แผนลดนายพลยุค "บิ๊กทิน" คึกคักแรงจูงใจชวนเออรี่ก่อนเกษียณเพียบ คาดเข้าสภากลาโหมเดือนหน้ามั่นใจโครงการปีนี้นายพลแฮปปี้แน่นอน
วันที่
11 มกราคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง
เปิดเผยกรณีนโยบายการปรับลดจำนวนนายพลทุกเหล่าทัพ ในตำแหน่ง
ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ของนายสุทิน คลังแสง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า
รัฐมนตรีได้กำชับให้แต่ละเหล่าทัพเร่งทำความเข้าใจกับกำลังพลในโครงการนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อลดจำนวนนายพลในตำแหน่งดังกล่าวเกินความจำเป็น
ลงกว่า 50% ภายใน 3 ปี หรือเหลือน้อยกว่า 300 คน ในปี 2570
ซึ่งที่ผ่านมามีชั้นนายพลประมาณ 2,000 นาย โดยเป็นกำลังหลักประมาณ 1,300 นาย ซึ่งกำลังหลักจำเป็นต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ความมั่นคงของโลกและในภูมิภาค
รวมทั้งรูปแบบในยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีสงครามไซเบอร์หรือ Cyber warfare และเรื่องอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนจำนวนนายพลในตำแหน่งประจำกว่า
700 นาย ได้เริ่มดำเนินการมาก่อนแล้วซึ่งคาดว่าจะเป็นผลสัมฤทธิ์เป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ได้กำหนดนโยบายเร่งรัดให้มีผลสัมฤทธิ์ ในช่วงรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในปี 2568
- 2570 โดยนายพลในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ
จะต้องลดลงให้เหลือน้อยที่สุดตามความจำเป็นของกองทัพ
อีกทั้งยังให้นโยบายสร้างแรงจูงใจในการลดจำนวนชั้นยศ “พันเอก (พิเศษ)”
ที่จะขึ้นไปเป็น “นายพล” ในอนาคต ให้ลดลงอีกกว่า 570 อัตรา
เพื่อให้สอดรับกับตำแหน่งนายพลที่จะลดลงไปด้วย
“เป็นวิสัยทัศน์ของ
รมว.ฯ ที่ให้นโยบายในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แก้ปัญหาการลดนายพล
แต่ฐานนายพันเอกพิเศษยังมีมาก ก็จะไปสร้างปัญหาใหม่ในอนาคต ซึ่งนโยบายนี้
กองทัพยังสามารถปฏิบัติงาน
และอาชีพทหารยังมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าได้อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กองทัพอีกด้วย
” มั่นใจโครงการเออร์รี่นายพลผู้รับใช้ชาติต้องอยู่ดีมีเกียรติ คาดก.พ.
นี้นำเข้าสภากลาโหมก่อนชงเข้าครม.ทันในงบปีนี้
นายจิรายุ
กล่าวต่อไปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ได้กำชับให้จัดทำนโยบายสร้างแรงจูงใจให้นายทหารเกษียณก่อนกำหนด Early Retire เช่น การจ่ายเงินชดเชย หรือ "เงินก้อน" ประมาณ 7 แสนบาท
ขึ้นอยู่กับชั้นยศ และเวลารับราชการ
ซึ่งจะมีสูตรคำนวณชัดเจนรวมทั้งสิทธิบำเหน็จ/บำนาญก็จะได้รับตามปกติซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์
และกำลังใจต่อกำลังพลของกองทัพ
เมื่อตัดสินใจในช่วงนี้
ถือว่าได้สิทธิประโยชน์มากที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการที่ผ่าน ๆ
และในการบริหารของรัฐบาลจะสามารถลดภาระงบประมาณประเทศในระยะยาวอีกด้วย
.
ส่วนความคืบหน้าถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำรูปแบบข้อเสนอแรงจูงใจต่าง
ๆ แล้ว อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
โดยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะนำเข้าที่ประชุมสภากลาโหม จากนั้นจะนำเข้า
ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติ “แผนและกรอบงบประมาณ”
เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันปีนี้ดังนั้น
ในช่วงการเกษียณอายุราชการของข้าราชการในเดือนตุลาคม 2567 นี้
สำหรับโครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณของกระทรวงกลาโหมประมาณ 600 ล้านบาท ภายใน 3 ปี
(2568 - 2670) หรือเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี
นายจิรายุ
กล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมากองทัพจะมีแผนปรับลดจำนวนนายพล “ระยะยาว” ปี 2551 - 2571
แต่นโยบายครั้งนี้ จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย รวดเร็วขึ้น “ภายใน 3 ปี”
โดยเน้นกลุ่มพลตรี - พลโท - พลเอก ในตำแหน่ง ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ -
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ “ทุกเหล่าทัพ”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาพบว่าในช่วงรัฐบาล คสช. ปี 2557 - 2561
เคยทำโครงการเกษียณก่อนกำหนด “ทุกชั้นยศทุกตำแหน่ง”
โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 26,000 ตำแหน่ง
จึงเชื่อว่าโครงการลดนายพลครั้งนี้จะได้รับการตอบรับดีอย่างแน่นอน นายจิรายุกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงกลาโหม #ปรับลดนายพล #สภากลาโหม