‘ภัทรพงษ์’ ผิดหวัง รัฐบาลจัดงบแก้ฝุ่นไม่สะท้อนความรุนแรงของปัญหา
มีแต่คำพูด แต่ไม่ให้งบประมาณ แนะข้อเสนอ ‘แปลนตึก 5 ชั้น’
แก้ฝุ่นพิษทั้งโครงสร้าง คืนอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่ประชาชน
วันที่
4 มกราคม 2567 ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง
พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วันที่สอง
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ เขต 8 พรรคก้าวไกล
พูดถึงงบจัดการปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ที่แม้รัฐบาลจะยกให้เป็นวาระแห่งชาติ
แต่เมื่อดูในเอกสารงบประมาณ กลับน่าผิดหวัง เพราะไม่ได้สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหา
ไม่ทำให้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาตามที่พูดไว้
ภัทรพงษ์ระบุว่า
เอกสารงบประมาณรายจ่าย เปรียบเสมือนการบอกภารกิจพร้อมตัวเลขงบประมาณที่รัฐบาลจะทำให้กับประชาชน
เป็นหลักฐานพิสูจน์สิ่งที่นักการเมือง ผู้บริหารประเทศ หรือคณะรัฐมนตรีได้เคยพูด
เคยแถลง เคยสัญญากับประชาชน คนจะพูด พูดอะไรก็ได้
แต่สิ่งเดียวที่โกหกประชาชนไม่ได้คือตัวเลขงบประมาณ
ตนเคยอภิปรายในวันแถลงนโยบายของนายกฯ
เมื่อเดือนกันยายน 2566
ว่าปัญหานี้ ต้องแก้ทั้งโครงสร้าง
โดยวันนั้นได้เปรียบเทียบเป็นการสร้างตึก 5 ชั้น
ที่เริ่มตั้งแต่การวางฐานรากด้วยข้อกฎหมาย จากวันนั้นถึงวันนี้
พรรคก้าวไกลยื่นร่างกฎหมาย 4 ร่าง โดยเฉพาะร่าง
พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการก่อมลพิษข้ามพรมแดน ที่จะมีส่วนช่วยทำให้ตึก 5 ชั้นตึกนี้มั่นคงได้
อย่างไรก็ตาม
การสร้างชั้น 1-5
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ทั้งโครงสร้าง ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารด้วย
จึงจะขอสํารวจงบประมาณของรัฐบาล ดูว่าสิ่งที่รัฐบาลพูดไว้ มีอะไรบ้างที่อยู่ในร่าง
พ.ร.บ. งบฯ และมีอะไรบ้างที่พูดอย่างเดียวแต่ไม่คิดจะทำ
ในชั้นที่
1 สาธารณสุข น่าผิดหวังมากที่งบประมาณสาธารณสุข
มีโครงการเกี่ยวข้องกับประเด็น PM2.5 เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
แผนยุทธศาสตร์จัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม 298 ล้านบาท ฟังดูดี
แต่เข้าไปดูในรายละเอียด 292 ล้านเป็นโครงการยกระดับโรงพยาบาล
Green and Clean ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากฝุ่นพิษ
ส่วนอีก 6.2 ล้านบาทเป็นของกรมอนามัยที่ปีนี้ตั้งเป้าจะลดจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจให้ได้
5%
ซึ่งพอไปเจาะดูตัวเลขงบประมาณให้ละเอียดขึ้น
ก็จะเหลือเพียง 2.8
ล้านบาทเท่านั้นที่เป็นโครงการเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษอากาศ
เงิน 2.8 ล้านบาทนี้
เทียบเท่ากับโครงการจัดซื้อเครื่องวัดค่า PM2.5 และ PM10
เครื่องเดียว ที่จังหวัดสระบุรี กับวิกฤตที่กระทบสุขภาพ
และพรากชีวิตคนที่เรารักไป รัฐบาลจัดงบได้แค่นี้หรือ
ทั้งที่ปัญหานี้มีความรุนแรง
ข้อมูลจากกรมการแพทย์ อัตราส่วนโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดอยู่ในภาคเหนือ ปี 2556-2560 ตัวเลขของมะเร็งปอดอยู่อันดับ 2 ของทั้งเพศชายและหญิง
แต่เมื่อเทียบกับภาคอื่น พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด ภาคเหนือนําห่าง
ทั้งที่เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรผู้สูบบุหรี่
ภาคเหนือมีอัตราผู้สูบบุหรี่น้อยที่สุดในประเทศ จากข้อมูลทั้งหมดแสดงว่า
ผู้ชายภาคเหนือมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าภาคอื่นๆ 1.4 เท่าและผู้หญิงภาคเหนือก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าที่อื่นๆ
ถึง 1.7 เท่า ทั้ง ๆ ที่ตัวเลขผู้สูบบุหรี่ในภาคเหนือ
มีน้อยกว่าตัวเลขผู้สูบทั่วประเทศถึง 10%
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภาคเหนือ
ในปี 2566
มียอดผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจทั้งประเทศอยู่ที่ 6,826,577 คน กว่าครึ่งของผู้ป่วยทั้งหมดอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน
ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งเกินค่ามาตรฐาน
“ประชาชนเขาไม่ต้องดูตัวเลขพวกนี้
เพราะพวกเขาเจอปัญหานี้ด้วยตัวเองกันไปแล้ว แต่รัฐบาลต้องเข้าใจตัวเลขพวกนี้ก่อน
ถึงจะจัดงบประมาณไปแก้ปัญหาได้ ท่านจัดงบมาแบบนี้ อดสงสัยไม่ได้ว่า
ท่านเข้าใจปัญหาของประชาชนบ้างหรือเปล่า เปลี่ยนจากดูแลปัญหาปากท้อง
มาดูแลปอดของประชาชนบ้างได้ไหม”
เมื่อมาดูว่า
ครม. มีแนวทางอย่างไรในด้านนี้บ้าง หนึ่ง ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำห้องปลอดฝุ่น
แต่งบ 67 ไม่มี งบ 65 66 ก็ไม่มี ในอดีตมีเพียงการใช้งบจาก
สสส. องค์การอนามัยโลก และการรณรงค์ให้ภาคประชาชนเข้าร่วมโครงการแบบอาสาเท่านั้น
ตัวเลขยอดรวมปัจจุบัน กรมอนามัยแจ้งไว้ที่ 1,178 แห่ง
แต่เมื่อเช้านี้ผมเข้าเว็บไซต์กรมอนามัยยังขึ้นโชว์ที่จังหวัดเชียงใหม่เพียง 4
จุดเท่านั้น
สอง
ประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ งบประมาณไม่เห็นเช่นเคย
ทุกวันนี้เห็นแต่เครือข่ายมลพิษออนไลน์ที่จะช่วยประเมินสุขภาพพร้อมให้คำแนะนําผ่าน
LINE
official แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าถึงระบบออนไลน์ได้ เพราะฉะนั้น
ต้องเสริมมาตรการออนกราวน์ โดย อสม. เข้าไปด้วย
โดยทั้งหมดต้องเตรียมงบประมาณในการแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นพิษ
และจัดงบประมาณการเฝ้าระวังโรคและสุขภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5
อย่างรุนแรง
เหมือนที่รัฐบาลจัดโครงการลักษณะเดียวกันนี้กับเขตพื้นที่ EEC ที่ไม่ได้มีความรุนแรงขนาดภาคเหนือด้วยซ้ำ
นี่คือข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อทำให้ชั้นสาธารณสุขนี้เกิดประโยชน์สูงสุดจากงบประมาณของรัฐบาล
สะท้อนปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับในชั้นที่
2 ไฟเกษตร ตนตั้งความหวังไว้สูงมาก เพราะ รมว.เกษตรฯ เป็นอดีตประธาน
กมธ.วิสามัญการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างเป็นระบบ
ซึ่งในผลการศึกษาของ กมธ. ชุดนั้น
ชัดเจนว่ารัฐต้องมีนโยบายเพิ่มแรงจูงใจและมาตรการควบคุมการลดการเผาในด้านการเกษตรที่ชัดเจน
เมื่อมาดูงบปี
67 มีโครงการสำหรับพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือที่เจอปัญหาฝุ่นพิษอย่างรุนแรงมาตลอด
วงเงิน 15.12 ล้านบาท เพื่อลดการเผามาทำปุ๋ยหมัก
โดยมีเป้าหมายว่าจะลดการเผาภาคการเกษตรในพื้นที่ 21,000 ไร่
ในขณะที่ ครม. วางเป้าหมายว่าจะลดการเผาพื้นที่เกษตรลงร้อยละ 50
พอมาดูข้อมูลพื้นที่เผาไหม้ภาคการเกษตรทั้งหมดของ
9 จังหวัดภาคเหนือ อ้างอิงจาก GISTDA ปี 2566 ตัวเลขอยู่ที่ 237,867 ไร่
เพราะฉะนั้นโครงการนี้ตั้งเป้างบประมาณที่มุ่งเป้าเพียงแค่ 2 หมื่นต่อ 2 แสน หรือ 10% เท่านั้น
และไม่เห็นโครงการอื่นที่มีเป้าหมายเช่นนี้แล้ว
นั่นหมายความว่า
ที่พูดไว้ว่าจะลดการเผาหลักแสนไร่ แต่ตั้งงบมาแค่สองหมื่นไร่
ทำไมมันไม่เหมือนที่คุยกันไว้ แม้จะบอกว่า เรามีโครงการส่งเสริมการหยุดเผา 9.7 ล้านบาท
และมีโครงการเฝ้าระวังการเผาซากพืชอีก 7 ล้านบาท แต่ 2
โครงการนี้ตั้งงบเท่ากับปี 66 เป๊ะ และงบกว่า 3
ใน 4 ค่อนไปที่การอบรมสัมมนาอย่างเดียว
ที่ประชุม
ครม. ยังพูดไว้อีกหนึ่งประเด็น
คือระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผา งบ 4.5 ล้านบาทเท่านั้น
น้อยกว่างบประมาณโครงการกว๊านพะเยาหลาย ๆ โครงการเสียอีก
นอกจากนี้
จากผลการศึกษาของ กมธ. ที่ รมว.เกษตรฯ เคยนั่งเป็นประธาน ยังมีผลการศึกษาว่า
ธ.ก.ส. ต้องมีมาตรการการจูงใจเกษตรกรให้ไม่เผาด้วย แต่เมื่อดูงบประมาณ ธ.ก.ส.
ด้านนี้ โครงการอุดหนุนเกษตรกรชาวสวนอ้อยไม่เผา 442 ล้านบาท
ดูรายละเอียดแล้วเป็นการจ่ายย้อนหลังให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปี 63 และ 64
อีกหนึ่งต้นเหตุของไฟเกษตร
คือข้าวโพดอาหารสัตว์ ไม่มีงบประมาณสักบาทเดียว
ทั้งที่อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรพูดเอง ว่าเราต้องทำระบบกำหนดเขตที่ดินสำหรับข้าวโพดอาหารสัตว์ภายใต้มาตรการเขตเกษตรเศรษฐกิจ
จัดทำโครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูงทั้งหมด ทำการเกษตรแบบไม่เผา
แล้วทำระบบรับรองสินค้าการเกษตรแบบไม่เผาด้วย
“ที่ท่านอธิบดีพูด มาถูกต้องทุกอย่าง แต่พูดอย่างเดียว ไม่มีในงบประมาณเลย”
งบประมาณจัดทำมาตรฐาน
GAP ก็ไม่ต่างอะไรกับปี 66 หนำซ้ำงบประมาณกระทรวงเกษตรฯ
ก็ถูกปรับลดจาก 1.26 แสนล้านบาท เป็น 1.18 แสนล้านบาท
“ท่านนายกฯ ผมทราบว่าท่านลงไปมอบนโยบายให้กรมต่างๆในกระทรวงเกษตรฯ
จัดการปัญหา PM2.5 ที่ต้นตอ มีแต่คำสั่งมา แต่เงินไม่มี
วิกฤตแบบไหน ท่านจึงจัดงบแบบนี้”
โดยใจชั้นที่
3 ไฟป่า ปีนี้เราเห็นงบประมาณด้านไฟป่าเพิ่มขึ้น
แต่ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆ ด้าน ทั้งที่เรามีข้อมูล มีความรู้หมด
ยกตัวอย่างข้อมูลทางดาวเทียม
พฤติกรรมพื้นที่เผาไหม้รายเดือนตั้งแต่ปี 2563-2566 ของภาคเหนือ
ระบุอย่างชัดเจนว่าไฟป่ามักเริ่มต้นจากจังหวัดตาก มาที่ลำพูนและเชียงใหม่ตอนใต้
พื้นที่เผาไหม้สะสมของจังหวัดเชียงใหม่ในปี 63 และ 66
ก็แสดงพื้นที่เฝ้าระวังให้เราอย่างชัดเจน ว่าจุดไหนหนักหรือเบา
แต่ทําไมเราทำอะไรกับมันไม่ได้ ทําไมไม่เคยมี action plan ที่ต่อเนื่องและจริงจัง
อีกทั้งสิ่งที่เป็นปัญหาหลักของไฟป่ามาตลอด
คืองบประมาณจัดหาอุปกรณ์ป้องกันการดับไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร
ตรงนี้ก็ยังไม่ชัดเจน
-
งบประมาณ 80.8 ล้านบาทในการเพิ่มจุดเฝ้าระวังไฟป่า
1,000 จุดในเขตพื้นที่อุทยาน ก็ยังคลุมเครือว่า 80,000
บาทต่อจุดนั้น เป็นการจัดทำระบบ sensor หรือระบบการตั้งหน่วยของอาสาสมัคร
-
งบสำหรับโดรนตรวจจับความร้อนเพื่อช่วยในการระบุตำแหน่งของไฟที่ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดับไฟได้อย่างถูกจุด
ก็ยังไม่เห็นในรายละเอียด
แต่สิ่งที่ตนผิดหวังมากที่สุด
คืองบประมาณยังคงกระจุกที่ส่วนกลาง ไม่ได้กระจายมายังคนที่อยู่ใกล้ปัญหามากที่สุด
นั่นก็คือท้องถิ่น
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นของบในการป้องกันและจัดการไฟป่าไปทั้งหมด
1,709 ล้านบาท สำหรับ อปท. 2,368 แห่ง แต่กลับได้งบมา 50
ล้านบาทเท่านั้น ตัวเลขนี้ไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้วเลย
งบห้องปลอดฝุ่นก็ไม่มีให้ท้องถิ่น งบไฟป่าก็ไม่มีอีก
ท้องถิ่นในพื้นที่ป่าก็มีงบประมาณต่อปีน้อยอยู่แล้ว
จะเอางบประมาณที่ไหนมาจัดการปัญหานี้
“ท่านนายกฯ จะให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องควักกระเป๋ากันเอง
เพื่อหาทุนมาดับไฟป่าอย่างนั้นหรือ”
อ้างอิงจาก
GISTDA พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนที่เผาไหม้ในปี 2566 ของเชียงใหม่จังหวัดเดียวอยู่ที่
1 ล้านไร่ แม่ฮ่องสอน 1.7 ล้านไร่
กี่ปีต่อกี่ปีมาแล้วที่เราเห็นว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานและกรมป่าไม้
มีไม่เพียงพอต่อการดับไฟป่า
และหลายครั้งก็ไม่สามารถเข้าถึงจุดดับไฟได้ไวเท่ากับคนในพื้นที่
“ผมหวังว่าเราจะไม่ได้เห็นพี่น้องของเราที่เข้าไปดับไฟ
โดยที่ไม่ได้รับอุปกรณ์การป้องกันใด ๆ จากงบประมาณของรัฐบาล
ขอให้ท่านนายกชี้แจงให้ท้องถิ่นทั่วประเทศได้ฟัง ว่าทำไมท่านถึงตัดงบท้องถิ่นลงเยอะขนาดนั้น
และทําไมเราจึงไม่สามารถจัดสรรงบประมาณด้านไฟป่าให้คนที่อยู่ใกล้ปัญหามากที่สุดได้”
สำหรับชั้นที่
4 การแจ้งเตือนและการเก็บข้อมูล เพื่อสามารถพยากรณ์ค่า PM2.5 ล่วงหน้าได้แม่นยํามากขึ้น เราจำเป็นต้องมีเครื่องวัดระดับความสูงชั้น PBL
หรือชั้นบรรยากาศที่อยู่ใกล้ผิวโลก
ชั้นบรรยากาศนี้คือชั้นที่มลพิษไม่สามารถผ่านได้ ทำให้หากชั้นบรรยากาศนี้ตำลงเท่าไร
ความหนาแน่นของฝุ่นละอองก็จะมาก
ขึ้นเท่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เราได้เห็นสิ่งนี้ในงบประมาณรายจ่ายเสียที
แต่สิ่งที่ผิดหวังคือในงบ
67 นี้ เรากลับมีโครงการเพียงแค่ กทม. ที่เดียวเท่านั้น
และในแผนงบประมาณผูกพันปี 67-68 วงเงิน 127 ล้านบาท จะทำได้แค่ 3 ที่ คือ เชียงใหม่ สงขลา และ
กทม.
ในส่วนการแจ้งเตือน
เราได้เห็นงบประมาณการแจ้งเตือนผ่านสัญญาณโทรศัพท์ 135 ล้านบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(ปภ.) ซึ่งคาดว่าจะเป็นการทำ Cell broadcast entity เพื่อจัดการข้อมูลเตือนภัยและส่งข้อความไปยัง
cell broadcast center ซึ่งตรงนี้ตนยังไม่เห็นในเอกสารงบประมาณฉบับนี้
ดังนั้นขอแนะนําให้กระทรวงดิจิทัลฯ
ใช้งบการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (Universal Service
Obligation) ของ กสทช. จัดทำไปเลย เพื่อให้การแจ้งเตือนภัยด้วยระบบ cell
broadcast สามารถเริ่มต้นได้ก่อนปี 2568 เรื่องนี้ขอฝากทางกระทรวงมหาดไทยไปยังกรม
ปภ. เพราะปัจจุบันแค่ app thai disaster alert ยังแจ้งเตือนกันไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้ายังเป็นแบบนี้
ต่อให้มีเทคโนโลยี เราก็ไม่มีข้อมูลไปแจ้งเตือนประชาชน
.
นอกจากนี้
ขอเสนอแนะเพิ่มเติมคือการใช้ภาพถ่ายทางดาวเทียมเพื่อประเมินปริมาณใบไม้ร่วง จะทำให้เราประเมินถูกว่าในพื้นที่ไหนมีใบไม้แห้งที่เป็นเชื้อเพลิงมากหรือน้อย
และทำให้เราสามารถวางแผนจัดทำแนวกันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะจากข้อมูลทางดาวเทียม มีแนวกันไฟหลายแนวที่ทำขึ้นมาโดยอ้างอิงจากข้อมูลในอดีต
ทำให้เสียทั้งแรงกายและงบประมาณ แต่หากนําเทคโนโลยีมาใช้ประมวลผล
จะใช้งบประมาณในการทำแนวกันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยดับไฟตั้งแต่ต้นลม
คือ sensor
detect ไฟป่า เคยมีงานวิจัยไปทดลองที่ลำพูนมาแล้วว่าการแจ้งเตือนไฟป่าให้คนในพื้นที่เข้าไปดับได้ตั้งแต่แรกเริ่มนั้น
จะสามารถลดความรุนแรงและการลุกลามของไฟได้ ทั้งหมดนี้คือเหตุผล
ว่าทําไมเราถึงต้องกระจายงบประมาณในการดับไฟไปยังคนที่อยู่ใกล้ปัญหาอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และชั้นที่
5 ศูนย์บัญชาการ ขอตั้งคำถามถึงรัฐบาล คือในปีนี้
รัฐบาลจะแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นพิษให้ประชาชนด้วยวิธีใด
และเกณฑ์การแจ้งเตือนอยู่ที่เท่าไร
นอกจากนี้ในส่วนระหว่างประเทศ
หรือฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
กระทรวงการต่างประเทศตั้งเป้าลดความเสี่ยงผลกระทบจากภัยธรรมชาติและจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้วยงบประมาณ 797.5
ล้านบาท แต่ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย มีเพียงแค่ 2 ตัวชี้วัดลอย ๆ ก็คือข้อเสนอของไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ 80%
และความสำเร็จของไทยในการจัดหารือสัมมนา
ตลอดจนพัฒนามาตรฐานภายในประเทศให้เป็นสากล 70%
“ขอถาม รมว.ต่างประเทศ ว่าท่านจัดงบประมาณตรงนี้มาเพื่ออะไร
ต่อให้เราผ่านตัวชี้วัดทั้งสองตัวนี้
ก็ไม่ได้แปลว่าเราสามารถลดความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศได้เลย”
จากการประชุม
ครม. มีมติให้กระทรวงต่างประเทศดำเนินการเจรจาประเทศเพื่อนบ้านตามกลยุทธ์ฟ้าใสหรือว่า
CLEAR sky
strategy ที่เริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว
แต่ไม่เคยเห็นผลลัพธ์แม้แต่ตัวอักษรเดียว
ตนจึงขอเสนอแบบนี้
-
C commitment ดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียน
เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านแล้วตั้งเป้า
หมายจำนวนจุดความร้อนในปี
2567 และ 2568 ให้ชัดเจน
-
L Leverage ใช้ข้อตกลง ASEAN ไม่ว่าจะเป็นหมอกควันข้ามแดนหรือ
ATIGA ในการต่อรองแก้ไขประกาศการนําเข้าข้าวโพดอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านให้เอื้อกับประโยชน์ของประชาชน
ไม่ใช่ประโยชน์ของนายทุน และกำหนดมาตรฐานของหนังสือรับรองสินค้าว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่วมกันใหม่ให้ชัดเจนในด้านการเผาหรือการก่อให้เกิดฝุ่นพิษ
-
E experience sharing แลกเปลี่ยนการฝึกอบรมอาสาระหว่างประเทศ ทำอาสาข้ามพรมแดน
-
A air quality network ทำฐานข้อมูลให้ครอบคลุมเครือข่ายประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อช่วยในระบบการแจ้งเตือนในพื้นที่ชายแดนและการลุกลามของไฟในแนวเขตป่าติดต่อระหว่างประเทศ
-
R response รับมือกับฝุ่นพิษข้ามพรมแดนโดยการลงทุน sensor ตรวจไฟป่า สนับสนุนงบประมาณช่วยประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผา
และนําส่วนนี้เข้าไปเพิ่มน้ำหนักในการต่อรอง เป็น leverage ในชั้นตัว
L อีกทางหนึ่ง
จากเอกสารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
ฝุ่นพิษ PM2.5
ที่นายกฯ ยกให้เป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่เราได้เห็นคือ
-
งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณสุข ที่จัดมาโดยไม่ได้สะท้อนถึงวิกฤตปัญหา
-
งบไฟเกษตรที่มีแต่คําพูด แต่กลับไม่มีเงิน
-
งบไฟป่าที่ยังคงกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง ไม่ได้กระจายสู่ท้องถิ่น
ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลชุดที่แล้ว
-
งบการพยากรณ์และการแจ้งเตือนที่ทำให้เรายังวิ่งตามเทคโนโลยีมาตรฐานสากลไม่ทันและติดขัดในภาคปฏิบัติ
-
งบการบัญชาการ ที่นอกจากจะไม่ได้กระจายอำนาจแล้ว
งบฝุ่นพิษข้ามแดนก็ยังคลุมเครือ
จึงหวังว่าวันนี้
รัฐบาลจะนําสิ่งที่ตนอภิปรายเสนอแนะไปพิจารณาแก้ไข เพราะถ้าจะจัดงบกันแบบนี้
ทางแก้มีทางเดียวคือต้องจุดธูปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาวนาให้ธรรมชาติ
ทุเลาเบาบางไปกว่าเดิม ถ้าธรรมชาติปรานี ประชาชนก็พ้นภัย
แล้วก็ต้องสวดมนต์อ้อนวอนให้ประเทศเพื่อนบ้านเลิกเผาด้วย แต่ก็ไม่รู้จะเลิกหรือไม่
เพราะทุกวันนี้รัฐยังไม่มีมาตรการใด ๆ
กับการนําเข้าข้าวโพดอาหารสัตว์ที่มีที่มาจากการเผาเลย
ซึ่งส่วนนี้
ขอให้ รมว.พาณิชย์ เร่งดำเนินการพิจารณาตามข้อเสนอแนะที่ตนเสนอผ่านกระทู้สดไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาด้วย
ในอีกไม่กี่สัปดาห์
เราจะเจอกับปัญหา PM2.5
ที่รุนแรงอีกครั้ง
จะรอดูว่าประชาชนพอจะมีความหวังกับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ได้หรือไม่
ประชาชนภาคเหนือกําลังรอตัดสินท่านอยู่
ตนและพรรคก้าวไกลจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
และหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ให้ความสนใจกับประเด็นนี้เพียงแค่ช่วงที่มีปัญหา แต่พอฝุ่นเบาบางลง
ก็ปล่อยปละละเลยไม่วางแผนเตรียมการใดๆ อย่างเช่นที่ผ่านมา
“ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ปี 2567 นี้
ของขวัญที่ประชาชนอยากได้จากท่านคงไม่ใช่คําอวยพร หรือคํามั่นสัญญาใด ๆ
แต่ของขวัญที่ประชาชนอยากได้ คืออากาศบริสุทธิ์ที่พวกเขาสามารถหายใจได้ เด็กๆ
ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านได้ และเราไม่ต้องยิ้มให้กันภายใต้หน้ากากอนามัย ขอแค่เท่านี้
มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน” ภัทรพงษ์กล่าว