“กมธ.สันติภาพชายแดนใต้” ลงพื้นที่ปัตตานี รับฟังเสียงสะท้อน
ผลกระทบความไม่สงบ คนพื้นที่พ้อ เยียวยาไม่ทั่วถึง ขอรัฐเดินหน้าแก้ปัญหา
สร้างความเป็นธรรม คืนความปกติสู่พื้นที่
วันที่
19 มกราคม 2567 จาตุรนต์ ฉายแสง
ประธานกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้
นำกรรมาธิการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้
ที่จังหวัดปัตตานี โดนเชิญตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธ
ภาคประชาสังคม หน่วยงานราชการ ศอ.บต. และนักธุรกิจ รวมถึงเยาวชนในพื้นที่ มาให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้
รอมฎอน
ปันจอร์ สส. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ ให้ความเห็นว่า
ปัญหาที่เห็นชัดเจนในการมารับฟังความเห็นจากประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม
ก็คือทั้งสองกลุ่มเห็นตรงกันว่าการสร้างสันติภาพที่ผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพ
ประชาชนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ชาวพุทธในพื้นที่เองก็อพยพออกจากพื้นที่ จนปัจจุบันเหลือเพียงหลัก 100,000 กว่าคน
หรือประมาณ 15% ของประชากรเท่านั้น
หลายปัญหาประชาชนประสบเหมือนกันไม่ว่าจะศาสนาใด เช่นการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึง
ระเบียบราชการยุ่งยาก ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ประชาชนที่มาให้ข้อมูลหลายคนให้การตรงกันว่าเจอประสบการณ์บาดเจ็บรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล
ยังไม่หาย แต่ต้องรีบออกมายื่นใบรับรองแพทย์ให้ราชการ
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้เงินเยียวยา
นอกจากนี้ยังมีประชาชนตกหล่นจากระบบเยียวยาจำนวนมาก
จนผู้มาให้ข้อมูลตั้งข้อสงสัยว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกกันหรือไม่
เนื่องจากผู้จะได้รับเงินเยียวยา ต้องได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่สามฝ่าย
(พนักงานฝ่ายปกครองระดับอำเภอ ตำรวจ ทหาร)
ว่าเกิดจากความขัดแย้งในพื้นที่จริงหรือไม่
นอกจากนี้
ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจต่อความขัดแย้งในพื้นที่ เยาวชนคนหนุ่มสาว
รวมถึงคนสูงอายุ ต่างไม่แน่ใจว่าตนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่มีสาเหตุจากอะไร
ใครขัดแย้งกับใคร ได้แต่อยู่อย่างหวาดระแวง
เนื่องจากไม่มีการให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ หน่วยงานราชการก็ไม่ได้ให้ข้อมูลตรงกัน
ทำให้ผลที่ตามมาคือประชาชนหลายรายออกปากว่าไม่รับรู้ถึงความสำคัญของการเจรจา
และไม่เชื่อว่าการเจรจาสันติภาพจะสามารถคืนชีวิตปกติสุขให้กับคนในพื้นที่
หรือมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้จริง โดยเสียงสะท้อนจากประชาชน
มองว่าสันติภาพสำหรับพวกเขา คือความไม่เหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียมทางโอกาส การศึกษา
การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความเป็นธรรมให้กับคนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ
รอมฎอนระบุว่าการรับฟังความเห็นครั้งนี้
กรรมาธิการจะรวบรวมความคิดเห็นและนำไปปรับเป็นข้อเสนอต่อรัฐบาล
และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเขียนรายงานของคณะกรรมาธิการต่อไป
เพื่อให้ได้แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างสันติภาพที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการตลอดทาง
ได้สันติภาพที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนต่อไป
ด้านพรรณิการ์
วานิช โฆษกกรรมาธิการ เปิดเผยว่า จากการรับฟังความเห็นภาคประชาสังคม
พบแนวโน้มที่ย่ำแย่ลงของการเยียวยาเด็กกำพร้าที่ตกหล่นจากระบบ
โดยเฉพาะเด็กที่พ่อแม่เป็นผู้ต้องขัง มีหมายจับ หรือเสียชีวิตจากการก่อเหตุ
ซึ่งเด็กเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐ
ไม่มีแม้แต่การเก็บข้อมูลว่ามีจำนวนเท่าไหร่
มีเพียงองค์กรเอกชนและภาคประชาสังคมที่ช่วยดูแลตามอัตภาพ มิหนำซ้ำ
องค์กรที่ดูแลเด็กๆ เหล่านี้ยังถูกรัฐเพ่งเล็ง ไปจนถึงถูกดำเนินคดี
ถูกมองว่าให้ความช่วยเหลือผู้ก่อการ เช่นกรณีเพจพ่อบ้านใจกล้า ที่เปิดระดมทุนไปให้ความช่วยเหลือเด็กๆ
และครอบครัวผู้ก่อการ ก็ถูกดำเนินคดี
พรรณิการ์ยืนยันว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นลูกหลานของผู้ก่อการจริงหรือไม่
ไม่ใช่ประเด็น เพราะเด็กไม่สามารถเลือกเกิดได้ และพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
การที่รัฐไม่ให้ความช่วยเหลือ
และยังพยายามไม่ให้องค์กรภาคประชาสังคมช่วยเหลือเด็กและครอบครัวผู้ก่อการ
จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกคับแค้นใจ ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เท่ากับการเติมฟืนในกองไฟไม่มีที่สิ้นสุด และขัดขวางการสร้างสันติภาพในพื้นที่
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนใต้ #กรรมาธิการ