"นายกฯ" แจงสภาฯ ยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ เดินหน้า
"โครงการแลนด์บริดจ์" พร้อมเปิดรับฟังความเห็นทุกฝ่าย
มุ่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
วันนี้
(4 มกราคม 2567) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทน ราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม
เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน
3.48ล้านล้านบาท วาระแรก วันที่สอง ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์
สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลจัดงบประมาณปี 68 พัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ เพราะหัวใจสำคัญ นอกจากจะทำให้จีดีพีเพิ่มแล้ว
ยังทำให้เกิดจ้างงานในพื้นที่ ทั้งยังสร้างความเจริญหลังท่าเรือ และพื้นที่รอบ ๆ
โครงการ
ทั้งนี้ความคิดเชื่อมทะเลระหว่างอ่าวไทยกับอันดามันมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระนารายณ์มีดำริขุดคลองเชื่อมทะเล เพื่อให้การเดินเรือไปฝรั่งเศส ฮอลันดา
ผ่านช่องแคบมะละกา
ต่อมาสมัยรัชกาลที่
3 ให้นักวิชการชาวฝรั่งเศส แต่ทำยากเนื่องจากเป็นหินแข็งมาก
ผ่านภูเขาหลายลูก ทำให้โครงการคลองไทยตกไป สมัยรัชกาลที่ 9 สมัยรัฐบาลทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกฯได้ทำการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมการค้าน้ำมันของโลก
และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นชอบกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้
เร่งผลักดันท่าเรือระนอง สร้างรถไฟรางคู่ และมาถึงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
นายกฯและรมว.คลัง ชูโครงการแลนด์บริด เพื่อให้เส้นทางเดินเรือของโลกผ่านประเทศไทย
เพราะช่องแคบมะละกาแออัด จึงอยากให้มีการผลักดันต่อไป
ต่อมาเวลาเมื่อเวลา
12.21 น.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ
วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
ต่อประเด็นการอภิปรายของสส.ในโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า
จากโครงการดังกล่าวทำให้ไทยอยู่ในหมุดหมายการผลิตของต่างประเทศทั่วโลก
โดยหลายประเทศต้องการเข้ามาตั้งโรงงานในไทย
แต่โรงงานผลิตหลายสินค้าไม่สามารถตั้งได้
เพราะต้องการสร้างให้ใหญ่กว่านั้นเนื่องจากต้องส่งสินค้าไปทั่วโลก
แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาตอนนี้ คือ ช่องแคบมะละกามีความแออัด
และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทำให้ระยะการขนส่งสินค้าต้องเข้าคิว และใช้เวลามาก
ดังนั้นในช่วง 10 - 15 ปี จะมีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น
และมีมูลค่าสินค้าใช้เส้นทางเดินเรือเพิ่ม
ขณะนี้ช่องแคบไม่สามารถบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะฉะนั้นการทำแลนด์บริดจ์
เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันของประเทศไทย
ทั้งนี้ปริมาณน้ำมันขนส่งทั่วโลก
60 % ผ่านช่องแคบมะละกา หากมีปัญหาเรื่องขนถ่ายสินค้าผ่านช่องทางมะละกา
รัฐบาลจึงตระหนักดีและทำเรื่องแลนด์บริดจ์ และจุดยืนของเราคือเป็นกลาง
ความขัดแย้งระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกามีความรุนแรง แต่เขาต้องค้าขาย เมื่อประเทศไทยเป็นกลางเสนอตัวทำแลนด์บริดจ์
เพื่อเชื่อมโลกทั้งโลก และจีน
สหรัฐอเมริกาสามารถใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางขนถ่ายสินค้าได้ดี
การทำแลนด์บริดจ์เป็นเรื่องจำเป็น
“แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เพิกเฉยเสียงประชาชนในพื้นที่
รัฐบาลดำเนินการสำรวจความคิดเห็น รับฟังความเห็น ทั้งฝ่ายค้าน ภาคประชาคม
ประชาชนในพื้นที่ นักธุรกิจทุกคน
เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการเป็นเมกะโปรเจคที่สำคัญของโลก
นอกจากนั้นก็จะทำให้หลายประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย
ที่มีความมั่นคงด้านพลังงานสูงมาก อยากเข้ามาลงทุน สร้างโรงกลั่นน้ำมัน
และโรงงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงาน นอกเหนือจากความมั่นคงทางอาหาร
เพราะไทยมีความพร้อมที่จะยืนอยู่ในโลกที่ขัดแย้ง สามารถพึ่งตนเองได้
ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยกระดับ” นายกฯ กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกรัฐมนตรี #ประชุมสภา #งบ67 #แลนด์บริดจ์