วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2567

"พิธา" กลับเข้าสภา เผยความรู้สึกแรกคิดถึงไออุ่นที่คุ้นเคยกับ 6 เดือนที่หายไป ยันไม่ยึดติดตำแหน่งหัวหน้าพรรค -ผู้นำฝ่ายค้าน มั่นใจ ไร้กังวลปมแก้ม. 112

 


"พิธา" กลับเข้าสภา เผยความรู้สึกแรกคิดถึงไออุ่นที่คุ้นเคยกับ 6 เดือนที่หายไป ยันไม่ยึดติดตำแหน่งหัวหน้าพรรค -ผู้นำฝ่ายค้าน มั่นใจ ไร้กังวลปมแก้ม. 112

 

วันนี้ (25 มกราคม 2567) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาถึงรัฐสภาเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่สส.เป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2566 ในคดีถือหุ้นสื่อไอทีวี โดยเมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) ศาลฯได้มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยให้สมาชิกภาพสส.ของนายพิธาไม่สิ้นสุด และไอทีวีไม่ใช่ธุรกิจสื่อมวลชน ส่งผลให้นายพิธา สามารถกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่สส.ได้ทันที

 

นายพิธา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงความรู้สึกของก้าวแรกที่เข้าสู่สภาฯว่า ไออุ่นที่คุ้นเคย รวมเวลาตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว ที่ตนไม่ได้มีโอกาสมาแถลงข่าวที่สภาฯ ได้เห็นบรรยากาศสื่อมวลชน ประชาชน หรือนักศึกษาที่มาเยี่ยมสภาฯ ยังรู้สึกว่าสภาฯเป็นพื้นที่รวมตัวของสังคมไทย ทำให้คิดถึงบรรยากาศแบบนี้

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตั้งใจผูกเนคไทสีฟ้ามาเป็นกิมมิคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นกิมมิคอะไรเป็นพิเศษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนเดินทางไปออกรายการ และได้มองซ้ายมองขวา จำได้ว่าตอนที่เราชูกำปั้นในช่วงที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เราผูกเนคไทเส้นนี้ จึงนึกสนุกขึ้นมาว่าไหนๆก็ไหนแล้ว เราออกไปด้วยแบบไหน เราก็กลับมาด้วยแบบนั้น คิดว่าเราออกไปทัวร์แบบอ้อมแต่เป้าหมายในการเดินทางก็ทำต่อ ถึงแม้มันจะหายไป 6 เดือนก็ตาม

 

เมื่อถามว่าเสียดายหรือไม่กับ 6 เดือนที่หายไป นายพิธา กล่าวว่า เวลาที่เสียไปถือว่าเสียดายอย่างเป็นรูปธรรม เช่น โอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ที่ไม่อาจมีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่ 2 แล้วมันจะมีครั้งที่ 3 หรือไม่ แต่เราบริหารจัดการได้ว่า 6 เดือนที่หายไป เราไปพบปะประชาชน และทำงานร่วมกับสส.ในการลงพื้นที่ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสียดาย

 

ภารกิจแรกในการกลับมาเป็นสส. ผมจะเข้าพูดคุยกับสส.ของพรรค รวมถึงนักศึกษา ประชาชนที่มาเยี่ยมสภาฯ เราก็จะเข้าไปพูดคุยเสียหน่อย และจะหาจังหวะเดินเข้าห้องประชุมใหญ่เพื่อไม่ให้ขัดจังหวะเพื่อนสส.ที่กำลังอภิปรายอยู่ ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ผมเตรียมที่อภิปรายเรื่องการบริหารจัดการขยะ และจะแถลงแผนงานของพรรคก้าวไกลว่ามีเป้าหมายอย่างไรต่อไป การทำงานของพรรคในเชิงปฏิบัติการคืออะไร ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมได้” นายพิธา กล่าว

 

เมื่อถามว่าในช่วงที่หายไป 6 เดือนเกิดปัญหาเรื่องคุกคามทางเพศภายในพรรค รวมถึงเรื่องอื่น ๆ จนเกิดข้อครหา จะแก้ไขปัญหาอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ต้องยอมรับด้วยความเสียใจ และต้องขอโทษประชาชน แต่ในช่วงสถานการณ์นั้นตนไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ว่านายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตนก็ไม่อยากเป็นสถาบันที่มีหัวหน้าพรรค 2 คน ตนก็ต้องรู้ที่ของตัวเองว่าในขณะนั้นตนเป็นที่ปรึกษา ก็คอยให้คำปรึกษากับนายชัยธวัช พูดคุยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในมุมป้องกันไม่ให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างไร หรือการรักษาเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้วต้องตอบสนองให้ไว จะเรียนรู้จากความผิดพลาดปรับปรุงโดยไม่ได้แก้ตัว และยอมรับว่าเราต้องพัฒนากันอีกเยอะ แต่ประชาชนก็สัมผัสได้ถึงพัฒนาการ และความเป็นสถาบันทางการเมืองของเรา

 

เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินคดีกลับกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ร้องเรื่องหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต ตอนนี้จะโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน ใช้สมาธิ ทรัพยากร และเวลากับการทำงานปัจจุบัน รวมถึงอนาคตที่จะถึงตามแผนงานที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้ (26 ม.ค.)

 

เมื่อถามว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องแยกเป็น 2ส่วน 1.เป็นไปตามกระบวนการที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคในเดือนเม.ย.นี้ และต้องผ่านการคัดเลือกจากกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.)ชุดใหม่ รวมถึงการนำเสนอในที่ประชุม หรือสมาชิกโหวต และ2.ตนไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง นายชัยธวัชก็ทำหน้าที่ได้ดี และทำงานอย่าวแหลมคม เป็นตัวเอง ทั้งตนและนายชัยธวัช ไม่ได้มีใครยึดติดในตำแหน่งทั้งคู่ และทุกคนในพรรค

 

เมื่อถามว่ามีโอกาสเลื่อนประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคให้เร็วขึ้นเพื่อประชุมวาระเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหตุจำเป็นอะไร ตนคิดว่าเดือนเม.ย.เหมาะสม กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ทำงานครบ4ปีตามวาระก็ต้องมีการเปลี่ยน ต้องแจ้งให้ชัดว่าการประชุมฯไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีของตน

 

เมื่อถามว่า มีข้อควรระวังอะไรให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อจะแนะนำ และยังเชื่อว่ามีวาระเพื่อประชาชนอีกมากมาย โดยไม่ต้องคำนึงว่ามาจากพรรคไหน เช่น เรื่องสมรสเท่าเทียม หรือเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด เราเชื่อว่ายังทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้

 

เมื่อถามว่า จะมีการจับตาโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงที่ตนถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตนได้สังเกต ว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ ได้แก่ 1. ดิจิทัลวอลเล็ต 2. โครงการแลนด์บริดจ์ 3. ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ จะต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร

 

เมื่อถามว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของพรรคก้าวไกลในการตรวจสอบรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนมีความเห็นว่าประชาชนเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้า ซบเซามาเป็นเวลานาน ธนาคารกสิกรวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจอาจจะโตช้าในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลในชุดปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามาบริหารเพียง 6 เดือน แต่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเมืองไทยที่ศูนย์หายมากว่า 10 และไม่มีการปรับโครงสร้างทำให้เราโตช้ามาก แต่ขณะเดียวกันตนกังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาวทำให้ไม่มีพื้นที่การคลัง ในการแก้ไขปัญหาระยะยาว หรือพื้นที่ในแบบอื่นก็ไม่ได้เป็นทางที่เหมาะสม

 

เพราะฉะนั้นอยากชวนรัฐบาลคิดแผน 2 ในสิ่งที่หาเสียงมาแต่ไม่ผ่าน อยากให้ลองคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกรายละเอียดและโครงการเล็กๆน้อยๆ พอมาทำรวมกันเกิดพลังเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลฯ จากบนลงล่างอย่างเดียว ล่างขึ้นบนก็อาจจะสามารถช่วยให้ตรงจุด เมื่อมารวมกันก็จะเกิดเศรษฐกิจที่ดีเช่นเดียวกัน และประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องกู้ และไม่ต้องสร้างภาระการคลังเพิ่มขึ้น พอมาอภิปรายงบประมาณก็จะน้อยลงทุกปี ๆ” นายพิธา กล่าว

 

เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยในคดีนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีความกังวลบ้างหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ความรู้สึกเหมือนตอนคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ ส่วนที่เราควบคุมได้เราก็ได้ทำเต็มที่

 

นายพิธา ยังกล่าวถึงความคาดหวังที่ให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาตอบกระทู้ถามสภาผู้แทนราษฎร ว่า หากจะคาดหวังกับใครก็จะต้องเริ่มทำที่ตัวเราด้วย หากวันใดวันหนึ่งที่เข้าเป็นรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะต้องกลับเข้ามาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง จึงหวังว่าถ้าเป็นมาตรฐานที่วางไว้ให้กับตัวเอง ก็เป็นบรรทัดฐานที่คาดหวังจากคนอื่นได้

 

ทั้งนี้ ก่อนที่นายพิธาจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เข้าสภาฯ รอบนี้ ไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวติดตลกว่า “ถ้าจะออก ก็ออกไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา