“ก้าวไกล” ตั้งกระทู้ถามคมนาคม “แลนด์บริดจ์”
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้จริงหรือไม่ “มนพร” แจง อยู่ระหว่างการศึกษาทุกมิติ
ยันรับฟังทุกความเห็น “สุรเชษฐ์” ซัด ยังไม่ชัดเจนสักเรื่อง แต่นายกฯ
ไปเร่ขายทั่วโลกแล้ว
วันที่
18 มกราคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สุรเชษฐ์
ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ในกรณีโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน หรือ
“แลนด์บริดจ์” ซึ่งรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ มนพร เจริญศรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มาเป็นผู้ตอบคำถามแทน
สุรเชษฐ์อภิปรายก่อนการถามคำถาม
โดยระบุว่า แลนด์บริดจ์เป็นโครงการที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
เพราะเป็นโครงการร่วมทุนที่ใหญ่ที่สุดด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท
ใหญ่กว่าโครงการเรือธงทั้ง 5 โครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) รวมกัน และนายกฯ
ก็ได้นำโครงการนี้ไปขายนักลงทุนทั่วโลก ทั้งจีน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอเมริกา
มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์
สุรเชษฐ์ย้ำว่า
ตนเข้าใจถึงเจตนาดีของนายกฯ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่อยากเห็นการพัฒนาประเทศและภาคใต้
ซึ่งพรรคก้าวไกลก็อยากเห็นประเทศพัฒนาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
เราต้องถกเถียงกันด้วยข้อมูลและเหตุผลอย่างมีวุฒิภาวะและเป็นวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่กล่าวหาอีกฝ่ายว่าไม่อยากเห็นการพัฒนา ไม่รักชาติ เข้าข้างสิงคโปร์
ซึ่งเป็นการถกเถียงแบบไม่สร้างสรรค์
สุรเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า
สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ คือคำสองกลุ่ม ได้แก่
“อยากได้หรือไม่อยากได้” ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนบุคคล กับ
“ควรทำหรือไม่ควรทำ”
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไตร่ตรองเมื่อพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ดังนั้น
การจะตอบคำถามว่าโครงการแลนด์บริดจ์ควรทำหรือไม่ควรทำ
นี่คือสาเหตุที่รัฐจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษา เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ออกแบบ
หาทางแก้ปัญหาทั้งในแง่ของวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญก็คือ
ที่ปรึกษาต้องมีจรรยาบรรณ ศึกษาอย่างจริงจังและเป็นกลาง
ไม่ใช่ปั้นตัวเลขเพื่อตอบโจทย์ตามธงของหน่วยงานเจ้าของโครงการ
สุรเชษฐ์ย้ำว่า
แก่นกลางของเรื่องแลนด์บริดจ์คือ “เวลา” และ “ค่าใช้จ่าย” ของสายการเดินเรือ
ซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่จะมาใช้เส้นทางแลนด์บริดจ์แทนช่องแคบมะละกา
รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าแลนด์บริดจ์จะทำให้ลดเวลาและค่าใช้จ่ายได้จริง
ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะมีสายการเดินเรือหันมาใช้บริการ
ซึ่งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่จะใช้ในการศึกษาโจทย์ลักษณะนี้
ย่อมหนีไม่พ้นแบบจำลองโลจิต (Logit Model) หรือการประมาณการเปรียบเทียบระหว่างกรณี
“มี” หรือ “ไม่มี” โครงการ
โดยหากไม่มีการคำนวณแบบนี้ก็ถือว่าการศึกษานี้ไม่ตอบโจทย์
แต่ตนก็เชื่อว่าหน่วยงานศึกษาก็คงจะต้องมีการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์แบบนี้
จึงขอให้รัฐมนตรียืนยันว่ามีการใช้ Logit Model แบบนี้จริง ๆ
หรือหากมีวิธีอื่นใด ก็ควรเปิดเผยข้อมูลเพื่อมาถกเถียงกันด้วยเหตุผล
เพราะหากจะพิจารณาว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่
ต้องดูว่าอะไรอยู่ในแบบจำลองทางเลือก (Discrete Choices) ที่สมมติมาในแต่ละคู่
O-D (ต้นทาง-ปลายทาง) ปีฐาน และปีอนาคต
ซึ่งควรจะมีการเปิดเผยทั้งหมด
แต่สิ่งที่อยู่ในรายงานของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
ตอนนี้มีแต่ตัวเลขที่น่าประหลาดใจ เช่น มีการคำนวณคู่ O-D จากตะวันออกกลาง
ไปเอเชียใต้, จากแอฟริกา ไปเอเชียใต้, จากยุโรป
ไปเอเชียใต้
ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าเส้นเดินเรือเหล่านี้จะมีโอกาสมาใช้ท่าเรือฝั่งระนองจริงหรือไม่
และจะมามากน้อยแค่ไหน หรือคู่ O-D จากออสเตรเลียไปตะวันออกไกล
ก็มีคำถามว่าเขาจะแวะมาใช้ท่าเรือชุมพรทำไม
ดังนั้น
รัฐมนตรีต้องสั่งการให้เปิดเผยข้อมูลที่ใช้ในการประมาณการ
เพราะยอดสุดท้ายที่ปรากฏดูสูงเกินเป็นไปได้
ส่วนตัวเลขที่ร่ำลือกันว่าประหยัดเวลาได้ 2-3 วันก็เป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน
แม้ระยะทางจะสั้นลงแต่ก็เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ลัดมากแบบคลองปานามาหรือคลองสุเอซ
อีกทั้งยังต้องเสียเวลายกสินค้าขึ้นเพื่อเดินทางบนบก
เสี่ยงต่อความเสียหายหรือสูญหาย แล้วยังต้องไปยกลงอีกรอบที่ท่าเรืออีกฝั่ง
แม้แต่สมาคมเดินเรือก็บอกว่าระยะเวลาจะใช้นานขึ้นและแพงขึ้นแน่นอน
เพราะทำให้เรือต้องเทียบท่าและใช้เวลาในการขนถ่ายประมาณ 7-10 วันในแต่ละฝั่ง
เพื่อยกตู้ขึ้นฝั่งและยกตู้สินค้าในแต่ละเที่ยวกลับ
ซึ่งจะทำให้สายการเดินเรือต้องเพิ่มเรือในเส้นทางอีกอย่างน้อย 1.5 ลำขึ้นไป เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีก
สุรเชษฐ์อภิปรายต่อไปว่า
การศึกษาที่ดีต้องคิดในแง่ปฏิบัติการด้วย ตู้ไหนของบริษัทใด ตู้ไหนหนัก ตู้ไหนเบา
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียงสินค้า 2 หมื่นตู้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แม้จะมีระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาช่วย
แต่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการใช้ช่องแคบมะละกา
และก็ยังมีช่องแคบซุนดาและช่องแคบลมบกที่เป็นทางเลือกอีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสายการเดินเรือจะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ที่จะทำให้สายการเดินเรือส่วนหนึ่งหันมาใช้แลนด์บริดจ์ในปริมาณที่มากพอ
สุรเชษฐ์ยังกล่าวด้วยว่า
ผลการศึกษาจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ชี้ชัดว่าไม่คุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางเศรษฐกิจและการเงิน
และยังมีข้อเสนอว่าควรปรับรูปแบบธุรกิจ (Business Model) โดยลดขนาดโครงการลงเหลือเพียงบทบาทสนับสนุนการผลิตและการค้าของไทย
ภายใต้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดขนาดโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนไปได้อย่างมาก
ลดความเสี่ยงจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบต่อชุมชนและการเวนคืน แต่ตอนนี้
รัฐบาลกลับทำในทิศทางตรงกันข้าม คือจะเพิ่มขนาดโครงการ แถมรูปแบบธุรกิจก็ไม่ชัดเจน
แต่ไปเร่ขายทั่วโลก
ดังนั้น
สุรเชษฐ์ตั้งคำถามแรกต่อรัฐมนตรีว่า
แลนด์บริดจ์จะร่นระยะเวลาและค่าใช้จ่ายได้เท่าใด ขอให้รัฐมนตรีชี้แจงมาให้ชัด ๆ
เอาสักหนึ่งเส้นทางหลัก คือจากตะวันออกไกล (ประเทศจีนฝั่งตะวันออก) ไปยุโรป
เพราะโครงการนี้คาดว่าผู้มาใช้หลักคือการถ่ายลำข้ามฝั่งมหาสมุทร (Transshipment) รัฐมนตรีต้องตอบว่ากรณีไม่มีโครงการจะใช้ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายเท่าใด
และกรณีที่มีโครงการ
เมื่อเทียบกันระหว่างการไปทางช่องแคบมะละกากับการผ่านแลนด์บริดจ์
จะใช้ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายต่างกันเท่าใด
ด้านมนพร
ได้ตอบคำถามแรกของสุรเชษฐ์ โดยระบุว่า
โครงการแลนด์บริดจ์ถูกออกแบบมาเพื่อลดระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่ง
เนื่องจากปัญหาความคับคั่งในช่องแคบมะละกา
ทำให้เรือต้องลดความเร็วในการเข้าจอดที่ช่องแคบ
อีกทั้งยังมีปัญหาของการถูกปล้นในช่องแคบมะละกา ดังนั้น จะมีการขนส่งสินค้าในเส้นทางยุโรป-เอเชียใต้เข้ามาใช้งานแลนด์บริดจ์แน่นอน
เพราะปัจจุบันมีสินค้าบางส่วนถูกส่งมาที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกา
ก่อนส่งต่อขึ้นเรือฟีดเดอร์ไปยังประเทศในเอเชียใต้อยู่แล้ว เช่น
อินเดียด้านตะวันออก บังกลาเทศ และเมียนมา
นอกจากนั้น
เส้นทางจากเอเชียตะวันออกที่จะไปประเทศออสเตรเลีย
ปัจจุบันมีการขนส่งสินค้าจากจีนไปออสเตรเลียทางเรือโดยตรงก็จริง
แต่จีนมีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก และมีหลายพื้นที่ที่ไม่ติดทะเล เช่น จีนตอนใต้
ซึ่งจะเห็นว่ามักมีการขนส่งผ่านมาทางบังกลาเทศ ลาว และเชื่อมมายังฝั่งประเทศไทย
ดังนั้น
แลนด์บริดจ์จะทำให้การขนส่งตู้สินค้าจากจีนตอนใต้ออกไปทางทะเลร่นระยะเวลาได้เร็วขึ้น
และมีโอกาสที่ตู้สินค้าจากจีนตอนใต้จะมาออกที่ท่าเรือฝั่งระนองและชุมพร
มนพรยังตอบด้วยว่า
ท่าเรือในช่องแคบมะละการองรับเรือขนส่งสินค้าได้หลากหลายประเภท ทั้งเรือขนาดใหญ่
ขนาดกลาง และเรือฟีดเดอร์
ซึ่งรัฐบาลกำลังทำการศึกษาในเรื่องของประเภทเรือที่เหมาะสมอยู่
รวมทั้งประมาณการด้านตู้สินค้า ว่าเรือขนาดใดเหมาะสมกับเส้นทางใด
ทั้งนี้
ไม่ใช่ทุกเส้นทางที่มาใช้แลนด์บริดจ์แล้วจะประหยัดเวลา จากการศึกษาข้อมูลขณะนี้
การขนส่งโดยเรือขนาดใหญ่ไม่ประหยัดกว่าทั้งหมด จึงมีการนำกลับมาศึกษาใหม่
และพบว่าเส้นทางที่ขนส่งสินค้าโดยใช้เรือฟีดเดอร์เท่านั้นที่จะประหยัดในช่วงแรก
แต่ในระยะยาวหากมีจำนวนตู้สินค้าเพิ่มมากขึ้น
ก็มีโอกาสที่เรือขนาดใหญ่จะเข้ามารับตู้สินค้าในฝั่งท่าเรือระนอง
เพราะไม่ไกลจากเส้นทางเดินเรือในปัจจุบัน
ต่อการตอบคำถามข้อที่หนึ่งของรัฐมนตรี
สุรเชษฐ์กล่าวว่า
รัฐมนตรีระบุว่าเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่เข้ามาใช้แลนด์บริดจ์จะไม่ประหยัดกว่าการใช้เส้นทางเดินเรือหลัก
แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าในรายงานของ สนข.
มีการคาดการณ์ว่าผู้ใช้งานแลนด์บริดจ์ส่วนใหญ่กว่า 80% จะเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มาถ่ายลำข้ามฝั่งมหาสมุทร
(Transshipment) แต่ท่านตอบว่าไม่ประหยัด ก็ขอบันทึกไว้ ณ
ที่นี้ด้วย
มนพรแย้งว่า
การที่ตนตอบว่าไม่ประหยัดนั้น
หมายความว่าถ้ามีการศึกษาโครงการแล้วพบว่ามีเส้นทางเดินเรือใดที่ไม่ประหยัด
ก็ต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาทบทวน
ประเมินว่าเส้นทางที่ไม่ประหยัดเหล่านั้นจะทำอย่างไรให้มีความคุ้มค่ามากขึ้น
และทำให้ผู้ประกอบการพอใจว่าสามารถลดต้นทุนได้จริง
ในส่วนของคำถามที่สอง
สุรเชษฐ์ขอถามรัฐมนตรีให้ชัด ๆ ว่าสรุปแล้ว โครงการนี้รองรับสินค้าเทกองหรือไม่
และจะมีการสร้างท่อส่งน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันด้วยหรือไม่
มนพรตอบคำถามว่า
ในส่วนของสินค้าเทกอง ท่อส่งน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันนั้น
ทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการศึกษา
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีโรงกลั่นหรือสินค้าประเภทใดเข้าสู่โครงการบ้าง
ทั้งหมดยังคงเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
ยังไม่มีส่วนของรายละเอียดที่ลงไปถึงรายสินค้า ทั้งนี้
ในส่วนของท่อส่งน้ำมันและโรงกลั่น ทาง สนข.
ระบุว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่ท่าเรือสำหรับบริษัทเดินเรือขนาดใหญ่ต้องมีการวางท่อไว้สำรอง
แต่ทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการศึกษา และผลของการศึกษายังไม่เสร็จสิ้น
ถ้าเสร็จสิ้นเมื่อใดทางรัฐบาลจะนำมาชี้แจงและรายงานความคืบหน้าในทุกมิติต่อไป
สุรเชษฐ์กล่าวหลังฟังคำตอบของรัฐมนตรี
โดยระบุว่า ทั้งหมดที่รัฐมนตรีตอบมา ตนได้คำตอบคือทุกอย่างยังไม่ชัดเจน
จะประหยัดเวลาหรือไม่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ประหยัดจริงก็เดี๋ยวจะทบทวน
แต่ปัญหาคือนายกรัฐมนตรีเอาไปเร่ขายทั่วโลกแล้ว
แน่นอนว่าทั้งตนและพรรคก้าวไกลอยากเห็นประเทศพัฒนา
แต่ท่านก็ควรศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน
ในส่วนของคำถามที่สาม
สุรเชษฐ์ระบุว่า ต้นทุนที่สำคัญของโครงการแลนด์บริดจ์คือการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 6 ช่องจราจร
1.25 แสนล้านบาท รถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร
4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งลงทุนโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย
อีกทั้งยังมีการสร้างรถไฟทางคู่ขนาด 1.435 เมตร อีก 5.76
หมื่นล้านบาท ที่ตลกคืออะไร ๆ ก็ยังไม่ชัดเจน แต่จะสร้างไว้ก่อน
แล้วยังสร้างใหญ่มาก
การลงทุนที่มหาศาลเช่นนี้
สนข.อ้างว่าอัตราผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการ (EIRR) อยู่ที่
16.18% ตัวเลขนี้เอามาจากไหน
ต้องพิสูจน์กันหน่อยว่าปั้นตัวเลขกันมาอย่างไร
รวมถึงการที่บอกว่าอัตราผลตอบแทนภายในทางการเงินของการลงทุน (FIRR) จะอยู่ที่ 4.67% แล้วยังจะทำ PPP Net Cost (ภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ภาคเอกชนรับผิดชอบงานส่วนที่เหลือ)
จำนวน 1.4 ล้านล้านบาทด้วย
รัฐบาลแน่ใจหรือว่าจะเดินไปในแนวทางนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริง
และหลายโครงการที่ผ่านมาก็เห็น ๆ กันอยู่ว่ามีการปั้นตัวเลขให้สูงเกินจริง
คำถามคือรัฐจะต้องยกที่ดินสัมปทานให้กับนายทุนกี่ไร่ และนานแค่ไหน
ขอให้ชี้แจงมาให้ชัดเจนด้วย
สุรเชษฐ์อภิปรายต่อไปว่า
ตนเข้าใจดีว่าหลายคนอยากได้โครงการแลนด์บริดจ์
แต่ขอให้ไตร่ตรองให้ดีว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เอาเหตุผล เอาตัวเลข
มาถกเถียงกันอย่างมีเหตุมีผลและเป็นวิทยาศาสตร์
ทุกอย่างที่มีผลตอบแทนก็มักมีต้นทุนตามมาด้วย หลายคนอาจคิดว่าต่างชาติเขาจะมาลงทุนให้
แต่อย่าลืมว่ามันมีต้นทุนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนสูญเสียที่ดิน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มากเกินจำเป็น มลพิษทางทะเลและชายฝั่ง
หรือแม้กระทั่งปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์
รัฐบาลควรเปิดข้อมูลแล้วมาถกเถียงกันให้ตกผลึกก่อน
ตนและพรรคก้าวไกลก็อยากเห็นการพัฒนาเช่นกัน
แต่เรื่องนี้ต้องเอาแนวคิดการพัฒนาพื้นที่เป็นตัวตั้ง
ไม่ใช่จะทำโครงสร้างคมนาคมขนาดใหญ่โตแต่สุดท้ายแทบไม่มีคนมาใช้
เหมือนโครงการที่ล้มเหลวในอดีตจากการขายฝันที่ใหญ่เกินจริง
ไม่ว่าจะเป็นโครงการแลนด์บริดจ์แนวเส้นทางเดิม (กระบี่-ขนอม)
ด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ หรือท่าเรือระนอง ที่มีอยู่แล้วแต่แทบไม่มีคนมาใช้
สูญเสียทั้งเงินและเวลา แต่ผู้รับเหมารวยไปแล้วบนความทุกข์ร้อนของประชาชน
“สุดท้าย ขอให้พวกเราทุกคนไตร่ตรองให้ดีว่าโครงการนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ
ไม่ใช่แค่ตัวเองอยากได้ แต่ต้องไตร่ตรองให้ดี
ดูผลการศึกษาให้ดีว่าโครงการนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ เพื่อประเทศชาติของเรา
ความคุ้มค่าและโปร่งใสสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ด้วย” สุรเชษฐ์กล่าว
ด้านมนพรได้ตอบคำถามสุดท้าย
โดยระบุว่า โครงการใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนรัฐบาลย่อมต้องศึกษาอยู่แล้ว
จึงได้มีการเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร นำมาสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ
มีการศึกษาและให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย มีการลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็น
เชิญผู้ได้รับผลกระทบมาให้ความเห็น
เมื่อสรุปในชั้นกรรมาธิการแล้วก็จะมีการนำมาให้สภาฯ
พิจารณาว่าจะรับผลการศึกษาหรือไม่ หากเห็นชอบ
รัฐบาลก็จะดูว่ามีเนื้อหาสาระที่จะทำโครงการเหล่านี้หรือไม่
ถ้าตั้งโครงการเริ่มตนมาแล้วก็ต้องมาขอเงินจากสภาฯ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารตามกระบวนการ
ส่วนที่สุรเชษฐ์ถามว่ามีการปั้นตัวเลขสูงเกินจริงหรือไม่
เมื่อเข้าสู่สภาฯ ท่านสามารถอภิปรายตัดงบได้ตามที่เห็นสมควร ส่วนกรณีที่ถามถึง PPP Net Cost 1.4 ล้านล้านบาท
ตนจะขอรับข้อเสนอดังกล่าวไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม
ซึ่งกำลังทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่ในขณะนี้
โดยทุกประเด็นความห่วงใยตนขอน้อมรับและนำไปใส่ในกรณีการศึกษาทุกมิติต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #เพื่อไทย #แลนด์บริดจ์ #ประชุมสภา