ก้าวไกลหนุนรับหลักการ
“ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ทั้ง 7 ฉบับ “ภัทรพงษ์” ชี้จุดเด่นร่างก้าวไกล
ให้อำนาจ คกก.ตรวจสอบการปล่อยมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ยก
อบจ.หัวเรือแก้ปัญหาระดับจังหวัด ให้อำนาจฟันโทษผู้ประกอบการทั้งทางแพ่ง-อาญา
บวกโทษทางสังคม
วันที่
11 มกราคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
มีวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการจัดการอากาศสะอาดจำนวน 7 ฉบับ ซึ่งถูกเสนอโดยคณะรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล และภาคประชาชน โดย ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์
สส.เชียงใหม่ เขต 8 พรรคก้าวไกล ผู้เสนอ “ร่าง
พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการปล่อยมลพิษข้ามพรมแดน” ของพรรคก้าวไกล
ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่างฯ ก่อนจะเปิดให้สภาฯ อภิปรายร่วมกัน
ภัทรพงษ์ระบุว่า
อากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ ดังนั้น
ประชาชนจึงมีสิทธิในการฟ้องร้องหน่วยงานรัฐที่เพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่
รวมถึงมีสิทธิในการเข้ารับการตรวจสุขภาพ
และได้รับสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งเป็นผลกระทบมาจากฝุ่นพิษ PM2.5
ภัทรพงษ์อภิปรายถึงเนื้อหาหลักในร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล
โดยระบุว่า ร่างของพรรคก้าวไกลกำหนดให้มีการจัดตั้ง
“คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ” ชุดใหม่ ซึ่งขยายบทบาทหน้าที่มาจากคณะกรรมการฯ
ชุดเดิม โดยมีอำนาจในการตรวจสอบรายงานการปล่อยมลพิษทางอากาศของผู้ประกอบการตลอดทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน
(supply
chain) ว่ามีการซื้อวัตถุดิบมาจากแหล่งใด
มีวิธีการกำจัดเศษวัสดุอย่างไร
มีการปล่อยมลพิษระหว่างการขนส่งและกระบวนการผลิตหรือไม่ ทั้งนี้
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะได้รับการสนับสนุน ตรวจสอบ และเร่งรัดการทำงานโดย
“คณะกรรมการกำกับ” ที่ภาคประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
นอกจากนี้
ยังกำหนดให้มีโครงสร้างกรรมการในระดับจังหวัด
โดยร่างของพรรคก้าวไกลมีรายละเอียดที่แตกต่างจากร่างอื่น นั่นคือการให้อำนาจนายก
อบจ.
ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นหัวเรือการขับเคลื่อนในระดับจังหวัด
ขณะที่ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและข้าราชการส่วนภูมิภาคจะเข้ามานั่งเป็นกรรมการ
กรรมการในระดับจังหวัดจะมีอำนาจประกาศเขตฝุ่นพิษอันตราย
มีอำนาจสั่งห้ามกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดฝุ่นพิษเพิ่มเติม
และให้ท้องถิ่นสามารถจัดสรรงบประมาณในการออกมาตรการรับมือ
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษได้
ในด้านบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ
ภัทรพงษ์ระบุว่า ร่างของพรรคก้าวไกลเล็งเห็นความสำคัญในการลดความทับซ้อนของกฎหมาย
โดยข้อกฎหมายที่เคยมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายมลพิษทางอากาศ ยานพาหนะ
โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ จะไม่หยิบเข้ามาซ้ำซ้อนในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่จะให้อำนาจคณะกรรมการกำกับในการเรียกหน่วยงานต่าง
ๆ เข้ามาชี้แจงผลการดำเนินงานในทุกปี และหากหน่วยงานต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
คณะกรรมการกำกับมีอำนาจแทรกแซงและแก้ไขแนวทางการดำเนินการได้
ร่าง
พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังบังคับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดสรรงบประมาณในการดำเนินมาตรการสร้างแรงจูงใจลดการเผาในภาคเกษตร
และกำหนดให้การมอบหมายหน้าที่เป็นไปตามความเหมาะสมของหน่วยงาน เช่น
การเจรจาเรื่องฝุ่นพิษข้ามพรมแดนให้เป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ การพยากรณ์ค่าคุณภาพอากาศล่วงหน้าให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงอุดมศึกษาฯ
และกระทรวงดิจิทัลฯ
การแจ้งเตือนเฉพาะพื้นที่ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงดิจิทัลฯ
เป็นต้น อีกทั้งยังบังคับให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องรายงานผลการดำเนินการ
แผนงาน และผลลัพธ์ทั้งหมดแก่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
และให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินำเสนอรายงานนี้แก่สภาผู้แทนราษฎรในทุก ๆ
ปีด้วย
นอกจากนี้
ภัทรพงษ์กล่าวว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีมาตรการบังคับที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
โดยกำหนดห้ามนำเข้าสินค้าที่มีที่มาจากการเผาทุกชนิด
และมีโทษบังคับใช้กับผู้ที่เป็นเจ้าของ ครอบครอง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
หรือมีส่วนส่งเสริมหรือสนับสนุนการกระทำที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษในประเทศไทยจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ทั้งนี้
สิ่งที่จะทำให้สามารถเชื่อมโยงผู้กระทำผิดไปถึงบทลงโทษได้
ก็คือรายงานผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษ
ซึ่งนอกจากโทษทางแพ่งและทางอาญาแล้ว ยังต้องมีบทลงโทษทางสังคม
โดยผู้ประกอบการหรือองค์กรที่หากได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นต้นตอของการปล่อยฝุ่นพิษ
จะต้องได้รับการเปิดเผยรายชื่อสู่สาธารณะทั้งหมด ส่วนเงินค่าปรับจากการลงโทษนั้น
จะให้เข้าสู่กองทุนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อใช้ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ส่งเสริมงานวิจัย และการทำงานภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ต่อไป
หลังการนำเสนอหลักการและเหตุผลจบลง
ได้มีการอภิปรายต่อเนื่องโดย สส.จากทั้งฟากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
โดยในส่วนของพรรคก้าวไกล ได้มีผู้อภิปรายเพิ่มเติมหลายคน
โดยทั้งหมดต่างสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดทั้ง 7 ฉบับ
โดยย้ำว่าแม้จะมีข้อแตกต่างกันในรายละเอียด
แต่ก็เป็นประเด็นที่สามารถนำไปแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการได้
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากยังเหลือ สส.ที่ต้องอภิปรายอีกหลายคน ประธานสภาฯ จึงสั่งให้นำร่าง
พ.ร.บ.อากาศสะอาดทั้ง 7
ฉบับไปพิจารณาและลงมติต่อในการประชุมสัปดาห์หน้า