“ก้าวไกล” เสนอญัตติตั้ง กมธ.ถ่ายโอนธุรกิจ-ที่ดินกองทัพคืนให้รัฐบาล “เบญจา” เปิดข้อมูล 5 แหล่งขุมทรัพย์ธุรกิจกองทัพที่ตรวจสอบไม่ได้ ทั้งที่ดิน-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ-งบกลาโหม-คลื่นความถี่-พลังงาน ต้นเหตุนายพลเป็นเสือนอนกิน อู้ฟู่หลังเกษียณหลักร้อยล้าน
วันที่ 25 มกราคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล นำโดย เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ ได้เป็นผู้อภิปรายเปิดญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่าง ๆ ของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เบญจาเริ่มต้นอภิปรายโดยระบุว่า เรื่องหนึ่งที่ผู้คนในสังคมมักจะจับตากันคือทรัพย์สินของนายพลหลังพ้นจากตำแหน่ง ดังเช่นครั้งนี้ที่มีการจับตาการเปิดบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในรอบ 9 ปี ซึ่งมีทรัพย์สินของตนและภรรยารวมกันกว่า 130 ล้านบาท ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณแจ้งบัญชีทรัพย์สิน 89 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าอดีต ผบ.ทบ. หลังเกษียณหลายรายมีบัญชีทรัพย์สินมูลค่าสูงมาก บางรายมี 200 ล้านบาท 300 ล้านบาท 500 ล้านบาท และมีรายหนึ่งแจ้งบัญชีทรัพย์สินสูงถึง 800 ล้านบาท
นี่เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างของนายพลผู้มั่งคั่งหลังลงจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. และตำแหน่งทางการเมือง ประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังมีนายพลที่มั่งคั่งอีกกว่า 3,000 นาย ซึ่งรวยกันตั้งแต่หลักสิบล้าน ไปจนถึงหลักร้อยล้าน พันล้าน
เบญจากล่าวต่อไปว่า เมื่อสามวันก่อน โฆษกกระทรวงกลาโหมเพิ่งให้สัมภาษณ์ว่านายพลไทยมีจำนวนทะลุ 2,000 คนไปแล้ว โดยเป็นนายพลที่มีตำแหน่งประจำและกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพ เช่น สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ประมาณ 1,300 นาย ส่วนอีก 700 นายเป็นนายพลที่ไม่ได้รับมอบหมายงานชัดเจน เช่น เป็นเพียงผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ถูกโยกย้ายไปช่วยราชการตามบอร์ดรัฐวิสาหกิจ กรรมการอิสระ กรรมการบริษัทมหาชน ไปออกรอบตีกอล์ฟ สิ้นเดือนก็รับค่าตอบแทนและเบี้ยประชุม
ซึ่งหากคำนวณค่าตอบแทนระดับนายพลที่ต่ำสุดในเงินเดือนระดับ น.6 อยู่ที่ 69,040 บาท เงินค่าบริหารระดับสูง 14,500 บาท ค่าตอบแทนรายเดือน 14,500 บาท และค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดการหารถประจำตำแหน่งกรณีไม่มีรถประจำตำแหน่ง 31,800 บาท ดังนั้น นายพลหนึ่งคนในระดับต่ำสุดจะรับเงินเดือนเป็นจำนวน 129,840 บาท ทำให้ประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินให้นายพลรวม 425 ล้านบาทต่อเดือน และในหนึ่งปีต้องจ่ายเงินในอัตราที่ต่ำสุด 5.1 พันล้านบาท
เบญจาตั้งคำถามว่า นายพลเหล่านี้รับราชการทหารมาทั้งชีวิตเหมือนข้าราชการในอาชีพอื่น ๆ แต่อะไรที่ทำให้นายพลเป็นข้าราชการที่มั่งคั่งได้ถึงเพียงนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเข้ามามีอิทธิพลและตำแหน่งทางการเมืองและทางธุรกิจของทหาร เป็นเส้นทางเศรษฐีของบุคคลระดับสูงในกองทัพ ผ่าน 5 แหล่งขุมทรัพย์ทางธุรกิจ ประกอบด้วย
1) ที่ดินราชพัสดุซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพ
กองทัพไทยคือหน่วยงานที่ครอบครองที่ดินกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ ที่ดินราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์กว่า 12.5 ล้านไร่ กองทัพทั้งสามเหล่าครอบครองไว้จำนวนเกือบ 7.5 ล้านไร่
และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ กองทัพมีสถานีบริการน้ำมัน 150 แห่ง มีสนามกอล์ฟ 74 แห่งซึ่งสร้างรายได้หลายพันล้านบาทต่อปี มีร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัวรายหนึ่งที่ผูกขาดเป็นร้านค้าสวัสดิการในค่ายทหาร มีธุรกิจตลาดนัด กิจการสโมสร โรงแรม สนามมวย สนามม้า รวมไปถึงสถานพักฟื้นพักผ่อนของกองทัพ
นอกจากนี้ กองทัพยังใช้ที่ดินของรัฐไปทำโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อนำไปจัดสรรให้กับกำลังพล เช่น โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ หรือโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โดยได้รับความร่วมมือจากกรมธนารักษ์ด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ากำลังพลคนไหนถ้าจะเข้าร่วมโครงการ ก็ต้องมีนายทหารผู้บังคับบัญชาเป็นคนเซ็นรับรองให้ ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเอาที่ดินของรัฐไปจัดสรรให้กำลังพล ก็เห็นจะมีแต่นายทหารระดับผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
2) การเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ
หลังการรัฐประหารทุกครั้ง จำนวนนายพลที่เข้าไปมีตำแหน่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น สร้างรายได้ต่อปีรวมกันกว่า 5 ล้านล้านบาท โดยหลังการรัฐประหารครั้งล่าสุด มีจำนวนนายพลที่เข้าไปนั่งเป็นประธานในบอร์ดรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า
เบญจายังระบุด้วยว่า มีรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่ประกอบกิจการไม่ตรงกับความชำนาญของบุคลากรจากกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการรถไฟฯ การนิคมอุตสาหกรรมฯ การท่าเรือฯ การท่องเที่ยวฯ ธุรกิจพลังงานอย่าง ปตท. รวมไปถึงบอร์ดธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแม้แต่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งบอร์ดนอกจากมีอำนาจในการกำกับดูแลและบริหารแล้ว ยังได้รับประโยชน์ตอบแทนจากรัฐวิสาหกิจที่ตนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการด้วย บางรายนั่งเป็นบอร์ดหลายแห่งในเวลาเดียวกัน หลายรายได้รับทั้งค่าตอบแทนรายเดือน ค่าเบี้ยประชุม โบนัส เงินเดือนประจำตำแหน่งนายพล ค่าตอบแทนรถประจำตำแหน่ง จนกลายเป็นเส้นทางเศรษฐีของนายพลหลายคนในกองทัพไทยไปแล้ว
ที่น่าสังเกตคือ บอร์ดรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักจะถูกเปลี่ยนแปลงหลังเกิดการรัฐประหารทุกครั้ง คำถามสำคัญคือ รัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะมีความโปร่งใสในการบริหารมากน้อยเพียงใด จะมีการใช้อำนาจที่ทับซ้อน ก่อให้เกิดการเอื้อผลประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องอย่างไรบ้าง เราไม่เคยตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้เลย
3) งบประมาณกระทรวงกลาโหม
ในปี 2548 กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณอยู่ที่ 8.1 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา งบประมาณกระทรวงกลาโหมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2552 และหลังจากการรัฐประหาร 2557 งบประมาณกระทรวงกลาโหมก็เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2563 เป็น 2.3 แสนล้านบาท จึงทำให้เห็นชัดว่า งบประมาณที่กองทัพได้รับสัมพันธ์กับอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ งบประมาณกระทรวงกลาโหมแทบจะไม่เคยได้ปรับลด หรือปรับลดได้น้อยมาก หรือเมื่อปรับลดได้แล้วแต่สุดท้ายก็ไปอนุมัติเพิ่มเติมกันในภายหลัง
นอกจากนี้ยังแทบไม่มีหน่วยงานใดที่เข้าไปตรวจสอบงบประมาณกลาโหมได้ แม้แต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้เกิดการทุจริต มีเงินทอนในโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตั้งแต่โครงการจัดซื้อรถถัง เรือดำน้ำ เฮลิคอปเตอร์ ยานยนต์สรรพาวุธ จีที 200 ที่ใช้งานไม่ได้ หรือแม้กระทั่งโครงการจัดซื้อกางเกงในทหาร
“นี่คือคลังสมบัติที่มาจากงบประมาณจำนวนมหาศาล ส่งผลตามมาด้วยการตั้งบริษัททหารรับงานกองทัพ ทำธุรกิจหากินกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพ ยิ่งมีงบประมาณที่มากขึ้นเท่าไร ก็ย่อมตามมาด้วยภารกิจที่ใหญ่ยิ่งในการนำงบไปลงทุนในธุรกิจ ส่งผลตามมาด้วยทรัพย์สินและอำนาจของทหารระดับนายพลและคนในเครือข่ายที่ก็จะยิ่งใหญ่ตามไปด้วย” เบญจากล่าว
4) สื่อที่อยู่ในมือกองทัพ
ปัจจุบันกองทัพถือครองคลื่นความถี่และประกอบกิจการในระบบวิทยุกระจายเสียงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ รวม 205 คลื่น โดยรายได้ของธุรกิจวิทยุส่วนใหญ่มาจากการขายโฆษณาและค่าเช่าคลื่น แต่ไม่ไม่มีใครทราบตัวเลขรายได้จากธุรกิจวิทยุทั้ง 205 คลื่นของกองทัพเลย
แต่ที่แน่ ๆ ตัวเลขรายได้ยังคงเป็นที่ดึงดูดสำหรับผู้ประกอบการหลายราย จากการที่มีผู้เข้าประมูลคลื่นวิทยุกันอย่างดุเดือดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา มีการประมูลคลื่นไปด้วยเม็ดเงินถึง 700 ล้านบาท โดยที่กองทัพไม่จำเป็นต้องนำส่งคืนคลื่นของตนเองกลับมาจัดสรรใหม่แต่อย่างใด
เบญจายกตัวอย่างสถานีวิทยุ FM 93 MHz คูลฟาเรนไฮต์ และ FM 94 MHz อีเอฟเอ็ม ซึ่งเป็นสถานีวิทยุเรตติ้งอันดับต้น ๆ ในกรุงเทพฯ ที่ยังคงถูกครอบครองโดยกองทัพจนถึงวันนี้ และไม่มีข้อมูลว่าสัมปทานจากการเช่าคลื่นวิทยุนี้มีราคาเท่าใด เท่าที่พอหาได้ก็มีแต่คลื่นไลฟ์เรดิโอ FM 99.5 MHz ซึ่งทำสัญญาเช่าคลื่นวิทยุจากหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นเวลา 2 ปี ด้วยจำนวนเงินทั้งสิ้น 64.8 ล้านบาท นี่เป็นเพียงการเช่าคลื่นหนึ่งคลื่นที่อยู่ในมือกองทัพเท่านั้น ถ้ารวมทั้งหมด 205 คลื่นจะเป็นจำนวนเงินมหาศาลเพียงใด แต่ประชาชนไม่เคยเห็นตัวเลข และไม่เคยได้รับการเปิดเผยใด ๆ จากกองทัพ
เบญจากล่าวต่อไปว่า ตนเข้าใจดีว่าที่ผ่านมากองทัพเคยใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงมาแช่แข็งเวลา แต่ในยุคสมัยนี้ การที่กองทัพจะอ้างเรื่องความมั่นคงไม่น่าจะฟังขึ้นแล้ว สถานีเหล่านี้ได้กลายเป็นคลื่นเปิดเพลงเพื่อความบันเทิง และไม่เคยมีเนื้อหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการป้องกันประเทศอีกแล้ว
นอกจากนี้ กองทัพยังคงเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล (MUX) รายใหญ่ที่สุดในประเทศแบบผูกขาด หลังจาก กสทช.อนุมัติใบอนุญาตต่อเวลาให้เพิ่มอีก 15 ปีหลังการรัฐประหาร ต่อมา กสทช.ยังอนุมัติให้กองทัพได้รับใบอนุญาตการให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัลเพิ่มอีกหนึ่งใบ เพื่อแลกกับการไปเจรจากับคู่สัญญาสัมปทานอย่างบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (BBTV) ให้ย่นระยะเวลาสัมปทานของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ลง เพื่อช่วยให้การยุติทีวีระบบอนาล็อกเร็วขึ้น
โครงข่ายโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล (MUX) ยังถือเป็นขุมสมบัติสำคัญของกองทัพ ที่ช่องทีวีดิจิทัลจะต้องมาเช่า ททบ.5 เพื่อใช้แพร่ภาพกระจายเสียง โดยมีค่าเช่าประเภทช่องความคมชัดสูง (HD) อยู่ที่เดือนละ 10.5 ล้านบาท และค่าเช่าประเภทช่องความคมชัดปกติ (SD) อยู่ที่เดือนละ 3.5 ล้านบาท โดยช่องที่ใช้โครงข่ายฯ ของกองทัพมีอยู่ 14 ช่อง แบ่งเป็นช่องความคมชัดสูง 5 ช่อง และช่องความคมชัดปกติ 9 ช่อง เท่ากับว่า ททบ.5 ได้เงินค่าเช่าโครงข่ายฯ 1,008 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมกับค่าโฆษณา ค่ารับจ้าง และบริการอื่น ๆ อีกหลายพันล้านบาทต่อปี แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่เคยปรากฏชัดในเอกสารใด ๆ เลย
เบญจาระบุอีกว่า รายได้นี้มาจากการที่ กสทช.ไปเปลี่ยนเงื่อนไขให้ ททบ.5 สามารถหารายได้จากการโฆษณาและแสวงหากำไรได้ โดยสามารถมีการโฆษณาได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 8-10 นาที เท่ากับทีวีดิจิทัลธุรกิจ ปัจจุบันกองทัพจึงกลายเป็นเสือนอนกิน รับรายได้จากคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ ฟันกำไรมหาศาล ผูกขาดโดยไม่ต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นเลย
“ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะคืนสมบัติที่เป็นสาธารณะอย่างขุมทรัพย์สื่อ ทั้งสถานีโทรทัศน์และวิทยุ คืนสิทธิการจัดสรรทรัพยากรในการสื่อสารให้กับประชาชน” เบญจากล่าว
5) ธุรกิจพลังงานของกองทัพ
กองทัพเป็นอีกหนึ่งกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจพลังงาน ทั้งธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจไฟฟ้า และโซล่าร์ฟาร์ม จากข้อมูลกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และกรมการพลังงานทหาร ระบุไว้ว่า ปัจจุบันกองทัพสามารถผลิตน้ำมันดิบที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ได้ปีละ 3.65 แสนบาเรล เมื่อคำนวณด้วยราคากลางย้อนหลัง 60 ปี (50 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล) จะนับเป็นมูลค่าปีละ 625 ล้านบาท และหากคำนวณตามระยะเวลาที่ดำเนินการมาแล้ว 68 ปี จะคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4.43 หมื่นล้านบาท
กองทัพอ้างว่าผลผลิตเหล่านี้ดำเนินการภายในกรมการพลังงานทหาร เอาไว้ใช้เพื่อป้องกันประเทศและเพื่อความมั่นคงในเขตทหาร แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่าขุมทรัพย์ใต้ดินที่กองทัพผลิตได้มีปริมาณเท่าใด ใช้ภายในกองทัพเท่าใด ขายออกไปสู่ตลาดภายนอกเท่าใด มีการส่งออกไปที่ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานรัฐในรูปแบบการค้าหรือไม่ ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีการเปิดเผย หลายครั้งกรรมาธิการงบประมาณขอดูรายได้จากส่วนการขายน้ำมันนี้ แต่กองทัพก็ไม่เคยนำส่งรายได้หลายหมื่นล้านบาทนี้เข้ากระทรวงการคลัง
เบญจาระบุต่อไปว่า กองทัพยังมีธุรกิจไฟฟ้าในครอบครอง โดยกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ที่ตั้งขึ้นมากว่า 84 ปีแล้วโดยฐานทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตใช้เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้กับหน่วยงานราชการทหารและหน่วยราชการฝ่ายพลเรือนในเขตพื้นที่ทหารเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ได้มีการขยายเขตเหล่านี้เข้าไปบริการให้ประชาชนได้ใช้ โดยวันนี้มีประชาชนมากกว่าแสนคนที่ต้องใช้ไฟจากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ
แต่ด้วยขีดความสามารถและความชำนาญของกองทัพที่มีอยู่จำกัด จึงสร้างปัญหากระแสไฟฟ้าตกและดับบ่อย เครื่องใช้ไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ก็ได้รับความเสียหายโดยไม่เคยมีใครรับผิดชอบ ตามมาด้วยราคาค่าไฟที่แพงและสูงมากกว่าปกติ ตนจึงเห็นว่ากองทัพควรปล่อยวางจากธุรกิจไฟฟ้าได้แล้ว ทบทวนบทบาทที่แท้จริงของตัวเอง และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีขีดความสามารถและความชำนาญเข้ามาจัดการตามบทบาทหน้าที่ดีกว่า
เบญจาอภิปรายต่อไปถึงกรณีโซลาร์ฟาร์ม โดยระบุว่าเมื่อปี 2552 การก่อตัวและการลงทุนด้านพลังงานของกองทัพปรากฏเด่นชัดขึ้น เมื่อมีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการพลังงานทหาร โดยให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการพลังงานทหาร รวมถึงมีอำนาจในการเข้าไปร่วมลงทุนหรือจัดตั้งบริษัท เพื่อให้ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทำให้ในปี 2558 กองทัพบกจึงริเริ่มนำที่ดินราชพัสดุที่อยู่ในครอบครองจำนวน 4,000 ไร่มาผลิตไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกันกับเอกชน ตั้งโซลาร์ฟาร์ม 310 เมกะวัตต์ โดยมีการขอให้กระทรวงพลังงานเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มในที่ดินกองทัพบกเพิ่มอีก และขยายโครงการอีกกว่า 20 แห่ง
นโยบายการสนับสนุนรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มเป็นรายได้จำนวนมหาศาลมาก ถ้ายึดตามช่วงเวลา ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3 บาทต่อหน่วย ในระยะเวลา 25 ปีโครงการโซลาร์ฟาร์มของกองทัพจะมีรายได้กว่า 3.34 หมื่นล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2564 กองทัพบกและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยังได้ร่วมกันศึกษาพัฒนาการลงทุนโซลาร์ฟาร์มบนที่ดินราชพัสดุ 600,000 ไร่ เพื่อให้รองรับการผลิตโซลาร์ฟาร์มได้ 30,000 เมกะวัตต์ โดยนำพื้นที่ของกองทัพบกทั่วประเทศกว่า 4 ล้านไร่มาพัฒนาและบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตไฟฟ้ายาวนานต่อเนื่องไปอีก 25 ปี
อย่างไรก็ตาม ขุมทรัพย์มหาศาลจากการลงทุนในพลังงานทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏต่อสาธารณะว่าจะจัดสรรให้นายพลคนใด กองทัพได้ไปเท่าใด กรมธนารักษ์จะได้ไปในสัดส่วนใด และคงเหลือคืนคลังเท่าใด
เบญจาอภิปรายทิ้งท้ายว่า ธุรกิจกองทัพที่ตนได้อภิปรายไปทั้งหมด เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศนี้ แม้ว่าวันนี้พรรคก้าวไกลจะเป็นเพียงฝ่ายค้าน ยังไม่สามารถที่จะผลักดันนโยบายปฏิรูปกองทัพให้สำเร็จเป็นจริงได้ แต่การตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อศึกษาการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพ จะเป็นประตูบานแรกที่จะทำให้สภาผู้แทนราษฎรได้ร่วมกันพิจารณาอย่างจริงจังว่า กองทัพมีความจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาล มีค่ายทหารตั้งอยู่บนที่ดินใจกลางกรุงเทพฯ และผูกขาดการทำธุรกิจที่ทำธุรกิจต่าง ๆ ถึงเวลาหรือยังที่ต้องมีการปฏิรูปกองทัพ คืนทหารให้ประชาชน คืนนายพลกลับไปทำงานในกองทัพ และคืนธุรกิจกองทัพหลายหมื่นล้านบาทให้กับรัฐบาล ปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมกลับไปเท่าก่อนรัฐประหาร แล้วประเทศไทยจะมีงบประมาณเพิ่มหลายแสนล้านบาท เพื่อมาเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน
“ถ้างบประมาณและทรัพยากรของประเทศนี้ถูกจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกที่ถูกทาง ไม่กระจุกตัวอยู่แค่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่จัดสรรผลประโยชน์โดยให้ประชาชนเป็นที่ตั้ง วิธีการเช่นนี้จะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้ การปฏิรูปกองทัพกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องคือเรื่องเดียวกัน” เบญจากล่าว
ท้ายที่สุด ที่ประชุมสภาฯ มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่าง ๆ ของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 25 คน และกำหนดระยะเวลาการพิจารณา 90 วัน โดยกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกลมีจำนวน 6 คน ได้แก่ 1) เบญจา แสงจันทร์ 2) เชตวัน เตือประโคน 3) จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ 4) กิตติพงษ์ ปิยะวรรณโณ 5) รศ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ และ 6) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ธุรกิจกองทัพ #ประชุมสภา