‘พริษฐ์’ ชำแหละวิกฤติการศึกษาไทย อยู่ที่ประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณ
แนะผ่าตัดหัวใจงบ 4 ห้อง พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ
หวังรัฐบาลรับไปแก้ไขทันที
วันนี้
(5 มกราคม 2567) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงภาพรวมงบประมาณด้านการศึกษา ในการอภิปรายร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วันสุดท้าย
พริษฐ์
กล่าวว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามฉายภาพให้ประชาชนเห็นตลอด 2-3 วันนี้
คือการตั้งคำถามว่าท่ามกลางวิกฤตต่างๆ ที่รัฐบาลบอกว่าประเทศเรากำลังเผชิญ ทำไมรัฐบาลถึงจัดสรรงบประมาณ
เสมือนว่าวิกฤตเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง
แม้เราอาจมีมุมมองที่ต่างกัน
ว่าบางวิกฤตนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่วิกฤตหนึ่งที่เชื่อว่า สส.
ทุกคนและประชาชนทุกเฉดทางการเมืองนอกสภาฯ
เห็นตรงกันว่าเป็นวิกฤตจริงและเป็นวิกฤตที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศคือ
‘วิกฤตการศึกษา’
ผลการประเมิน
PISA ซึ่งวัดคุณภาพของระบบการศึกษาแต่ละประเทศทั่วโลก
ถูกเผยแพร่ล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ตอกย้ำ 3 วิกฤตของการศึกษาไทยที่เรื้อรังมานาน
วิกฤตที่
1 เรื่องสมรรถนะ หรือการที่ ‘เด็กไทยเรามีทักษะสู้ต่างชาติไม่ได้’
ทักษะของเด็กไทยถดถอยอย่างต่อเนื่องทุกด้านทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
จะอ้างว่าเป็นเพราะโควิด ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะคะแนนของไทยถดถอยมากกว่าประเทศอื่น
ทั้งที่ประเทศเราปิดโรงเรียนน้อยกว่าประเทศอื่นด้วยซ้ำ
วิกฤตที่
2 คือเรื่องความเหลื่อมล้ำ หรือการที่
“เด็กไทยมีโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน”
ช่องว่างทางทักษะของเด็กไทยกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามฐานะทางการเงินของครอบครัว
ใครที่ผู้ปกครองส่งไปเรียนที่โรงเรียนชั้นนำได้
ก็จะมีทักษะสู้เด็กประเทศอื่นได้สบาย ขณะที่เด็กส่วนใหญ่ของประเทศถูกประเมินว่ายังขาดทักษะในการ
“นำความรู้มาใช้งานได้จริง”
วิกฤตที่
3 คือเรื่องความเป็นอยู่หรือการที่ “เด็กไทยไม่มีความสุขในโรงเรียน”
ในด้านสุขภาพกาย เด็กไทยต้องอดอาหาร เยอะเป็นอันดับ 4 ของโลก
โดยเกือบ 3 ใน 10 ต้องอดอาหารอย่างน้อย
1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะไม่มีเงินซื้ออาหาร ในด้านสุขภาพใจ
เด็กไทยรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” ในโรงเรียนสูงเป็นอันดับ 4 ของโลกเช่นกัน
“ถ้านักเรียนในประเทศเราต้องเรียนด้วยความหิวโหยหรือความหวาดกลัว
พวกเขาจะมีกะจิตกะใจมาเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร”
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่คำถามที่น่าชวนคิดต่อ คือทำไมปัญหาเหล่านี้ ยังแก้ไขไม่ได้สักที
ทั้งที่นักเรียนไทยลงทุน “เวลา” เรียนไปเยอะมาก
เรียกได้ว่าเรียนหนักและมีชั่วโมงเรียนสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ทั้งที่ครูไทยลงทุน
“เวลา” ทำงานไปเยอะมากเช่นกัน จนแทบจะเป็นทุกอย่างตั้งแต่นักบัญชี ภารโรง
หรือพ่อครัว-แม่ครัว และประเทศเราก็ลงทุน “งบประมาณ” ไปกับการศึกษา
ไม่น้อยกว่าประเทศอื่น
แต่ลงทุนทั้งทรัพยากร
“เวลา” และ ทรัพยากร “เงิน” ไปขนาดนี้ ทั้งหมดก็ยังนำพาเรามาสู่วิกฤต ณ ปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าปัญหาเราไม่ได้อยู่ที่ “ปริมาณ” ของทรัพยากร
แต่ปัญหาเราอยู่ที่ “ประสิทธิภาพ” ในการจัดสรรทรัพยากรต่างหาก
กล่าวแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา
แต่หากเราไม่ เร่งแก้ “วิธีการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา” หรือ “วิธีการใช้เงิน”
จะเพิ่มงบประมาณไปอีกกี่ล้านบาท จะทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาอีกกี่ครั้ง
ก็แก้ปัญหาการศึกษาในประเทศนี้ไม่ได้
“เหมือนกับคนไข้ที่มีปัญหาที่หัวใจ จะให้เลือดเขาเพิ่มแค่ไหน
ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้
หากเราไม่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
วันนี้จึงต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ชื่อว่างบประมาณการศึกษาโดยแบ่งออกเป็น 4 ห้องหลักตามภารกิจหรือประเภทการใช้จ่าย”
ห้องที่
1 คืองบบุคลากร ที่รวมถึงค่าตอบแทนครูและบุคลากรในโรงเรียนทั่วประเทศ
รวมถึงคนทำงานตามหน่วยงานต่างๆทั้งส่วนกลางและในระดับจังหวัดหรือเขตพื้นที่
ห้องที่ 2 คือเงินอุดหนุนนักเรียน
ที่รวมทั้งการอุดหนุนให้กับโรงเรียนตามโครงการเรียนฟรี 15 ปี
และการอุดหนุนให้กับนักเรียน-ผู้ปกครองโดยตรงผ่าน กสศ. ห้องที่ 3 คืองบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่ครอบคลุมทั้งอุปกรณ์ทางการศึกษา
รถโรงเรียน อาคารเรียน สนามกีฬา เป็นต้น และห้องที่ 4 คือ
งบนโยบาย ที่ใช้ไปกับโครงการต่างๆ ที่รัฐบาล ณ เวลานั้น
เห็นว่าสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษา
เมื่อแบ่งแบบนี้จะเห็นว่า
แม้งบประมาณในภาพรวมค่อนข้างคงที่ เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% หรือประมาณ 1,000
ล้านบาท แต่การจัดงบปีนี้มีความพยายามในการลดงบลงทุนลง 23% หรือกว่า 3,600 ล้านบาท เพื่อเอามาเพิ่มในส่วนอื่นๆ
โดยเฉพาะเงินอุดหนุนนักเรียน อย่างไรก็ตาม ปีศาจอยู่ในรายละเอียดเสมอ
สำหรับห้อง
“งบนโยบาย” ห้องนี้มี “อำนาจ” และ “พื้นที่” มากที่สุดในการปรับเปลี่ยน
“การจัดสรร” หรือ “การออกแบบ” งบประมาณใหม่ได้ทันที
แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่ได้ใช้โอกาสดังกล่าว
เพราะโครงสร้างหรือรูปร่างหน้าตาโดยรวมของงบก้อนนี้ แทบจะเหมือนเดิม
งบนโยบายทั้งหมดยังคงกระจัดกระจายไปตามโครงการต่างๆแบบ
“เบี้ยหัวแตก” เกินครึ่งเป็นโครงการขนาดเล็กที่ใช้งบน้อยกว่า 100 ล้านบาท
โครงการในงบปี 67 แทบจะเป็นโครงการเดิมจากงบปี 66 โครงการกลุ่มเดียวที่ดูจะใหม่จริง
ก็คือโครงการพัฒนาระบบและแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบดิจิทัล
ที่ตั้งงบกระจายไปอยู่หลายหน่วยงาน ใช้งบรวมกันกว่า 600 ล้านบาท
ซึ่งในเมื่อรัฐบาลกำลังจะใช้เงินมหาศาลไปกับโครงการนี้
จึงจำเป็นต้องขอให้รับประกัน 2 อย่าง คือ (1) ต้องรับประกันว่าการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้
จะไม่ซ้ำซ้อนระหว่างแต่ละหน่วยงานที่ตั้งโครงการลักษณะนี้ขึ้นมาใหม่
และจะไม่ซ้ำซ้อนกับทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้ว และ (2) ต้องรับประกันว่า
กระบวนการทั้งหมดจะดำเนินด้วยความโปร่งใส บริษัทที่เข้ามาพัฒนาแพลตฟอร์มนี้
จะถูกคัดเลือกจากผลงานและความคุ้มค่าของสิ่งที่เขานำเสนอ
ไม่ใช่เอาบริษัทที่ลอยมาจากฟ้าเพียงเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่ในกระทรวงฯ
แต่หากเจาะลึกไปในส่วนของโครงการที่มีปัญหาจริงๆ
เห็นว่ามี 2
ประเภทหลักๆ (1) คือโครงการที่ไม่ควรมี
แต่ยังคงมีต่อ เช่น โครงการ “รวมมิตรความดี”
ทุกปีเรามักเสียงบประมาณการศึกษาไปส่วนหนึ่งกับการทำให้เด็ก “ไม่เลว ไม่โกง
ไม่เสพยา” ปีนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม
งบประมาณโครงการเกี่ยวกับจริยธรรมและการต่อต้านการทุจริต รวมกันอยู่ที่ 160
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8%
ตนไม่ได้บอกว่าเรื่องศีลธรรม
เรื่องการทุจริต หรือเรื่องยาเสพติด เป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่ไม่คิดว่าการใช้ทั้งงบ
ทั้งเวลาครู ไปกับโครงการเดิมๆ ที่พยายามปลูกฝังให้นักเรียนเป็น “คนดี”
ผ่านการทำโครงงานคุณธรรม จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดีที่สุด วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการที่ครูพยายามสอดแทรกเรื่องดังกล่าว
เข้าไปในการเรียนการสอนในห้องเรียน
อีกตัวอย่างหนึ่งคือโครงการอบรมครูจากส่วนกลาง
ที่แม้จะมีการปรับลดงบประมาณลงบ้างในปีนี้
แต่จะดีที่สุดหากงบอบรมครูที่ปัจจุบันส่วนกลางเป็นคนตัดสินใจ
ถูกเปลี่ยนมาเป็นการให้งบอบรมครูตรงไปที่ครูแต่ละคนหรือโรงเรียนแต่ละแห่ง
เพื่อให้พวกเขาเลือกเองว่าจะใช้ไปกับการพัฒนาทักษะด้านไหนที่ตอบโจทย์เขาที่สุด
โครงการที่มีปัญหาประเภทที่
2 คือโครงการที่ควรมี แต่กลับยังไม่มีสักที นั่นคือหลักฐานยืนยันจากนายกฯ
หรือรัฐมนตรีว่ารัฐบาลนี้จะผลักดันให้มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ที่เน้นการพัฒนาทักษะ-สมรรถนะให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้
เพราะหากไม่เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ จะหมายความว่าระบบการศึกษาเราจะถูกล็อกอยู่กับหลักสูตรเดิมที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ยาวนานถึง
20 ปี
ในขณะที่ประเทศอื่นมักมีการปรับหลักสูตรครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องทุกๆ 5-10 ปี
ดังนั้น
สำหรับห้องนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องทำอย่างน้อย 3 อย่าง (1) ยกเลิกโครงการที่ไม่จำเป็นเพื่อคืนครูให้ห้องเรียน
และคืนเงินภาษีให้ประชาชน (2) กระจายงบอบรมครูจากส่วนกลาง
ไปให้โรงเรียนและครูตัดสินใจเอง และ (3) เดินหน้าจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะฉบับใหม่ให้สำเร็จ
ไปต่อที่ห้อง
“งบลงทุน” ในภาพรวม
ตนไม่ติดใจที่รัฐบาลเลือกจะประหยัดงบโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนในห้องนี้ลง 23% เพื่อไปเพิ่มเงินอุดหนุนให้กับนักเรียน
แต่พอวิเคราะห์รายละเอียดว่าท่านปรับลดงบลงทุนส่วนไหนและจัดงบลงทุนให้กับใคร
ก็กังวลใจ 2 ประเด็น (1) ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจว่าจะตัดงบลงทุนส่วนไหน
และ (2) ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจว่าจังหวัดไหนจะได้งบลงทุนมาก-น้อยกว่ากัน
หากเราไปดู
“โครงการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์”
ที่เรียกได้ว่าเป็นโครงการลงทุนหลักของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
ที่รับผิดชอบ 83%
ของงบลงทุนทั้งหมดของหน่วยงาน จะเห็นว่างบที่ถูกกระจายไปทั่วประเทศ 955
ล้านบาท
กลับถูกกระจายตัวไปตามจังหวัดต่างๆ
อย่างน่าสงสัย
แม้การกระจายงบอย่างเป็นธรรม
ไม่ได้หมายความว่าทุกจังหวัดจะต้องได้รับงบลงทุนด้านอาชีวศึกษาในปริมาณที่เท่ากัน โดยไม่คำนึงถึงสภาพปัญหาและความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ที่อาจแตกต่างกัน
แต่น่าสงสัยว่าทำไมจังหวัดที่มี สส. เขตจากพรรคเดียวกับรัฐมนตรี
ถึงได้งบสูงกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ 25%
ดังนั้น
เราจำเป็นต้องทำอย่างน้อย 2
อย่าง (1) ประหยัดงบให้ถูกจุด
โดยไม่กระทบกลุ่มเปราะบางหรือซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ (2) กระจายงบประมาณให้แต่ละจังหวัดอย่างเป็นธรรมด้วยเกณฑ์ที่โปร่งใส-ตรวจสอบได้
ต่อไปห้อง
“เงินอุดหนุน” ห้องนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ปกครองทั่วประเทศ
เพราะเป็นห้องที่จะชี้ขาด ว่าการศึกษาในประเทศนี้จะฟรีจริงหรือไม่
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีในเบื้องต้นที่รัฐบาลมีการเพิ่มเงินอุดหนุนทั้งหมดประมาณ
4,396 ล้านบาท หรือ 5.2% ในปีนี้
แต่ต้องยอมรับว่าการศึกษาไทยก็ยังไม่ “ฟรีจริง” เหมือนที่ควรจะเป็น
หากอ้างอิงบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติที่จัดทำโดย
กสศ. ปัจจุบันทุกๆ 100
บาทที่ถูกใช้ไปกับการศึกษา รัฐเป็นคนจ่าย แค่ประมาณ 78 บาท ในขณะที่ผู้ปกครองต้องควักเองอีก 22 บาท รวมกันเกือบ
200,000 กว่าล้านบาท
ตนจึงอยากเห็นรัฐบาลพยายามมากกว่านี้ในการช่วยเหลือผู้ปกครองด้วยการ (1) ขยายเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนยากจนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด
ที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา อย่างน้อย 5,000 ล้านบาท/ปี (2)
ตัดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด
เพื่อลดภาระผู้ปกครอง เช่น
หยุดบังคับเรื่องชุดลูกเสือและเปลี่ยนมาใช้ชุดลำลองหรือชุดพละแทน (3) บริหารจัดการเงินอุดหนุนที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
สิ่งที่ทำได้เลย โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่มสักบาทคือการ “เปลี่ยน” วิธีการอุดหนุนเงิน
จากปัจจุบันที่ถูกล็อกไว้ว่าก้อนไหนใช้กับอะไรได้บ้าง
เปลี่ยนเป็นอุดหนุนแบบไม่กำหนดวัตถุประสงค์ หรือ block grant ซึ่งจะทำให้โรงเรียนมีอิสรภาพมากขึ้น
ในการตัดสินใจว่าจะใช้งบอย่างไรให้ตอบโจทย์
โดยสรุป
เราจำเป็นต้องทำอย่างน้อย 3
อย่าง (1) เพิ่มเงินอุดหนุนให้เด็กยากจนที่เสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
(2) ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและสร้างภาระให้ผู้ปกครอง (3)
อุดหนุนเงินให้โรงเรียนแบบไม่กำหนดวัตุประสงค์เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้
มาที่ห้องสุดท้าย
คืองบบุคลากร แม้เป็นห้องที่ใช้งบเยอะที่สุด
แต่ต้องยอมรับว่าปรับเปลี่ยนงบในระยะสั้นได้ยากที่สุด อย่างไรก็ตาม
ขอตั้งข้อสังเกตไว้ว่าหากเราอยากมีงบประมาณพอสำหรับห้องอื่นในอนาคต
เราจำเป็นที่จะต้องบริหารงบบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการเผชิญหน้ากับ 2 โจทย์ท้าทายใหญ่ๆ
โจทย์ที่
1 คือการแก้ปัญหาเรื่อง “ครูกระจุก โรงเรียนกระจัดกระจาย”
โดยการหาทางออกที่ยั่งยืนเรื่องโรงเรียนขนาดเล็ก และโจทย์ที่ 2 คือการแก้ปัญหาเรื่อง “อำนาจกระจุก การทำงานกระจัดกระจาย” โดยการปฏิรูปโครงสร้างกระทรวง
ให้มีการทำงานที่ซ้ำซ้อนกันน้อยลง และมีการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษามากขึ้น
ซึ่งในส่วนนี้ เราคงจะได้อภิปรายกันเต็มที่ในวันที่พรรคก้าวไกลเสนอร่าง พ.ร.บ.
การศึกษาแห่งชาติเข้าสู่สภาฯในเร็วๆนี้
ห้องนี้เราจำเป็นต้องทำอย่างน้อย
2 อย่าง (1) เร่งหาทางออกเรื่องการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก
(2) ปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อน กระจายอำนาจ
และเพิ่มประสิทธิภาพ
การผ่าตัดทั้ง
4 ห้องนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้หัวใจแต่ละห้อง “แข็งแรง” มากขึ้น
แต่จะยังทำให้หัวใจงบประมาณการศึกษาของเรา “สมดุล” กันมากขึ้นระหว่างแต่ละห้อง
เพราะงบทุกบาทที่เราประหยัดได้จากงบนโยบาย-งบลงทุน-งบบุคลากร
หมายถึงงบที่เราสามารถนำไปเพิ่มให้กับการอุดหนุนนักเรียนได้มากขึ้น
ในอีกมุมหนึ่งหัวใจเราจะ “เต้นตามจังหวะ” ของโรงเรียนและนักเรียน
เพราะแทนที่กระทรวงจะเป็นคนคิดแทนโรงเรียนทั้งหมด สิ่งที่เราเสนอ
จะเป็นการกระจายอำนาจให้โรงเรียนและนักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยงที่สุดคือ
“การทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง”
เช่นเดียวกันวิกฤตการศึกษาที่เราเผชิญอยู่ในวันนี้
มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะถูกแก้ไขได้ด้วยการจัดงบแบบเดิม หรือด้วย “หัวใจดวงเดิม”
“เรายืนยันว่าวิกฤตการศึกษาจะแก้ไขไม่ได้ หากเราไม่ผ่าตัดหัวใจทั้ง 4
ห้องของงบประมาณการศึกษากันใหม่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอที่ผมและพรรคก้าวไกลได้อภิปราย จะไม่เป็นข้อเสนอ
ที่ต้องรอพรรคก้าวไกลมาเป็นรัฐบาล ถึงจะได้เริ่มทำ แต่รัฐบาลชุดนี้
จะเห็นด้วยและรับไปพิจารณาดำเนินการ เพื่อร่วมกันผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
ที่มีชื่อว่างบประมาณการศึกษา และสร้างอนาคตการศึกษาไทยที่ดีขึ้น
สำหรับลูกหลานเราทุกคน” พริษฐ์กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา #งบประมาณ67 #ด้านการศึกษา