดี อยู่จุดตัดตรงกลางระหว่างกลุ่ม ASEAN+3 และ BIMSTEC ที่มีประชากรโลกอาศัยอยู่ครึ่งหนึ่ง และประชากรโลกครึ่งหนี่งนี้กระจุกตัวอยู่บน 12% ของผืนดินโลก มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็นราว 31% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ซึ่งช่องว่างระหว่างประชากรราว 50% กับขนาดเศรษฐกิจราว 30% คือช่องว่างแห่งโอกาสที่รอการพัฒนา ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อหัว เพิ่มรายได้ต่อประชากรในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ที่มีประเทศไทยเป็นจุดตรงกลาง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าและหากไทยสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างดี ทั้งด้านเศรษฐกิจ คมนาคม พลังงาน และเทคโนโลยีสีเขียว นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนอนาคตของภูมิภาคนี้ ที่ไม่ได้มองแค่เรื่องของถนนและทางรถไฟ แต่มองถึงการเชื่อมโยงอนาคตของลูกหลายและผู้คนในระเบียบโลกใหม่ในอนาคต ที่ตั้งของอาเซียนในวันนี้จึงเป็นจุดสมดุลให้กับสองประเทศมหาอำนาจ ระหว่างจีนและอินเดีย เสถียรภาพในอาเซียนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องถือบทบาทนำในการกำหนดยุทธศาสตร์นี้ เพื่อเชื่อมโลกครึ่งใบนี้เข้าด้วยกัน ประเทศไทยต้องยึดหลักการทางการทูตให้มั่นคงและงานเชิงรุกไปพร้อมกัน เพื่อทำให้คลื่นสงครามการค้านี้ ประเทศไทยยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ภาษีทรัมป์

“รังสิมันต์” ชี้ รัฐเชิญทูตไปดูจุดปะทะ 1 ส.ค.ช้าไป บอกเหมือนไปแก้ตัว เหตุไปทีหลังกัมพูชา ทำเสียโอกาสเห็นภาพจริง ทั้งผู้อพยพและความเสียหาย ซัด รัฐบาลตัวปัญหาหมดความชอบธรรมอ่อนบริหาร แนะ รมว.กต. เคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เครมว่าอยู่นิวยอร์กก่อนเขมรแต่ไม่มีผลงาน

 


รังสิมันต์” ชี้ รัฐเชิญทูตไปดูจุดปะทะ 1 ส.ค.ช้าไป บอกเหมือนไปแก้ตัว เหตุไปทีหลังกัมพูชา ทำเสียโอกาสเห็นภาพจริง ทั้งผู้อพยพและความเสียหาย ซัด รัฐบาลตัวปัญหาหมดความชอบธรรมอ่อนบริหาร แนะ รมว.กต. เคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เครมว่าอยู่นิวยอร์กก่อนเขมรแต่ไม่มีผลงาน


วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมาธิการวันนี้ว่า เป็นการติดตามเรื่องปัญหาชายแดนไทย -กัมพูชา ซึ่งมีหลายมิติ ตอนนี้เรื่องการหยุดยิงน่าจะเป็นผลแล้ว แต่ก็ต้องสิ่งสำคัญก็ต้องคิดถึงโจทย์ระหว่างประเทศเพราะพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นห่วง ซึ่งในเรื่องการต่อสู้การยุทธวิธีทางการทหารไม่มีใครห่วงแต่เมื่อพูดถึงแนวทางที่จะรับมือ กับวิธีการต่าง ๆ ที่กัมพูชาได้มีการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้ช่วยทูตทหาร สื่อต่างชาติ ไปลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ตรงกันข้ามประเทศไทย กลับจะพาไปลงพื้นที่ในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งหลายฝ่ายเป็นห่วงตรงกันว่าจะช้าไปหรือไม่


นายรังสิมันต์ ยังยกตัวอย่างว่า ถ้ารัฐบาลพาสื่อต่างชาติและทูตประเทศต่าง ๆ ไปลงพื้นที่ตามแนวชายแดนวันนี้หรือก่อนหน้านี้ ตนคิดว่าทุกคนจะได้เห็นบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นการอพยพ และได้พูดคุยกับประชาชนจำนวนมากว่ารู้สึกอย่างไร โดยผ่านล่ามไปแปลภาษาด้วย เพื่อเห็นภาพจริง แต่เมื่อจะไปวันที่ 1 ส.ค. ตนเชื่อว่าประชาชนที่เป็นห่วงบ้านของตนเอง ห่วงวัว ห่วงควาย และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เขาก็พยายามทยอยกลับบ้าน ดังนั้น ภาพที่จะลงไปเห็นก็ต้องยอมรับว่า ความล่าช้าของเราทำให้เสียโอกาส ในการที่จะทำให้ต่างชาติได้เห็นภาพว่าการกระทำของกัมพูชา มีเป้าหมายโจมตีพลเรือนชัดเจน ดังนั้น นี่คือความเสียหายของความล่าช้าของรัฐบาล ซึ่งในที่ประชุม กมธ. จะมีการพูดคุยกันเพื่อสอบถามถึงแนวทางของรัฐบาล ว่าจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรต่อวิธีการของกัมพูชา ที่ดำเนินการระหว่างประเทศในทุกรูปแบบทุกขั้นตอน แม้กระทั่งประธานสภาของกัมพูชาก็มีการไปพูดในเวทีสำคัญ ตนคิดว่านี่คือสิ่งที่เราไม่ได้มีการเตรียมการ หรือดำเนินการระหว่างประเทศยังดีไม่พอ


ส่วนที่กัมพูชาสื่อสารบิดเบือนความจริงนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การที่เรารบกับกัมพูชาตามแนวชายแดนที่มีการปะทะกัน เป็นสิ่งที่ไม่มีชาติอื่นมารู้ด้วยว่ากัมพูชาเป็นอย่างไร เขาไม่ได้มาฟังหรือเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ ดังนั้น การที่เราจะมีความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น การถ่ายทอดเรื่องราวข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยที่เราไม่ได้บิดเบือนเนื้อหาหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่เรากำลังทำคือต้องการให้ประชาคมโลกได้เห็นในสิ่งที่กัมพูชาทำ มีลักษณะอย่างไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ากัมพูชา จะดำเนินการในลักษณะที่พูดง่ายๆว่า ทำตัวเองเป็นเหยื่อ และเมื่อเป็นแบบนี้ เราเองจึงไม่สามารถที่จะปล่อยให้กัมพูชา เล่าเรื่องของเขาเพียงลำพัง เราจึงต้องพยายามทำอย่างรวดเร็วแต่ปัญหาคือ เมื่อกัมพูชาชิงเล่าก่อนฝ่ายที่ออกมาพูดทีหลังก็อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่า เป็นแค่การแก้ตัว


"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับว่าค่อนข้างเสียหาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสถานทูตทั่วโลกตั้งอยู่ในประเทศไทยมากกว่ากัมพูชา ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ มานาน แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาล ปี 2557 เป็นต้นมา บทบาทไทยในเวทีโลกลดลงเรื่อยๆ วันนี้เห็นผลชัดเจนว่า เผชิญเราต้องเผชิญหน้ากับประเทศที่เล็กกว่าอย่างกัมพูชา กลายเป็นว่าประเทศไทยเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้านการสู้รบทางการทหารตนเชื่อว่าเราสู้ได้ แต่การสู้รบทางการต่างประเทศเราต้องเร่งสปีดให้มากกว่านี้" นายรังสิมันต์ กล่าว


ส่วนเรื่องการสื่อสารของรัฐบาลที่มีความล่าช้านั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในที่ประชุม กมธ.ก็จะมีการพูดคุยในเรื่องนี้ด้วย เพราะเราอยากเห็นการสื่อสารของรัฐบาลที่เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เร็วเฉพาะคนไทย แต่ต้องเร็วกับเวทีโลกด้วยซึ่งเราต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ยังขาดตกบกพร่อง จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ทั้งที่เรามีเหตุการณ์หลายอย่างที่สามารถใช้โอกาสที่จะทำให้เวทีโลกได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการวางกับดักระเบิด การโจมตีเป้าหมายพลเรือน หรือแม้กระทั่งหลักฐานการปะทะกัน ที่เรามีข้อมูลและหลักฐานว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่ได้เอาไปสิ่งเหล่านี้เราไม่ได้เอาไปใช้สุดท้าย ประชาคมโลกเขาก็คิดว่า เราไปโจมตีกัมพูชาก่อน


"ส่วนหนึ่งเขาคิดว่าประเทศไทยใหญ่กว่าจึงคิดว่าเราไปโจมตีกัมพูชา ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราพูดกันมาตั้งแต่แรก ๆก่อนที่จะมีการปะทะกัน แต่น่าเสียดายที่การขยับเขยื้อนในการรับมือ แทบจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง" นายรังสิมันต์ กล่าว


นายรังสิมันต์ ยังกล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่ต้องพูดคุยคือเรื่องคอลเซ็นเตอร์ เพราะวันนี้ เราต้องพยายามเปิดแนวรบใหม่ ๆ ไม่ใช่แนวรบเฉพาะการสู้รบเท่านั้น แต่เราต้องคิดว่าเรื่อง คอลเซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในเรื่องที่เราสามารถ หยิบเอามาทำให้เป็นผลงานของประเทศไทยได้และ เป็นผลดีต่อประชาคมโลกโดยเราต้องทำให้ประชาคมโลกเห็นว่ากัมพูชามีรายได้หลักมาจาก แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลเสียต่อโลก เราจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ซึ่งจะส่งผลต่อหม้อข้าวของแกนนำหรือผู้ที่มีอำนาจของกัมพูชาด้วย แม้กระทั่งกรณีที่มีการสังหารนักการเมืองกัมพูชาในประเทศไทย เป็นกรณีที่เราสามารถหยิบ มาใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลพูดเรื่องนี้น้อยมาก


ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีรัฐบาลที่อ่อนแอหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลอย่างหนึ่งที่มีนัยยะสำคัญเรื่อง ของความชอบธรรมต้องยอมรับว่าสังคมไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพรรคประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาและคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลที่มีความชอบธรรมต่อไป เพราะความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลจึงมีคำถามออกมามากมาย แม้กระทั่งกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัยรักษาการนายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับนายกกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย ก็มีคำถามจากคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ไว้ใจในเรื่องของ การเจรจาดังกล่าวซึ่ง ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องยอมรับว่าคนที่ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นคือรัฐบาลเอง


เมื่อถามถึงกรณีที่ว่าที่เอกอัครราชทูตของสหรัฐประจำประเทศไทย กล่าวถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ว่าสู้รบกันไปก็ไม่มีประโยชน์ และอาจจะทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐได้ ซึ่งคำพูดนี้จะทำให้ ไทยมีปัญหาในเวทีโลกหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ต้องยอมรับและเชื่อว่าคำพูดนี้คงจะ เสียดแทง ความรู้สึกของคนไทยแน่นอน และต้องยอมรับว่าข้อเท็จจริงที่เราเห็นและข้อเท็จจริงที่นานาชาติเห็นต้องช่วยกันกระตุ้นให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่ในการสื่อสารกับทั่วโลกให้ดีกว่านี้ เราปล่อยให้แนวความคิดแบบนี้เกิดขึ้น แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยแน่นอน ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับโลกให้มากขึ้น เพราะถ้าทั่วโลกคิดกันแบบนี้ ประเทศไทยเราเสียหาย ดังนั้น เราจะทำงานล่าช้าแบบเช้าชามเย็นชามไม่ได้แล้ว และคิดว่าเรื่องนี้นายมาริษเสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เคลื่อนไหวล่าช้ามาก ที่ผ่านมามีการเคลมว่าไปถึงนิวยอร์ก ที่สหรัฐอเมริกาแล้วแต่ ก็ไม่ได้เห็นว่าผลลัพธ์จะเป็นรูปธรรม ในการสื่อสารหรือทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย หรือความเข้าใจในเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชา ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นอย่างไร


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการความมั่นคง #พรรคประชาชน #ชายแดนไทยกัมพูชา

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชน ชง 5 ข้อเสนอ ให้รัฐบาลดำเนินนโยบายการทูตและการข่าวเชิงรุก หลังจากกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

 


พรรคประชาชน ชง 5 ข้อเสนอ ให้รัฐบาลดำเนินนโยบายการทูตและการข่าวเชิงรุก หลังจากกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง


วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 พรรคประชาชน (ปชน.) จัดทำข้อเสนอการดำเนินการทางการทูตและการข่าวเชิงรุก จากพรรคประชาชนถึงรัฐบาล โดยมีเนื้อหาระบุว่า 


หลังจากไทยและกัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และพบว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยนอกจากรัฐบาลกัมพูชาจะยืนกรานว่าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ยังได้พานักการทูต รวมถึงผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชน เดินทางไปสำรวจพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา


คณะทูตที่เดินทางไป ประกอบด้วยประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติถึง 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ ได้แก่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ลาว เวียดนาม และเมียนมา


แม้ว่ากระทรวงกลาโหมไทยจะระบุว่า มีการเตรียมพาคณะทูตไปตรวจเยี่ยม เพื่อสำรวจความเสียหายที่กัมพูชาทำต่อ 4 จังหวัดชายแดนของไทย อย่างไรก็ดี การที่ไทยปล่อยให้กัมพูชาดำเนินการทางการทูตนำหน้าไปก่อนย่อมสร้างความเสียหายมหาศาลต่อไทยในเวทีโลก เพื่อหลีกเลี่ยงข้อวิจารณ์ว่าได้ทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทั้งยังสามารถนำผู้แทนต่างชาติไปสังเกตการณ์เฉพาะในพื้นที่ที่ตนเองกำหนดไว้ เสี่ยงที่จะทำให้ไทยถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและอาจลดความชอบธรรมของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก


พรรคประชาชนยืนยันว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ในรอบนี้ รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินหน้าทั้งในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศเชิงรุก ไม่ควรเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น เนื่องจาก สมรภูมิที่จะเป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะหลังจากมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง คือสมรภูมิการทูตและการข่าว ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ฉับไว ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน


พรรคประชาชนจึงขอเสนอแนวทาง “การต่างประเทศเชิงรุก” ไปยังรัฐบาลไทย ดังนี้  


1. รัฐบาลไทยต้องไม่ลังเลที่จะให้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เข้ามาเป็นคนกลางในการดูแลกระบวนการหยุดยิง โดยไทย กัมพูชา และมาเลเซียควรเร่งจัดทำแนวทางและกำหนดรายละเอียดการทำงานของทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสกับทุกฝ่าย ไทยยังสามารถแสดงบทบาทนำโดยเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบกลไกคณะผู้สังเกตการณ์หยุดยิง ว่าควรประกอบด้วยชาติใดบ้าง จำนวนกี่คน และมีกรอบระยะเวลาปฏิบัติงานกี่วัน แล้วเสนอให้กัมพูชาและมาเลเซียพิจารณา เพื่อแสดงเจตจำนงในการใช้กระบวนการที่เป็นสากลและสันติในการคลี่คลายความขัดแย้ง รวมถึงแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งต่อสถานะของไทยในเวทีโลก


2. รัฐบาลไทยต้องสื่อสารกับประชาคมระหว่างประเทศในเชิงรุก ยืนยันการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา พร้อมหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เพียงการตอบโต้การกล่าวหาของกัมพูชา โดยพิจารณาทุกช่องทาง ทั้งกลไก UN และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ รวมถึงกลไกระดับทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค 


3. รัฐบาลไทยควรเปิดประเด็นอื่นๆ ต่อประชาคมโลก นอกเหนือจากการปะทะที่ชายแดน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำกัมพูชา เช่น การที่กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากที่ทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินจำนวนมากทั่วโลก ตลอดจนการลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านในไทย ซึ่งสื่อต่างชาติได้รายงานและเปิดเผยคลิปเสียงการสั่งการไล่ล่าสังหารฝ่ายค้านของฮุน เซน 


4. รัฐบาลไทยต้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อสื่อสารกับสื่อต่างประเทศโดยเฉพาะ โดยอาจประกอบด้วยตัวแทนทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่เพียงการแถลงหรือส่งข่าวรายวัน แต่ต้องส่งตัวแทนไปให้สัมภาษณ์ วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ หรือดีเบทกับตัวแทนของฝั่งกัมพูชา


5. รัฐบาลไทยต้องมีเอกภาพในการสื่อสาร ควรระบุให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้พูดหลัก และให้ข่าวที่จุดเดียว ครบถ้วน รอบด้าน และทันสถานการณ์ การให้ข่าวจากหลายทางจะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน 


พรรคประชาชนขอยืนยันว่า สถานการณ์ ณ วันนี้ เราจำเป็นต้องทำงานการทูตและการข่าวเชิงรุก อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ คืนความปกติสุขสู่พี่น้องประชาชนชาวไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #พรรคประชาชน

9 ก.ย.นี้ ศาลนัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 “ทนายวิญญัติ” ชี้ “วิษณุ” ให้การศาลเพิ่มความสมบูรณ์ในหลายส่วน พร้อมรอฟังคำพิพากษา ไม่ขอวิจารณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น

 




9 ก.ย.นี้ ศาลนัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14  ทนายวิญญัติ” ชี้ “วิษณุ” ให้การศาลเพิ่มความสมบูรณ์ในหลายส่วน พร้อมรอฟังคำพิพากษา ไม่ขอวิจารณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น 


วันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนว่า ในวันนี้เป็นการไต่สวนที่ทำให้มีความสมบูรณ์ในหลายส่วนมากขึ้น จากการไต่สวนช่วงแรกที่เป็นหน่วยงานราชการและแพทยสภา ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องที่ตัวแทนจากแพทยสภาไม่ใช่ผู้ที่ทำการรักษาตัวนายทักษิณโดยตรง ดุลยพินิจต่าง ๆ จึงเป็นไปตามข้อบังคับของแพทย์อยู่แล้ว ซึ่งในวันนี้การที่ศาลออกหมายเรียก นายวิษณุ เครืองาม เข้ามาไต่สวน จึงได้ความชัดเจนถึงกระบวนการเตรียมการหลังจากการกลับมาจากต่างประเทศของนายทักษิณ เนื่องจากเป็นบุคคลสำคัญซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


นายวิญญัติ กล่าวว่า ทั้งนี้นายวิษณุก็ยังยืนยันว่าไม่มีการเตรียมการที่จะส่งตัวนายทักษิณออกไปรักษาภายนอกอยู่แล้ว  แต่การที่ส่งตัวออกไปเป็นเรื่องกระทันหันจึงต้องส่งตัวออกไปรักษายังโรงพยาภายนอก แม้นายทักษิณจะเลือกรักษายังโรงพยาบาลเอกชน แต่ก็ไม่สามารถทำได้


เมื่อถามว่าการไต่สวนพยานของจำเลยมีทั้งหมดกี่ปา นายวิญญัติ กล่าวว่า ในตอนแรกตนและทีมทนายความได้เตรียมพยานไว้ทั้งหมดหลายปาก แต่ก็คัดจนเหลือ 3 ปาก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นพยานที่ศาลต้องออกหมายเรียกแล้ว คืออดีตแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจคนปัจจุบัน จึงเหลือพยานแค่ 1 ปากคือนายวิษณุที่เข้ามาเบิกความในวันนี้


เมื่อถามว่าการนำนายวิษณุเข้ามาเบิกความในวันนี้จะทำให้คดีมีผลดีขึ้นหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่มีความเห็น เพราะไม่อยากไปก้าวล่วงดุลยพินิจของศาล


เมื่อถามวาการออกหมายเรียกผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้ามาฟังคำสั่งวันที่ 9 ก.ย. มีนัยยะอะไรสำคัญหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ไม่มีนัยยะสำคัญอะไรแน่นอน เพราะเป็นเรื่องกระบวนการไต่สวนบังคับโทษอยู่แล้ว คือกรมราชทัณฑ์ ซึ่งผู้บัญชาการเรือนจำเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ ศาลจึงออกหมายเรียกเพื่อให้เข้ามาฟังคำสั่งศาล


เมื่อถามว่าคดีนี้จะมีปรากฎการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบ้าง นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตุว่า การไต่สวนการบังคับโทษแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมจะต้องจับตามองการฟังคำสั่ง และตนมองว่าต้องมาดูกันอีกครั้ง และตนและทีมทนายความก็ได้ยื่นหลักฐานความจริงไปต่อศาลทั้งหมดแล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14

“วันนอร์” แถลงประณาม “ปธ.สภากัมพูชา” บิดเบือนข้อมูล กล่าวหาไทยผิดข้อตกลงโจมตีพลเรือน - ใช้อาวุธเคมี ในเวทีเจนีวา ระบุ เสียใจ-ผิดหวัง พร้อมส่งถ้อยแถลงไปยัง“ปธ.IPU” ลั่นเขาเอาสิ่งที่เขาทำกับเรา มากล่าวหาว่าเราทำกับเขา

 


วันนอร์” แถลงประณาม “ปธ.สภากัมพูชา” บิดเบือนข้อมูล กล่าวหาไทยผิดข้อตกลงโจมตีพลเรือน - ใช้อาวุธเคมี ในเวทีเจนีวา ระบุ เสียใจ-ผิดหวัง พร้อมส่งถ้อยแถลงไปยัง“ปธ.IPU” ลั่นเขาเอาสิ่งที่เขาทำกับเรา มากล่าวหาว่าเราทำกับเขา


วันนี้ 30 กรกฎาคม 2568 ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถ้อยแถลงโดยประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรไทย ในฐานะประธานหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา (IPU) ว่า รู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ได้รับทราบว่าในระหว่างการประชุมระดับสูงของสหภาพรัฐสภา ณ นครเจนีวา ในสัปดาห์นี้ ประเทศไทยได้ถูกกล่าวหาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา โดยปราศจากมูลความจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนเมื่อเร็ว ๆ นี้


รัฐสภาไทยขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิง และขอประณามอย่างรุนแรงต่อถ้อยแถลงอันเป็นเท็จ และไม่มีมูลความจริงดังกล่าว ซึ่งปราศจากความถูกต้อง ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงตามที่กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา รัฐบาลไทยได้ฟ้องไปยังประธานอาเซียน ผู้นำสหรัฐอเมริกา และผู้นำจีนแล้ว


รัฐสภาไทยขอเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชาหยุดการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิด และซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง เพื่อประโยชน์ฝ่ายเดียว ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และการคุ้มครองชีวิตพลเรือน และข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด


ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณประธานอาเซียนและประเทศต่างๆ อันเป็นพันธมิตรของเราเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนข้อตกลงเจราหยุดยิง เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด แต่จนบัดนี้ กัมพูชายังไม่ยุติการยิงอันเป็นการละเมิดข้อตกลง เราขอเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมถึงเรียกร้องให้ประธาเซียนจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและร่วมหาแนวทางให้การหยุดยิงได้ ผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง


ท้ายที่สุดนี้ รัฐสภาไทยขอยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามหลักนิติธรรมความถูกต้องของข้อเท็จจริง สร้างสันติภาพตามข้อตกลงทุกประการ และพร้อมที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาคมระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน โดยรัฐสภาจะนำแถลงการณ์นี้ ส่งยังประธานสหภาพรัฐสภา เพื่อนำเสนอไปยังประเทศสมาชิกทั้งหลายให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงต่อไป


นายวันมูหะมัดนอร์ ยืนยันว่า สิ่งที่แถลงนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจากทุกฝ่าย โดยในวันที่ 29 กรกฎาคม - 1 สิงหาคมนี้ ยังคงเป็นการประชุมของสหภาพรัฐสภา ซึ่งจะคำแถลงภายในวันนี้ทันที


เมื่อถามถึงข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชา นายวันมูหะมัดนอร์ ระบุว่า เขากล่าวหาว่าฝ่ายไทย โดยทหารไทยได้ละเมิดข้อตกลง และมีปฏิบัติการยิงเข้าไปยังเป้าหมายที่เป็นประชาชน และทำให้ประชาชนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต รวมทั้งโรงพยาบาล และเด็กด้วย ทั้งยังมีการระบุอีกว่า ได้มีการใช้วัตถุเคมีในการโจมตี ซึ่งข้อเท็จจริงที่เขากล่าวมาทั้งหมดเป็นความเท็จ เขาเอาสิ่งที่เขากำลังทำต่อเรา มากล่าวหาว่าเรากระทำต่อเขา รวมถึงเขาได้ขอให้ประธานอาเซียนเข้ามาตรวจสอบด้วย


เมื่อถามถึงท่าทีของที่ประชุมว่า มีการโน้มเอียงไปกับข้อมูลของฝ่ายกัมพูชาหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า เราไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แต่คำแถลงของเขาระบุเช่นนี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา

“กองทัพบก” แถลงการณ์ “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง


“กองทัพบก” แถลงการณ์ “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง


วันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) เพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army เผยแพร่ แถลงการณ์กองทัพบก เรื่อง การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยกองทัพกัมพูชา ความว่า


ตามที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการประกาศหยุดยิง เพื่อยุติการปะทะทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นั้น


กองทัพบกขอยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยได้ระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบ และลดกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งสันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างทั้งสองประเทศ


อย่างไรก็ตาม กองทัพบกได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่า ในวันที่ 29 ถึง 30 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1. พื้นที่ช่องคานม้า จังหวัดศรีสะเกษ

ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.30 นาฬิกา กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 นาฬิกา จึงยุติ


2. พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ

ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 นาฬิกา กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามหลักสากลในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้า วันที่ 30 กรกฎาคม 2568


3. พื้นที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 05.17 นาฬิกา ตรวจพบการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน


การกระทำของกองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง นับเป็นครั้งที่สองภายหลังจากที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ และสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นการบ่อนทำลายความพยายามในการคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความไว้วางใจที่ควรมีระหว่างสองประเทศ


กองทัพบกขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบของกองทัพกัมพูชาอย่างถึงที่สุด และขอแจ้งให้ทราบว่า ฝ่ายไทยจะยังคงดำรงตนอยู่บนหลักแห่งความอดกลั้น สันติภาพ และมนุษยธรรมอย่างสูงสุด อย่างไรก็ดี หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


กองทัพบก วันที่ 30 กรกฎาคม 2568


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #TruthFromThailand #ข้อตกลงหยุดยิง

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

‘รัฐบาล’ ออกแถลงการณ์ ประณามกัมพูชาหลังไม่หยุดยิง ละเมิดข้อตกลง พร้อมยื่นหนังสือประท้วงไปยัง “ประธานอาเซียน-สหรัฐ-จีน” ระบุกัมพูชา ไม่ซื่อตรง ไม่จริงใจ ขอประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวง สร้างความแตกแยกภายในประเทศ


รัฐบาล’ ออกแถลงการณ์ ประณามกัมพูชาหลังไม่หยุดยิง ละเมิดข้อตกลง พร้อมยื่นหนังสือประท้วงไปยัง “ประธานอาเซียน-สหรัฐ-จีน” ระบุกัมพูชา ไม่ซื่อตรง ไม่จริงใจ ขอประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวง สร้างความแตกแยกภายในประเทศ


แถลงการณ์รัฐบาลไทย กรณี ‘กองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง’


รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด การเจรจาจนมีข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลกที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน


แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่า การละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรง และไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน


สถานการณ์ในขณะนี้ รัฐบาลมอบหมายให้ทุกเหล่าทัพ ตรึงกำลังเพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ยินยอมให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำ ไม่ว่ากรณีใด ๆ


อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงสายวันนี้ ได้มีการพูดคุยกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหารือแนวทางในการคลี่คลายปัญหา ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาในระดับสูงขึ้นต่อไป ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อยุติความรุนแรง ไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้น ทั้งพลเรือน และกำลังทหาร เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามหลักสากล ยึดหลักมนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนอย่างจริงใจของรัฐบาลไทย จะปรากฏชัดต่อนานาประเทศ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในขั้นตอนต่างๆ หลังการหยุดยิงบรรลุผลต่อไป


ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์จากช่องทางที่เป็นทางการ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการอพยพกลับภูมิลำเนา ขอให้รอผลการยืนยันจากรัฐบาลต่อไป โดยรัฐบาลขอเน้นย้ำว่าได้ให้หน่วยงานในพื้นที่ อำนวยความสะดวกของพี่น้องประชาชนในศูนย์อพยพอย่างเต็มที่


รัฐบาลขอสดุดีวีรกรรมของทหารกล้าที่อุทิศชีวิต และเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย


สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวง หรือเกมการเมืองของกัมพูชา เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศจากฝ่ายตรงข้าม ทีมประเทศไทยขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน


วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“อ.ธิดา” วิเคราะห์ หลังการเจรจา “ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา”


“อ.ธิดา” วิเคราะห์ หลังการเจรจา “ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา”


วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้วิเคราะห์หลังการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างคณะผู้แทนไทย (ทีมไทยแลนด์) นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี กับกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรี ฮุนมาเนต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวานนี้ (28 ก.ค. 68) โดยระบุว่า


ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ภายใต้การนำของ “ตระกูลฮุน” และยุทธวิธี คือ


1) ต้องการสถาปนาอำนาจการนำเพื่อปกครองกัมพูชาได้อย่างมั่นคงและยืนยาวโดย “ตระกูลฮุน” ของ ฮุนเซน สามารถสืบทอดการนำได้ตลอดไปชั่วกาลนาน และมีฮุนเซนอยู่ในฐานะวีรบุรุษของชาติ


2) บัดนี้การสร้างเกียรติภูมิให้แก่ “ฮุน มาเนต” ประสบความสำเร็จในเวทีโลกที่เปิดเกมรุก และการเจรจากับผู้นำประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน, ฝรั่งเศส (เจ้าอาณานิคมเดิม) เพื่อให้ไทยยุติการสู้รบในรูปแบบ เพราะถ้าเปิดเกมยาวเขาจะเสียเปรียบ ในขณะเดียวกันเชิงเปรียบเทียบ ทำการลดเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีไทย “แพทองธาร” ของ ตระกูลชินวัตร”


3) การพยายามยึดพื้นที่เพื่อให้ปราสาท 3 ปราสาท และปราสาทพระวิหาร เข้าสู่เวทีศาลระหว่างประเทศจะไม่หยุดยั้ง แม้จะประกาศว่าจะพูดคุยทวิภาคีก็ตาม การดำเนินงานเพื่อนำคดีสู่ศาลโลกก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งยังต้องใช้เวลา และสถานการณ์ที่อำนวยให้ จึงรุกไปที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ  (UNSC) ให้สนับสนุน เพื่อลากไทยเข้าสู่ศาลโลกถ้าไม่มีผู้ยับยั้งจากสมาชิกถาวร 5 ประเทศ ได้แก่ จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (เลยได้แต่ถ่ายรูปซองกระดาษหน้าศาลโลกไปก่อน)


4) การประกาศหยุดยิงตามระเบียบแบบแผน ไม่ได้แปลว่าจะยุติการสู้รบจริง ต่อให้ยุติการรบแบบแบบแผน ก็ยังจะใช้ การรบแบบกองโจรและการรังควานเพื่อเข้ายึดพื้นที่ แม้แต่การใช้กองกำลังทหารบ้าน ก็อาจเกิดขึ้น


5) แนวรบด้านการสื่อสารต่อสังคม ทั้งประชาชนของตนและสังคมโลก ทางกัมพูชาจะทำเต็มที่ แม้จะเป็นเรื่องไม่จริงและใช้ Hate speech เพื่อปลุกระดมความเกลียดชังระหว่างประชาชนสองประเทศและสังคมโลก มองว่าไทยเป็นผู้รุกรานและเป็นประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก


6) ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปจึงต้องระวัง 2 แนวรบนี้ ทั้งด้านการทหารและการสื่อสารต่อสังคมโลก ต้องอยู่ในฐานะฝ่ายรุกด้วยความจริง, การฟ้องความเท็จและการละเมิดกติกาข้อตกลง การสื่อสารของรัฐไทยและงานด้านต่างประเทศ ควรปรับปรุงให้เข้มแข็ง, รวดเร็ว และมีข้อมูลความจริง ต้องส่งต่อสังคมรวดเร็วกว่าก่อนนี้ (ที่อยู่ในฐานะฝ่ายรับและแก้เกมกัมพูชา)


อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงในสถานการณ์นี้ก็ถือเป็นเรื่องดี และสังคมของประชาชนทั้งสองประเทศก็ไม่ควรรุกชี้นำให้เกลียดชังกัน เพราะประชาชนในดินแดนแถบนี้ล้วนมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ และถูกแบ่งแยกโดยผู้ปกครองแต่ละยุคสมัย มีผู้อพยพและเชลยทาสตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคจักรวรรดินิยมเรืองอำนาจ ก็จัดการอาณานิคมด้วยแผนที่และการแบ่งเขตประเทศอย่างไม่รับผิดชอบ ***กัมพูชาผ่านการสู้รบที่โหดเหี้ยม แม้แต่กับคนในประเทศเดียวกัน***


นี่คือการแย่งอำนาจในฐานะผู้ปกครอง เพื่อเป็นผู้ปกครองที่มั่นคงตลอดกาล


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TruthFromThailand #ชายแดนไทยกัมพูชา

ปชน. แถลงเปิดฤดูกาลงบ กทม. ปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง กทม. ย้ำจุดยืนดึงคนนอกร่วมพิจารณา-ไลฟ์สดการประชุม-ตรวจเข้มเอกสารเบิกจ่ายงบกลาง พร้อมชวนประชาชนร่วมงาน Hackathon งบ 69


ปชน. แถลงเปิดฤดูกาลงบ กทม. ปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง กทม. ย้ำจุดยืนดึงคนนอกร่วมพิจารณา-ไลฟ์สดการประชุม-ตรวจเข้มเอกสารเบิกจ่ายงบกลาง พร้อมชวนประชาชนร่วมงาน Hackathon งบ 69


วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่รัฐสภา ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ (บางขุนเทียน บางบอน) ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน พร้อมด้วย ส.ก. พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวเปิดฤดูกาลงบ กทม. งบสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง กทม.


ณัฐชากล่าวว่า เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณของทุกปีที่ช่วงเดือนกรกฎาคมจะมีการพิจารณางบประมาณ โดยปีนี้ทันทีที่เราได้รับเอกสารงบประมาณของกรุงเทพมหานคร พรรคประชาชนได้จัดกิจกรรม Hackathon งบประมาณ กระจายทั่วกรุงเทพฯ ในทุกกลุ่มเขต เชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมค้นคว้าตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณของผู้ว่า กทม. ซึ่งเราได้เนื้อหาที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายหลายโครงการจากมือของพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพฯ โดย ส.ก. ของเราจะนำเนื้อหาดังกล่าวไปทำงานต่อในชั้นวิสามัญ


วันนี้ตนจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม Hackathon งบประมาณ 69 ซึ่งเป็นงานใหญ่ของพรรคประชาชน ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เวลา 09:30 ที่อาคารรัฐสภา ชั้น B1 เพื่อมาร่วมกันตรวจสอบงบประมาณ กทม. อย่างละเอียดและฟังเสวนาแลกเปลี่ยน รวมถึงเบื้องลึกงบประมาณ กทม. ที่ไม่เคยฟังจากที่ไหนมาก่อน


จากนั้น สัณหสิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา พรรคประชาชน กล่าวถึงวาระงบประมาณปี 69 ว่าตอนนี้สภากรุงเทพมหานครได้บรรจุระเบียบวาระการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เรียบร้อยแล้ว จะเริ่มพิจารณาในวันพุธที่ 30 กรกฎาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10:00 น. เป็นต้นไป ประชาชนสามารถติดตามการประชุมได้ทาง Youtube และ Facebook fanpage สภากรุงเทพมหานคร


โดยปีนี้นับว่าเป็นงบประมาณปีสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. และ ส.ก. ในปีหน้า ทางผู้ว่า กทม. ได้ตั้งงบประมาณมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ส.ก.พรรคประชาชนทั้ง 11 คน เราได้ศึกษาข้อมูลรายละเอียดโครงการ แบ่งงานร่วมกับ สส.กทม. เพื่อตรวจสอบอย่างเข้มข้น เตรียมการอภิปรายด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจะสะท้อนการจัดสรรงบประมาณของผู้ว่าให้ประชาชนได้เห็นภาพรวม มีทั้งงบประมาณที่ไม่ตรงจุด ผิดฝาผิดตัว โครงการหน้าตาแปลกประหลาดเต็มไปหมด


ทั้งนี้จุดยืนของ ส.ก.พรรคประชาชน ในการพิจารณางบประมาณ กทม. ปีนี้มี 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก เรายืนยันเรื่องการเสนอคนนอกเข้าเป็นคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณางบประมาณ ซึ่งในปีที่แล้วเราเกือบทำสำเร็จ ได้โควตามาทั้งหมด 6 ที่นั่ง เสนอคนนอกเข้าร่วมพิจารณา 2 ที่นั่ง แต่กลับโดนสภากรุงเทพมหานครเสนอญัตติโหวตรายชื่อคนนอกทั้ง 2 คนของเราออก เป็นการใช้เสียงข้างมากของสภาตัดคนนอกออกไป ส่งผลให้การพิจารณางบปีที่ผ่านมามีเพียงสมาชิกสภา กทม. ร่วมพิจารณา ซึ่งไม่แน่ว่าถ้าปีที่ผ่านมาเรามีคนนอก โครงการเซนเซอร์แผ่นดินไหวอาจไม่ถูกคณะกรรมการพิจารณาตัดออกก็เป็นได้ นอกจากนี้เราเชื่อว่าการมีคนนอกร่วมพิจารณา จะช่วยสะท้อนมุมมองของคนนอกต่อการจัดสรรงบประมาณ ยกระดับการพิจารณางบให้มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้


เรื่องที่สอง เรายืนยันที่จะผลักดันการถ่ายทอดสดการประชุมคณะกรรมการวิสามัญงบประมาณ การประชุมงบประมาณกว่าหนึ่งแสนล้านบาทเป็นวาระสำคัญของกรุงเทพมหานครที่ประชาชนควรได้ตรวจสอบการทำงานของตัวแทนของพวกเขาไม่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในปีที่แล้ว เราพยายามแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จ สมาชิกหลายท่านยังกังวลและไม่เห็นด้วยกับการถ่ายทอดสด แต่ปีนี้เราได้เห็นตัวอย่างจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วว่าหากถ่ายทอดสดได้จะประโยชน์มาก ประชาชนจะติดตามได้อย่างใกล้ชิดว่าภาษีของเขาถูกใช้อย่างไร


เรื่องที่สาม เราจะเสนอให้หน่วยงานภายใต้ กทม. ทั้งหมด ทุกหน่วยงาน ทุกสำนัก ทุกสำนักงานเขต เตรียมเอกสารการเบิกจ่ายงบกลางมาชี้แจงในห้องวิสามัญงบประมาณ เพื่อพิจารณาการใช้งบประมาณของฝ่ายบริหารอย่างเข้มข้น


สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนติดตามการทำงานของพวกเรา ส.ก. พรรคประชาชนและการพิจารณางบประมาณกรุงเทพมหานครปี 2569 เพราะเงินภาษีทุกบาทมีความสำคัญต่อการยกระดับกรุงเทพมหานคร ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ควรถูกใช้อย่างคุ้มค่าและด้วยความโปร่งใส


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #Hackathon #งบ69




ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 3 พื้นที่ เห็นชอบร่วมกันให้หยุดยิง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง ระหว่างรอการประชุม GBC ในวันที่ 4 ส.ค. 68 นี้

 


ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 3 พื้นที่ เห็นชอบร่วมกันให้หยุดยิง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง ระหว่างรอการประชุม GBC ในวันที่ 4 ส.ค. 68 นี้


วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยผลการประชุมหารือของผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่จัดขึ้นในวันนี้ (29 ก.ค.68) เมื่อเวลา 10.00 น. ทั้ง 3 พื้นที่ ดังนี้


- การประชุมหารือระหว่าง กองทัพภาคที่ 1 กับ ภูมิภาคทหารที่ 5 (ฝ่ายกัมพูชา) จัดขึ้นที่ จุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นำโดย แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในการให้งดเคลื่อนไหวกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวง ระหว่างรอผลการประชุม GBC วันที่ 4 ส.ค. 68 และให้ผู้นำแต่ละระดับสามารถติดต่อกันโดยตรงได้เมื่อมีเหตุจำเป็น


- การประชุมหารือระหว่าง กองทัพภาคที่ 2 กับ ภูมิภาคทหารที่ 4 (ฝ่ายกัมพูชา) จัดขึ้นที่จุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ นำโดย แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีประเด็นในการหารือ ได้แก่ การยุติการยิงโดยทันที การห้ามใช้กำลังหรืออาวุธต่อประชาชน การงดเสริมกำลังและห้ามเคลื่อนย้ายกำลังในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจผิด ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกัน พร้อมจัดตั้งชุดประสานงานระดับพื้นที่ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ


- การประชุมหารือระหว่าง กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กับ ภูมิภาคทหารที่ 3 (ฝ่ายกัมพูชา) ที่จัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ นำโดย ผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีผลสรุปการประชุมที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1


นอกจากนี้ โฆษก ทบ. ยังได้กล่าวอีกว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนล่าสุดตั้งแต่ก่อนช่วงการประชุมทั้ง 3 พื้นที่ ได้มีการหยุดยิงตลอดแนวเป็นที่เรียบร้อย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทย #กัมพูชา




”ภูมิธรรม“ ถูกสื่อซัก ปมรับเงื่อนไข ”ฮุน มาเนต“ ชิ่งหนีหลังถูกถาม ใช้เรื่องภาษีสหรัฐฯ กดดันทหาร ย้ำ เจรจาบนเงื่อนไข 6 ข้อของกองทัพ


ภูมิธรรม“ ถูกสื่อซัก ปมรับเงื่อนไข ”ฮุน มาเนต“ ชิ่งหนีหลังถูกถาม ใช้เรื่องภาษีสหรัฐฯ กดดันทหาร ย้ำ เจรจาบนเงื่อนไข 6 ข้อของกองทัพ


วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ไทย-กัมพูชา มีการเจรจาหยุดยิงตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันเดียวกัน นี้ แต่พบว่าช่วงเช้ายังมีการปะทะเป็นระยะ ว่า ยอมรับว่า ยังมีอะไรที่ยังสื่อสารกันไม่ได้ทั้งหมด เนื่องจากมีการอยู่ตลอดทั้งแนวแนวชาย 800 กิโลเมตร ซึ่งแต่เดิมพูดคุยกันว่าจะหยุดยิงกันในเวลา 18.00 น. แต่ขยายมาเป็น 24.00 น. ทั้งนี้ กองทัพไทยค่อนข้างมีวินัย แต่ฝั่งกัมพูชาถ้าเขาไม่มีความตั้งใจ ก็เป็นเพราะทหารมีวินัย เราก็ทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้อง และในอนาคตจะต้องคุยกันต่อไปว่า โดยวันนี้เวลา 10.00 น. แม่ทัพภาคของทั้ง 2 ประเทศจะหารือกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกัน และหลังจากพูดคุยก็น่าจะหยุดหยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น


นายภูมิธรรม กล่าวว่า การหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากให้จบ แต่ในรายละเอียดคงต้องพูดคุยกันอีก เพราะเราได้ชี้แจงแล้วว่า หลังจากนี้ไปเราจะพูดคุยผ่านกลไก RBC และ GBC เพื่อให้ได้ข้อสรุป ย้ำว่าการพูดคุยครั้งนี้ ได้นำข้อเสนอของทางกองทัพบก เข้าหารือในวงเจรจาด้วย ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับ แต่ต้องรอดูว่าผลที่ออกมาจะเป็นลักษณะอย่างไร โดยตนขอขอบคุณกองทัพบก และวีรกรรมของทหารหาญ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและดีเยี่ยม โดยจะหารือกันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะดูแลกำลังพลทั้งหมดเป็นกรณีพิเศษ


เรื่องนี้จะเป็นประสบการณ์และบทเรียน ให้ได้เห็นว่ามีทหารเอาไว้ทำไม ชัดเจนว่าหากไม่มีทหาร เรื่องนี้คงแย่ไปมากกว่านี้” นายภูมิธรรม กล่าว


นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพูดบนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะการปกป้องประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา หรือบอกว่าจะเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ตลอดทั้งปี แต่เป็นเรื่องภาวะวิกฤต อย่างที่ตนเคยบอกว่า กำลังทหารต้องอยู่ในฐานความพร้อมที่จะปกปักรักษาประเทศและอธิปไตย ตนขอขอบคุณทุกแนวรบ ที่ทหารทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดและมีวินัย ต้องให้กำลังใจทหารหาญของประเทศ


นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ประชาชนไม่สบายใจ ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นเราเป็นฝ่ายที่ยึดมั่นในข้อตกลง และสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์บางจุด เพราะทหารกัมพูชาไม่มีวินัย เราตอบโต้บนพื้นฐานที่เกินเลย ยิงปืนเล็กมาเราก็ยิงปืนเล็กกลับ แต่ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์สงบอยู่ แต่ไม่ได้มีการยกระดับ ขอให้รอดูการหารือในเวลา 10.00 น. ว่าจะเป็นอย่างไร ขณะนี้มีการมอบอำนาจชัดเจน ให้ทางแม่ทัพภาคเป็นผู้หารือ เนื่องจากอยู่ในส่วนปฏิบัติหน้าที่ตอนหน้า แต่เราประสานงานกันตลอด


นอกจากนี้ เมื่อสักครู่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้โทรศัพท์หาตน ซึ่งตนจะประสานให้มีการโทรกลับไปคุย


เมื่อถามว่า ก่อนจะไปเจรจา นายภูมิธรรมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า การจะหยุดยิงต้องให้กัมพูชาแสดงความจริงใจ ด้วยการปรับกำลังและอาวุธหนักออกจากพื้นที่ แต่ทาง ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่าการหยุดยิงต้องไม่มีเงื่อนไข ไปเจรจากันยังไงถึงออกมาเป็นเช่นนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า สื่อคงเข้าใจผิด สิ่งที่เราพูดเรื่องการหยุดยิง คือการให้ยุติดำเนินการ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบ แต่การหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข คือให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ว่าจะหยุดยิงเมื่อไหร่ ส่วนการเจรจาหลังจากนั้น มีการกำหนดอยู่แล้วว่าให้เจรจาตามกลไก ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพจะเจรจา


เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่ายังไม่หยุดยิงอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นไปตามขั้นตอน ถามแบบนี้จะกลายเป็นทำให้ระหองระแหงกัน ขณะนี้ต้องทำให้นานาประเทศและประชาคมโลกเข้ามาดูแลและสังเกตการณ์ ซึ่งการหยุดยิงเป็นมาตรฐานของเรา ที่อยากให้มีการพูดคุยกันทั้งหมด ไม่อยากให้มีการกระทบกระเทือนถึงปัญหาระหว่างประเทศ และเรายังยึดมั่นรักษาอธิปไตยของประเทศได้


เมื่อถามว่า เป็นการที่ฝ่ายการเมืองโยนงานให้ทหารหน้างานหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า พูดแบบนี้เหมือนจะให้ฝ่ายการเมืองทะเลาะกับทหาร ตนคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีการพูดคุยมาตลอด ก่อนจะไปก็พูดคุยกัน เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การโยน แต่ทางกองทัพอยากใช้เงื่อนไข ดังนั้นจะให้กองทัพเป็นคนตัดสินใจและประสานกับเรา ยืนยันว่าไม่ใช่การโยนภาระ หากพิจารณาตรงนี้ แต่สถานการณ์ในพื้นที่เห็นอะไรที่แตกต่างไป ก็จะเป็นปัญหาอีก ยืนยันว่าทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งกระทรวงกลาโหมและ 4 เหล่าทัพ รวมถึงรัฐบาล ทำงานเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน


เมื่อถามว่า หลักการทั่วไปของการเจรจาหยุดยิง เราต้องให้เขาถอนอาวุธ หรือยื่นเงื่อนไขในการเจรจา แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า นายภูมิธรรมไปรับเงื่อนไขเขามา นายภูมิธรรมธรรม ย้อนถามว่า ถามแบบนี้เหมือนไม่เข้าใจ แต่เรายืนยันว่า หากเราไปคุยเงื่อนไขทั้งหมดก็ไม่จบ แต่ในขณะที่ยิงกัน ก็เกิดความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้น ก่อนอื่นต้องหยุดยิง เพื่อระงับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ตนจึงอยากให้ทำความเข้าใจ สิ่งที่ทำทั้งหมด ไม่ได้สนองความความสะใจของใคร แต่ต้องระมัดระวังและยุติความเสียหาย หากเจรจากันไม่ได้ ก็ไปเริ่มต้นใหม่ การตั้งคำถามแบบนี้ไม่ถูก คนเสียหายเวลานี้คือประชาชนและกำลังทหาร อยากให้ใช้สติในการพิจารณา ว่าการทำเช่นนี้น่าจะเป็นการยุติความเสียหาย และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เราคุยกัน


เมื่อถามว่า จะมีการเรียกร้องกัมพูชาในฐานะอาชญากรสงครามหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อันนั้นเป็นเงื่อนไข การหยุดจริงไม่ได้หมายความว่าจะมีเงื่อนไขเป็นคดี แต่เป็นการยุติไม่ให้เกิดความเสียหาย และมาคุยกัน มอบหมายให้เป็นกลไกทวิภาคี หลังจากนี้จะเป็นการพูดคุยกัน โดยไม่มีเสียงปืนทำร้ายกัน ถ้าจะคุยกันในขณะที่มีการยิงกันอยู่ ที่ไหนก็ไม่มีใครทำได้ ส่วนจะเดินหน้าเอาผิดกัมพูชาในฐานละเมิดหรือไม่ เดี๋ยวรอพูดคุยกัน ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลตรงนั้น


นายภูมิธรรม กล่าวยํ้าว่า เงื่อนไขในการหารือคือเงื่อนไขของกองทัพบก 6 ข้อ ซึ่งกองทัพบกทราบดี ขอให้ไปถามดู ขอให้นึกถึงประเทศชาติ ซึ่งเงื่อนไขที่กองทัพบกเสนอมานั้น เรารับได้ และนำมาเจรจาต่อ ที่ประชุมก็ยอมรับ


เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลเอาเรื่องภาษีสหรัฐฯ มากดดันผูกคอกองทัพหรือไม่ นายภูมิธรรมย้อนถามว่า ท่านเอาความเชื่อมั่นมาถาม แล้วมากดดัน ตนไม่ขอตอบแล้ว ก่อนจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ และขึ้นตึกบัญชาการไปทันที


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ภูมิธรรม #ชายแดนไทยกัมพูชา

“กองทัพบก” แถลงการณ์ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อใจ เลื่อนการเจรจาระหว่างผู้นำหน่วยทหารออกไปเป็นเวลา 10.00 น.

 


“กองทัพบก” แถลงการณ์ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อใจ เลื่อนการเจรจาระหว่างผู้นำหน่วยทหารออกไปเป็นเวลา 10.00 น.


กองทัพบก ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยหลังจากฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงหลังเวลา 24.00 น. และเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในแนวหน้าอย่างใกล้ชิด โดยหน่วยทหารในพื้นที่ได้รายงานพบการปฏิบัติทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในหลายเหตุการณ์ตลอดคืนจนถึงช่วงเช้า โดยพบการก่อกวนและใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ช่องบก, พื้นที่ช่องอานม้า, พื้นที่ซำแต, พื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งฝ่ายไทยได้ตอบโต้ตามสถานการณ์ โดยใช้กำลังในแนวหน้าและอาวุธยิงสนับสนุน เพื่อยับยั้งการปฏิบัติดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา


จากกรณีดังกล่าว วันนี้ (29 กรกฎาคม 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ความว่า


“ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน


กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ


แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว


ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล”


นอกจากนี้โฆษกกองทัพบกยังได้เปิดเผยถึงกำหนดการพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายที่มีแผนพบกันในช่วงเช้าของวันนี้ว่า “ยังคงมีความพยายามในการเดินหน้าพบปะพูดคุยกันของผู้นำทางทหารทั้งสองประเทศ โดยในขณะนี้ทราบว่ามีการปรับเวลาเป็น 10.00 น. ส่วนรายละเอียดอื่นๆจะได้มีการเปิดเผยให้ทราบอีกครั้ง”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TruthFromThailand #ชายแดนไทยกัมพูชา