“ณัฐพงษ์” อภิปรายปิดวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ.งบปี 67
ชี้ จิ้มตรงไหนก็ “ไม่ตรงปก”
บุญเก่าความสำเร็จสมัยทักษิณอาจส่งมาไม่ถึงรัฐบาลนี้ แนะ 5 ก้าวปฏิรูปกระบวนการจัดสรรงบประมาณใหม่ทำได้ทันที
วันที่
5 มกราคม 2567 ในการอภิปรายร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ณัฐพงษ์
เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
เป็นผู้อภิปรายปิดในส่วนของพรรคก้าวไกล ก่อนที่จะมีการลงมติรับหลักการในเวลาต่อมา
ณัฐพงษ์
ระบุว่าครั้งหนึ่งพรรคเพื่อไทยเคยเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ส่งต่อความสำเร็จจากยุครัฐบาลทักษิณ
1 ที่มีทั้งการปฏิรูประบบราชการ และการบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
สู่ยุค “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เต็มไปด้วยนโยบายต่างๆ
ที่ดำเนินการจนประสบความสำเร็จ ซึ่งทำในรูปแบบของกองทุน
เป็นนโยบายกึ่งการคลังแทบทั้งสิ้น
ในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายมากำกับดูแลวินัยการเงินการคลัง
ทำให้รัฐบาลสามารถดำเนินการโดยอาศัยเครื่องมือปฏิรูปกระบวนการงบประมาณและการบัญชีภาครัฐไปพร้อมกันได้
ทำให้สามารถดำเนินนโยบายจนประสบความสำเร็จ
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไป
ว่าแต่แรงส่งเดิมหรือ “บุญเก่า” กำลังจะส่งมาไม่ถึงรัฐบาลนี้ นอกจากกำลังจะถูก
พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังค้ำคอแล้ว ยังมีกฎหมายอื่นๆ
ที่จะทำให้รัฐบาลคิดใหญ่ทำไม่เป็น คิดไปทำไป หรือคิดอย่างทำอย่าง
เพราะจะใช้วิธีการเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะไปหวังพึ่งวิธีการกึ่งการคลัง
ก็ไม่เหลือพื้นที่อีกแล้วเพราะมี ม.28 ค้ำคออยู่
ดังนั้น
การดำเนินนโยบายให้ประสบความสำเร็จ
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณและนโยบายทางการคลังแบบปกติ
ซึ่งมีหัวใอยู่ที่กระบวนการจัดทำงบประมาณ แต่การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็ไม่ได้สะท้อนวิกฤติของประเทศในด้านต่างๆ
เลย ไม่ว่าจะเป็น
1)
วิกฤติทางการคลัง ที่ตัวเลขรายได้รัฐต่อจีดีพีกำลังมีปัญหา
หากเปรียบกับการรักษาโรค ถ้าไม่รักษาตั้งแต่วันนี้ ประเทศอาจจะตายได้ในวันข้างหน้า
เช่น ที่ รมว.พลังงาน ชี้แจงล่าสุดเกี่ยวกับประเด็น กฟผ.
มีการยืนยันว่าตัวเลขประมาณการรายได้ของรัฐผิด เพราะไม่ได้ปรับลดเงินปันผลของ กฟผ.
ที่จะทำให้รัฐบาลมีรายได้ลดลง
2)
วิกฤติความสามารถในการแข่งขัน
ขณะที่รัฐบาลบอกว่าจะส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
แต่งบประมาณกลับถูกจัดสรรอย่างผิดฝาผิดตัว ไม่เพียงพอ
และยังเพิ่มงบประมาณในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอีก 1.5 หมื่นล้านบาท โดยที่ของเก่าแทบไม่เคยถูกใช้ ดังนั้น
ปัญหาอยู่ที่วิธีการไม่ใช่ตัวเงิน เช่น งบประมาณที่จัดสรรให้เอสเอ็มอี
จากเดิมที่จัดสรรแบบกระจุกตัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นการจัดสรรแบบทั่วถึง
งบประมาณสำหรับอุตสาหกรรมใหม่
จากที่จัดสรรแบบเหวี่ยงแหก็ต้องเปลี่ยนเป็นการจัดสรรแบบพุ่งเป้า เป็นต้น
3)
วิกฤติสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น pm 2.5 ที่วันนี้ประชาชนในกรุงเทพฯ
กำลังเผชิญปัญหา แต่เมื่อเปลี่ยนฤดูกาล
ปัญหาก็จะไปตกอยู่กับประชาชนในภาคอื่นเหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว
การจัดสรรงบประมาณแบบต่างคนต่างทำแบบที่เป็นอยู่ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
ต้องคิดเป็นระบบเป็นโครงสร้างจึงจะจัดการปัญหาฝุ่น pm 2.5 ได้
ปัญหาคือนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าเรื่องนี้สามารถใช้งบกลางได้
แต่คำถามก็คือรัฐบาลไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ล่วงหน้าหรือ
ถึงต้องจัดไว้ที่งบกลางเช่นนั้น
เช่นเดียวกับกรณีเงินอุดหนุนเฉพาะกิจควบคุมไฟป่าสำหรับท้องถิ่น
ที่มีการขอมา 1.7
พันล้าน แต่รัฐบาลกลับจัดสรรให้เพียง 50 ล้านบาท
ท้องถิ่นจะจัดการไฟป่าได้อย่างไร นอกจากนี้ ยังมีกรณีภัยแล้ง
ที่มีปัญหาไม่ใช่เฉพาะเรื่องน้ำทางการเกษตรเท่านั้น
แต่มีปัญหาไปถึงพื้นที่นอกเขตชลประทานด้วย
แต่การจัดสรรงบประมาณในปัจจุบันกลับให้ความสำคัญกับพี่ใหญ่อย่างกรมชลประทาน
มากกว่ากรมทรัพยากรน้ำ กรมน้ำบาดาล และกรมพัฒนาที่ดิน
ที่มีความสำคัญในการพัฒนาแห่งน้ำนอกเขตชลประทานไม่แพ้กัน
4)
วิกฤติความเหลื่อมล้ำ จะเห็นได้ว่าจากงบประมาณปี 2567 เต็มไปด้วยปัญหาทั้งเบี้ยยังชีพคนชราที่ไม่เพิ่มขึ้น
เงินเด็กเล็กที่ไม่ถ้วนหน้า เบี้ยสนับสนุนคนพิการก็ถูกตัด วันนี้คนไทยมากกว่า 5
ล้านคนไม่มีบ้านเป็นของตัวเองจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น
ไม่สอดคล้องกับค่าแรงที่ไม่ขึ้นตาม
แต่งบประมาณด้านความเสมอภาคทางสังคมก็ยังคงตั้งเหมือนเดิม
และยังคงใช้ตัวชี้วัดเหมือนเดิมที่ทำมาทุกปี
นอกจากนี้
แม้จะเป็นที่เห็นตรงกันว่าการลดความเหลื่อมล้ำต้องใช้การกระจายอำนาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ
แต่งบประมาณปี 2567
กลับเป็นปีแรกนับแต่การเลือกตั้ง 2562 เป็นต้นมา
ที่สัดส่วนรายได้ท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลต่ำลงเหลือ 29.1% โดยนับรวมงบถ่ายโอน รพ.สต. และงบกลุ่มจังหวัดเข้าไปแล้ว
5)
วิกฤติทรัพยากรมนุษย์
ประเทศไทยกำลังเจอวิกฤติแรงงานที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาด
วิกฤติสังคมสูงวัย หากจะให้คนวัยทำงานสามารถแบกรับวิกฤตินี้ได้มากขึ้น
มีแต่ต้องเพิ่มทักษะและขีดความสามารถ
ให้สามารถเพิ่มผลิตภาพได้มากขึ้นและมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาเด็กเกิดต่ำ
ซึ่งควรจะเป็นวาระแห่งชาติได้แล้ว แต่จากงบปี 2567 จะเห็นได้ว่ายังคงไม่มีการจัดสรรงบด้านนี้อย่างดีเพียงพอเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนอยากมีบุตร
6)
วิกฤติความมั่นคง เช่น
ในเรื่องของความสงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ยังคงมีคดีที่เป็นปมของคนไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือกรณีตากใบ
ที่นายกรัฐมนตรีควรจะต้องเป็นผู้คลี่ปมให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งกระบวนการด้านนิติรัฐนิติธรรมนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณด้วยซ้ำ แต่นายกรัฐมนตรี
ในฐานะ ผอ.รมน. ทราบหรือไม่ว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้เอง
กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้ายังคงดำเนินคดีฟ้องร้องผู้ชุมนุมในพื้นที่อยู่เลย
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไป
ว่าโดยรวมแล้วนี่คือวิกฤติของการจัดสรรงบประมาณที่ “ไม่ตรงปก”
ไม่ว่าจะจิ้มไปที่ไหนในเล่มงบประมาณจะเจอได้ทุกจุด เช่น
การใช้ชื่อโครงการแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจก
แต่การใช้งบประมาณมีแต่การติดอุปกรณ์ในสนามบิน, แผนงานเกษตรสร้างมูลค่าก็กลายเป็นแต่การตั้งงบประมาณใช้หนี้
ธ.ก.ส., แผนงานสร้างรายได้การท่องเที่ยวก็กลายเป็นงบประมาณตัดถนน
7.7 พันล้านบาท, แผนงานพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น
ก็กลายเป็นการตัดถนนถึง 52%, แผนงานพัฒนาแรงงาน
ก็เต็มไปด้วยการตั้งตัวชี้วัดที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น
การวัดจำนวนนักศึกษาว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเท่าไร
สิ่งนี้จะทำให้บุญเก่าที่ทำสำเร็จไว้ในรัฐบาลชุดก่อนจะตกมาไม่ถึงรัฐบาลชุดนี้
เพราะระบบงบประมาณของประเทศกำลังมีปัญหา
และทางออกก็คือการปฏิรูปกระบวนการจัดทำงบประมาณใหม่
ที่ตนและพรรคก้าวไกลขอเสนอให้รัฐบาลสามารถนำไปดำเนินการได้ทันที 5 ก้าว
ประกอบด้วย
1)
การเอาจริงกับการปฏิรูปกระบวนการจัดทำงบประมาณให้โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม
ซึ่งที่ผ่านมาตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ
มีอุปสรรคในการได้รับความร่วมมือจากสำนักงบประมาณ ในการให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการ
สำนักงบประมาณวันนี้ยังไม่ได้ส่งข้อมูลคำของบประมาณตามที่เรียกเอกสารไป
ตนจึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลคำขอนี้ให้กรรมาธิการในทันที
2)
รัฐบาลต้องปฏิรูปกระบวนการอนุมัติงบประมาณในสภาผู้แทนราษฎรหรือในคณะกรรมาธิการวิสามัญเสียใหม่
โดยเฉพาะในการแบ่งอนุกรรมาธิการวิสามัญ ที่ก่อนหน้านี้แบ่งตามของที่ซื้อ ทั้งที่
สส.ควรพิจารณาว่าโครงการใดเหมาะหรือไม่กับยุทธศาสตร์การพัฒนา บริบทโลก
และความต้องการของประชาชนในประเทศ
ตนจึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียืนยันว่าในปีงบประมาณนี้จะมีการปฏิรูปกระบวนการอนุมัติงบประมาณใหม่
ผ่านเสียงข้างมากของรัฐบาลในชั้นกรรมาธิการ ให้การแบ่งอนุกรรมาธิการฯ
เป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
ณัฐพงษ์กล่าวว่าทั้ง
2 ก้าวข้างต้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที
ส่วนหลังจากนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถดำเนินการในปีงบประมาณต่อๆ ไปได้
ประกอบด้วย
3)
มาตรการเชิงนโยบาย
ในการเลือกที่จะตั้งงบประมาณให้โครงการใดและเลือกที่จะไม่ตั้งงบประมาณให้โครงการใด
ซึ่งต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยการวางหลักเกณฑ์ให้สำนักงบประมาณ
ไม่ปล่อยให้ต่างคนต่างตั้งงบเข้ามา ใช้เป็นช่องทางหากินอย่างไม่มีการควบคุม
และไม่เป็นไปตามนโยบายหรือหลักเกณฑ์ที่จำเป็น
4)
การจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ (zero-based budgeting) เพราะแม้สำนักงบประมาณกำลังจะมีการนำระบบ e-budgeting มาใช้
แต่ถ้ากระบวนการจัดสรรงบประมาณยังคงใช้วิธีการเหมือนเดิมก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
การจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ใหม่ขึ้นทุกปี
จะทำให้การจัดสรรงบประมาณรับมือความท้าทายใหม่ ๆ ได้
เช่น
หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล การนำเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยนายกรัฐมนตรี
จะระบุได้ว่าโครงการใดเป็นโครงการที่รัฐมนตรีจัดมาเองเพื่อผลักดันนโยบาย
ซึ่งตนขอเรียกว่า “งบภารกิจ”และโครงการใดบ้างที่ผูกพันมาจากรัฐบาลชุดก่อน
หรือเป็นภารกิจขั้นพื้นฐานของหน่วยงาน ซึ่งเรียกว่า “งบหน่วยงานประจำ”
ให้สภาพิจารณาเป็นคนละก้อนกันโดยใช้วิธีการพิจารณาที่แตกต่างกัน
อภิปรายเจาะกันไปที่งบภารกิจของรัฐบาลว่าสอดคล้องหรือไม่กับความต้องการของประเทศ
ส่วนงบของข้าราชการประจำ
สภาจะเน้นพิจารณาไปที่การออกแบบมาตรการเชิงนโยบายเพื่อทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5)
จัดสรรงบประมาณแบบภารกิจนำ (Mission-Oriented) ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลอยากเห็นในการจัดสรรงบประมาณ
โดยเน้นผลลัพธ์ที่มุ่งเป้าให้ประเทศบรรลุได้ 1 ภารกิจ เช่น
ภารกิจด้านสร้างการเติบโตสีเขียว แม้มีแผนสภาพัฒน์อยู่แล้ว
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มีแผนหรือไม่
แต่อยู่ที่การทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
หนึ่งภารกิจอาจมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การจัดโครงการควรเป็นไปตามภารกิจ
ขีดเส้นแบ่งให้ชัดว่าอะไรเป็นภารกิจพื้นฐานที่หน่วยงานทำอยู่แล้วและเกี่ยวข้อง
กับโครงการที่รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มและออกแบบมาตรการเชิงนโยบาย
ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไป
ว่าสุดท้ายตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ไม่ตอบโจทย์และไม่สะท้อนปัญหาของประเทศอย่างไรบ้าง
นายกฯ ที่ได้รับโอกาสบริหารประเทศครั้งแรกในชีวิตแล้ว ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
“โจทย์ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่คำถามว่าจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่
แต่เป็นคำถามว่าเราพร้อมบริหารประเทศหรือไม่ การพิจารณางบประมาณ 3 วันที่ผ่านมาไม่ใช่การทำลายล้างท่าน แต่เป็นเวทีซ้อมมือเพื่อเอาชนะ
ด้วยการทำงานที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพและข้อเสนอการบริหารประเทศได้ดีกว่า
ด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานอย่างเข้าใจปัญหาและรู้วิธีการแก้ปัญหา
แข่งกันเอาชนะใจประชาชน” ณัฐพงษ์กล่าว