“วิโรจน์” อัดงบ ศธ. ยุครมว.ชื่อ"เพิ่มพูน" แต่การศึกษาไทยถดถอย
แนะลดงบไม่จำเป็น ตัดโครงการฝากเลี้ยง หนุนเด็กตกหล่นกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา
วันที่
5 มกราคม 2567 ในการประชุมพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วันสุดท้าย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายงบประมาณด้านการศึกษา
โดยเน้นการอภิปรายไปที่ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
วิโรจน์กล่าวว่า
ผลการทดสอบ PISA
2022 ที่เพิ่งประกาศออกมา ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายเช่นเดิม
ได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี สะท้อนถึงความล้มเหลวและวิกฤติของระบบการศึกษาไทย
ซ้ำร้ายจากคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566 ที่ระบุว่า
“คงไม่เทียบมาตรฐานกับประเทศอื่นดีกว่า ของเราเป็นตัวของเราเอง”
ยิ่งสะท้อนถึงปัญหาในการจัดงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะ PISA ไม่ใช่คะแนนสอบแต่เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของการพัฒนาคน
“การศึกษาไทยไม่ใช่เดินตามหลัง แต่เรากำลังเดินหลงทาง เดินตามหลังนั้นยังดี
มองไปข้างหน้ายังเจอผู้คน อาจจะไปถึงช้ากว่าเพื่อน แต่ก็ยังไปถึง แต่ที่
รมว.ศึกษาธิการ บอกว่าของเราเป็นตัวของเราเองนั้น มองไปข้างหน้าก็ไม่เจอใคร
มองไปข้างหลังก็ไม่เจอคน มองซ้ายมองขวาเจอแต่ความว่างเปล่า นี่คือเรากำลังหลงทาง
ยิ่งเดินต่อไปยิ่งเข้ารกเข้าพง
เรากำลังอยู่ในยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชื่อ ‘เพิ่มพูน’
แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามีแต่ถดถอย” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์กล่าวต่อไปถึงปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
หรือโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 120 คน
โดยตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่าปีการศึกษา 2566
มีจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กทั้งสิ้น 14,996 แห่ง
จากโรงเรียนทั้งหมด 29,312 แห่ง คิดเป็น 51.2% หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งไปแล้ว และยังมีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 121
- 200 คน อยู่อีกประมาณ 7,000 แห่ง
ที่กำลังจะกลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในอนาคตอันใกล้
จากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โรงเรียนขนาดเล็กได้รับงบประมาณน้อยกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่
แม้ว่าจะมีการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้กับนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กก็ตาม
แต่เมื่อกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบโดยคิดจากรายหัวนักเรียนเป็นหลัก หัวละ 500 บาทต่อคนต่อปี
ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กประสบกับปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ
ขาดแคลนสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อาคารสถานที่
ตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆ ขาดการบำรุงรักษาจนส่งผลต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนักเรียน
นอกจากนี้
ในการจัดสรรอัตรากำลังครูผู้สอน สพฐ. ยังใช้หลักเกณฑ์สัดส่วนครูต่อจำนวนนักเรียน
ยิ่งจำนวนนักเรียนมีน้อยครูก็ยิ่งมีน้อยตาม บางโรงเรียนมีปัญหาครูไม่ครบชั้น
ครูหนึ่งคนต้องสอนหลายชั้นหลายวิชา
ทำให้ยากต่อการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับหลักสูตรการเรียนการสอนของประเทศไทยกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนหลายวิชา
ทั้งมีการบ้านและการสอบที่มากเกินไป
วิโรจน์ยังกล่าวต่อไป
ว่าที่ผ่านมาจนถึงปีงบประมาณปัจจุบัน
กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง
การควบรวมโรงเรียนที่ผ่านมาไม่เคยประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
แถมยังมีแนวโน้มควบรวมได้น้อยลงเรื่อย ๆ
ถ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
งบประมาณเพียงปีละ 2
ร้อยกว่าล้านบาทย่อมแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่เป็นปัญหาระดับวิกฤติไม่ได้
การจัดสรรงบประมาณเพียงเท่านี้
ก็สะท้อนได้ว่ารัฐบาลไม่ได้มองปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กว่าเป็นปัญหาระดับวิกฤติเลย
วิโรจน์ยังกล่าวต่อไป
ว่านอกจากจะควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่ได้ตามเป้าหมายแล้ว
การควบรวมโรงเรียนอย่างไร้ยุทธศาสตร์ที่ผ่านมาของกระทรวงศึกษาธิการยังก่อให้เกิดปัญหาข้อพิพาทกับชุมชน
อย่างรุนแรง ส่วนเงินชดเชยค่าพาหนะในการเดินทางไป-กลับบ้านโรงเรียนก็จ่ายในอัตราที่ถูกอย่างไม่สมเหตุสมผล
กระทรวงศึกษาธิการก็รู้อยู่แก่ใจว่าทางออกของเรื่องนี้ไม่ใช่การจ่ายชดเชยค่าพาหนะ
แต่ต้องเป็นการจัดรถโรงเรียนเพื่อให้เด็กทุกคนในจังหวัดสามารถเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนที่ตอบโจทย์ศักยภาพของตัวเองและอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักได้
และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย
ก็คือการถ่ายโอนโรงเรียนที่ถูกควบรวมให้กับท้องถิ่น พร้อมงบอุดหนุนเฉพาะกิจ เช่น
แห่งละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบส่วนนี้ไปใช้ปรับปรุงอาคารสถานที่
และนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นที่เกิดประโยชน์กับชุมชน
วิโรจน์ยังอภิปรายต่อไป
ว่ามีการศึกษาว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลางอยู่
13,600 บาทต่อคนต่อปี ดังนั้นหากแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนรวมกัน 954,756
คน ก็จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 12,985 ล้านบาท
เมื่อรวมกับการปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นจากโครงการที่มีภารกิจซ้ำซ้อนแล้ว
กระทรวงศึกษาธิการจะมีงบประมาณที่นำไปจัดสรรใหม่ได้ถึงปีละ 15,102 ล้านบาท
โดยงบประมาณกว่า
1.5 หมื่นล้านบาทนี้ สามารถจัดสรรเป็นงบอุดหนุนเฉพาะกิจ 4,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อสนับสนุนให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ.
นำไปใช้บริหารจัดการรถโรงเรียนภายในจังหวัด และให้เด็กทุกคนสามารถขึ้นรถโรงเรียน
ไป-กลับโรงเรียนได้อีก 6,600 ล้านบาทต่อปี
นำไปจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ.
ให้เด็กยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน ได้รับทุนเสมอภาคเพิ่มจาก 3,000
เป็น 4,200 บาทต่อคนต่อปีทันที
และยังเหลืองบประมาณอีก 4,502 ล้านบาท
ที่สามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาอื่น ๆ ได้อีก
“ที่ผ่านมารัฐบาลบอกกับประชาชนอยู่ตลอดว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ
แต่เหตุใดจัดงบประมาณออกมาเป็นรูทีนแบบนี้
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะนำเอาสิ่งเหล่านี้ไปปรับลดงบประมาณ
และให้รัฐบาลนำเอางบประมาณที่ปรับลดได้ไปปรับปรุงงบประมาณมาเสียใหม่
เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางการศึกษา
ไม่ใช่งบประมาณเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันแบบนี้” วิโรจน์กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา #งบประมาณ67 #การศึกษา