วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ธิดา ถาวรเศรษฐ : พัฒนาการทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการเมืองไทย

 


🔴[ย้อนอ่าน] สิ่งที่ อ.ธิดา กล่าวในการทำ Facebook Live เมื่อ 5 ปีที่แล้ว


ธิดา ถาวรเศรษฐ : พัฒนาการทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการเมืองไทย


ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 63 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ท่ามกลางกระแสของการที่มีความพยายามในการทำ IO เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือหรือสร้างความน่าเชื่อถือ ที่ดิฉันค่อนข้างผิดหวังมากก็คือ เมื่อวันก่อน ดิฉันได้คุยแล้วว่าในทัศนะของดิฉันนั้น ดีที่สุดก็คือเอาความจริงเอาความรู้ออกมาแล้วให้คนตัดสินใจว่าจะเป็นอย่างไร?


เรามองในแง่ดีว่าปรากฏการณ์การขับเคลื่อนของเยาวชน บางคนอาจจะดูว่าไม่เห็นด้วย บางคนอาจจะดูว่าเหลวไหล แต่สิ่งหนึ่งซึ่งมากับการขับเคลื่อนของเยาวชนก็คือควรที่จะมีการรับฟังและตั้งคำถามว่า


- ทำไมเขาคิดอย่างนั้น?

- ทำไมเขาทำอย่างนั้น?

- แล้วเรื่องจริงเป็นอย่างไร?

- ทำไมเขาจึงปฏิเสธความเชื่อที่มีมาก่อน?

- เขามีความเชื่อชุดใหม่หรือเปล่า?


อย่าไปมองว่ามีใครครอบงำหรือมีใครเป็นศาสดา เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเยาวชนทั้งประเทศและคนจำนวนมากออกมาขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจากแง่มุมความมืดต่าง ๆ ออกมา เพราะฉะนั้นดิฉันขอเรียนอีกครั้งว่าดิฉันผิดหวังกับสิ่งที่มีการทำขบวนการทวิตเตอร์หรือในเฟซบุ๊กที่มีการอวตารหรือมีการพยายามที่จะสร้างกระแสของความเกลียดชัง หรือกระแสแห่งความเชื่อถืออย่างผิด ๆ


อย่างที่ดิฉันจะพูดวันนี้ดิฉันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการที่จะทำให้ความจริงและความรู้ปรากฎในสังคมไทยเนื่องจากการถกเถียงกัน ดิฉันจะพูดในแง่วิชาการ และจากพื้นฐานของงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่จากอารมณ์ความรู้สึกของคน แล้วเราก็เอามาตัดสินกันเอง วันนี้ที่ดิฉันจะคุยก็คือ


ประเด็น พัฒนาการของทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการเมืองไทย


คนที่อธิบายเรื่องพัฒนาการทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็อธิบาย 1-2-3-4-5 ไล่มาตั้งแต่

- ก่อน 2475 ชุดหนึ่ง

- หลัง 2475 มาถึง 2490 หรือ 2491 ชุดหนึ่ง

- แล้วหลัง 2491 เป็นต้นมา อันนั้นอีกชุดหนึ่ง

- ตอนนี้ต้องมาชุดที่ 4 ก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2560 และ 2561 มีการเปลี่ยนแปลง


เพราะฉะนั้นในงานวิจัยหรืองานวิทยานิพนธ์ส่วนหนึ่งก็จะเป็นการบรรยายเรื่องราวว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับสำนักงานทรัพย์สิน ที่มาที่ไปอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่เพื่อที่จะไปได้เร็วดิฉันก็จะนำสิ่งที่ดิฉันได้พิจารณาข้อมูล ดิฉันตกผลึกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและพัฒนาการของสำนักงานทรัพย์สินนั้นเกี่ยวพันแนบแน่นแยกไม่ออกกับพัฒนาการการเมืองไทยตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์


แม้กระทั่งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เอง ในแต่ละรัชสมัยก็ทำให้ทุนสำนักงานทรัพย์สิน ใช้คำว่าทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีขึ้นมีลงมีเปลี่ยนแปลง


มาถึงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานและการจัดการแบบหนึ่ง รวมทั้งมีพ.ร.บ.ออกมา


หลังการทำรัฐประหาร 2490 ก็มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เฉกเช่นเดียวกับการเมืองไทย จึงทำให้การบริหารจัดการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีปัญหาของความคลุมเครือไม่ชัดเจนนับตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ บัดนี้ก็ชัดเจนไปอีกแบบว่าทุกอย่างรวมไปอยู่ในก้อนเดียว


อ.ธิดากล่าวว่า เราไม่สามารถที่จะเล่าประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปของทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้โดยละเอียด แต่ดิฉันอยากจะฝากแนะนำเอกสาร 3 ชุด ที่มีประโยชน์และอยากให้ได้อ่านกันก็คือ


ชุดแรกคือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับบทบาทการลงทุนทางธุรกิจ โดย รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์

https://drive.google.com/.../17WZW0jeGZK72SS3TIZE.../view...


ชุดที่สองคือ Crown Property and Constitutional Monarchy in Thailand 1932 – 1948 by Prakan Klinfoong วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก

https://drive.google.com/.../17RjcLp30XeRVwk2wNKu.../view...


ชุดที่สามคือ รายได้พระคลังข้างที่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (พ.ศ.2433 – พ.ศ. 2475) โดย ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรค มหาสารคาม

https://drive.google.com/.../17Zbjwq8UNMd4GNjA.../view...


ดิฉันเอาเอกสารสามชุดนี้ขึ้นก่อน เพราะว่าดิฉันต้องการให้คนที่รับฟังและสนใจเรื่องนี้ สนใจอย่างที่มีเหตุผล ไม่ได้ใช้อารมณ์หรือเอาความคิดการเมืองของตัวเองไปกำหนดความเชื่อ แล้วพยายามทำให้คนอื่นเชื่อตามโดยไม่ได้คำนึงว่าข้อมูลเป็นอย่างไร


ดิฉันก็จะพูดย่อ ๆ แต่ก็นำมาสู่ผลึกก็คือในผลึกทางความคิดเราตอบได้เลยว่าพัฒนาการของทุน ซึ่งอันนี้เป็นทุนขนาดใหญ่ ในสังคมไทยพัฒนาการทุนนิยมเราขาดการสะสมทุน ดิฉันพูดในภาษาทางเศรษฐศาสตร์ คือก่อนที่จะเป็นทุนนิยมได้เต็มที่มันต้องผ่านยุคสะสมทุน แต่ว่าคนไทยมันต้องมีเจ้า มีไพร่ มีทาส ในสมัย ร.5 พระองค์ได้ปลดปล่อยไพร่ ปลดปล่อยทาส เกิดแรงงานอิสระ และเนื่องจากเราผ่านการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง เรามีรายได้หลักของการขายข้าว แทนที่จะเป็นอย่างในสมัย ร.3 ซึ่งเป็นการผูกขาดการขายสินค้าโดยพระมหากษัตริย์และขุนนางเป็นคนกลางขายไปต่างประเทศ แต่หลังมีสนธิสัญญาเบาว์ริงเราไม่สามารถผูกขาดได้ต่อไป เพราะฉะนั้นรายได้ของเราก็มาจากภาษีอากรของประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อน เรื่องฝิ่น เรื่องหวย เรื่องสัมปทาน ที่สุดก็คือภาษีอากร และในสมัย ร.5 รายได้เรากระโดดฮวบมาก ซึ่งเรื่องนี้ท่านอาจจะไปหาอ่านจากหนังสือของ อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ก็ได้


เพราะฉะนั้นรายได้ของรัฐขึ้นมากในสมัย ร.5 เพราะการปลดปล่อยแรงงานก็เกิดแรงงานเสรี เราได้อากรค่านามาเป็นจำนวนมาก เมื่อประกอบกับในยุค ร.5 ท่านได้พยายามทำทุกอย่างโดยที่เลียนแบบจากต่างประเทศในการปฏิรูป นั่นเป็นการปฏิรูปการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง มีการรวมศูนย์เก็บภาษีอากร รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พูดตรง ๆ ว่าในสมัย ร.5 ตอนหลังนี้มั่งคั่ง พระองค์ท่านมีการแบ่งในส่วนของพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายของราชการการเมืองการปกครอง แล้วก็มีพระคลังข้างที่ขึ้นมา ซึ่งมีพัฒนาการในเริ่มต้นนั้นพระองค์ท่านต้องการนำมาใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช่เป็นส่วนของบริหารราชการแผ่นดิน แต่เป็นส่วนที่พระองค์ท่านสามารถที่จะเอามาใช้จ่ายให้กับราชวงศ์ ให้กับฝ่ายใน ให้กับพระโอรสในการศึกษาหรือพระราชทานให้กับขุนนาง แล้วพระองค์ท่านก็มีความพยายามในการที่จะทำให้มีรายได้โดยได้ที่ดินมา บางครั้งก็ได้ริบมา บางครั้งก็ได้ซื้อมา อย่าลืมว่าสังคมไทยนั้นพระมหากษัตริย์ก็คือพระเจ้าแผ่นดิน หมายความว่าแผ่นดินนี้เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว โฉนดต่าง ๆ ก็เพิ่งออกมาทีหลัง


ดังนั้น ในพระคลังข้างที่ก็สามารถที่จะเป็นที่ที่รวมทรัพย์สินที่มีประโยชน์ให้กับพระมหากษัตริย์ไทยในการที่จะสามารถใช้ทรัพย์สินอันนี้ในส่วนอื่นที่ไม่ใช่งานราชการแผ่นดิน และเป็นแยกทรัพย์สินออกมาต่างหาก ดิฉันพูดอย่างนี้เป็นการให้รู้ที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร


แต่อย่างไรก็ตามถามว่าเริ่มต้นของส่วนพระคลังข้างที่มาจากไหน? ก็มาจากการเก็บภาษีอากร บางส่วนก็บอกว่าได้มาตั้งแต่รายได้ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ร.3 มีเงินถุงแดง นั่นก็คือการทำมาค้าขาย แต่ว่าหลัก ๆ หลังจากที่มีการปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัย ร.5 แล้ว ต้องรับรายได้หลักจากภาษีอากร


ถามว่าเงินของพระคลังข้างที่จนกระทั่งพัฒนามาเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ล้วนมาจากภาษีอากรและรายได้ของประเทศซึ่งมีการแบ่งให้ ดังในตารางที่ 1 ของงานวิจัยของ รศ.ดร.พอพันธุ์ ก็บอกได้เลยว่าในยุคแรกกรมพระคลังข้างที่ได้รับการจัดสรรจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจาก 2435 – 2478 (อย่าลืมว่า 2475 เรามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง) จากปี 2435 = 1 ล้านกว่าบาท

มา 2445 = 6 ล้านกว่าบาท

ถัดมา 2455 = 8 ล้านกว่าบาท

จนมา 2465 = 9 ล้าน

อันนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของพระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พูดง่าย ๆ ว่าจาก 15% ของรายได้ของประเทศ มาเป็น 25% หรือแบ่งมา 1 ใน 4 เอามาใส่ไว้ในพระคลังข้างที่


ถามว่าทำไมเพิ่มขึ้น เพราะรายได้เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นก็เลยมาเพิ่มให้กับพระคลังข้างที่มาก แล้วอย่าลืมว่าในสมัยนั้น พระองค์ท่านมีพระราชโอรส มีฝ่ายในจำนวนมาก มีรายจ่ายค่อนข้างสูง แล้วพอมา 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็กลายเป็นว่าเหลือประมาณ 4 ล้าน แต่มีบางคนบอกว่าเหลือ 4 แสน อันนี้ไม่น่าจะจริง


ดังนั้นการจัดการสำนักงานทรัพย์สินฯ ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นพระราชอำนาจในการจัดการทั้งหมด มีการแต่งตั้งคนมาดูแลแยกต่างหาก และใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย เพราะสมัยก่อนไม่มีการแยก ได้ภาษีมาเท่าไหร่ก็แล้วแต่พระราชอัธยาศัย แต่พระองค์ท่านก็มีการมาปรับปรุงแบ่งเพื่อให้มีคนดูแล ให้เป็นระบบในการใช้จ่าย ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากเพราะเป็นเงินก้อนใหญ่เกินไป


พัฒนาการจากเงินรายได้ที่ได้จากภาษีอากรและจากที่ดินที่ยึดมาหรือซื้อมานั้นเป็นพัฒนาการของขนาดของทุน มาในสมัย ร.6 ทุนก็ติดลบ มีการพูดว่าพระองค์ท่านใช้จ่ายมากเกินไป ธนาคารไทยพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นมาตอนนั้นก็ขาดทุน ดังนั้นพัฒนาการขนาดของทุนค่อย ๆ ลดลงจาก ร.5 มาจนถึง ร.7 เพราะมีการจัดสรรเงินให้น้อย


แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเปลี่ยนชื่อจากพระคลังข้างที่ไปแล้วหรือยัง แต่เข้าใจว่ามีการเปลี่ยนแปลง) มีการดูแลโดยรัฐ เพราะฉะนั้นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในส่วนนี้แยกมาจากส่วนพระองค์ชัดเจน เพราะในสมัย ร.6 บอกว่าให้แยก ทรัพย์สินส่วนพระองค์ต้องจ่ายภาษี เพราะ ร.6 ท่านประสงค์จะให้ขุนนางต่าง ๆ จ่ายภาษี พระองค์ท่านบอกว่าพระองค์ท่านต้องเป็นตัวอย่าง แต่ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือพระคลังข้างที่ถือว่าเป็นของแผ่นดิน ทำเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และเป็นของรัฐ อันนี้เป็นพัฒนาการที่หลังจาก ร.5 มาสู่ ร.6 รายละเอียดก็ให้ไปอ่านดู แต่ดิฉันจะบอกคร่าว ๆ ว่ามันเกิดคำว่าเป็นของใคร เป็นของรัฐ หรือ เป็นของส่วนพระองค์ มีการแบ่งแยกชัดในสมัย ร.6


มีเหตุการณ์หนึ่งที่ดิฉันคิดว่าเราไปตัดสินเอาว่าเป็นอย่างไร ก็คือเนื่องจากพระคลังข้างที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พอมาปี 2480 ก็มีการจัดตั้งโดยพ.ร.บ. เมื่อ 2479 ปรากฏว่ามีการตรวจสอบบัญชีกรมพระคลังข้างที่พบว่า ร.7 มีการเบิกจ่ายไปก่อนที่จะสละราชสมบัติ (2475 – 2477) ต่อมาปี 2482 กระทรวงการคลังได้ฟ้อง ร.7 ว่าโอนไปเป็นส่วนพระองค์ไม่ได้ ปรากฏว่าศาลตัดสินให้พระองค์แพ้คดี จากเบิกไป 4.19 ล้าน ก็ต้องจ่ายคืนให้กับรัฐบาล 6.2 ล้าน


ตรงนี้ก็เห็นชัดว่าในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระคลังข้างที่ ซึ่งได้เปลี่ยนเป็น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้บริหารอยู่ในมือของรัฐบาล แปลว่ามันเป็นทรัพย์สินของรัฐ และเมื่อเป็นทรัพย์สินของรัฐ ผู้เป็นเจ้าของก็คือ “ประชาชน” อันนี้เป็นการให้คำอธิบายว่า “ส่วนพระมหากษัตริย์” ไม่ใช่ “ส่วนพระองค์” ไม่ต้องเสียภาษี ดูแลโดยรัฐ ตรวจสอบแล้วถ้ามีการเอาไปใช้ผิดก็มีการฟ้องร้อง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น


แต่ทั้งหมดนี้ที่ทำให้เกิดความคลุมเครือส่วนสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อการเมืองไทยเปลี่ยนจาก 2475 มามีการทำรัฐประหาร 2490 และจาก 2490 สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่แต่เพียงการเมืองการปกครองเปลี่ยนเป็นล้าหลัง เรามีรัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม รัฐธรรมนูญที่แย่ รัฐธรรมนูญเฮงซวย เรามีวุฒิสมาชิกที่เดิม (2489) เกี่ยวข้องกับประชาชนก็ไม่ใช่แล้ว ทุกอย่างล้าหลังหมด แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเมื่อนายควง อภัยวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาลได้ไม่กี่เดือนก่อนจะถูกจี้ออก มีการเปลี่ยนแปลงจาก พ.ร.บ. 2479 เป็น 91 ตรงนี้เป็นจุดหักเหที่สำคัญที่สุดเลย นั่นก็คือทำให้การบริหารและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หลุดจากมือของรัฐบาล


- หนึ่ง กลายเป็นนิติบุคคล จะว่าไปก็คล้ายเป็นองค์กรที่เป็นอิสระจากรัฐบาลประมาณนั้น แต่ยังใช้ชื่อ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

- สอง จากเดิมที่ขึ้นต่อรัฐบาลทั้งหมด ก็ให้ รมว.คลัง เป็นประธาน และมีการแต่งตั้งกรรมการโดยพระมหากษัตริย์ แล้วต้องมีพระบรมราชานุมัติ


แต่ว่าไปในทางปฏิบัติก็แปลว่าพระราชอำนาจได้กลับคืนมาดูแล หลุดจากการดูแลของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามจากวันนั้นมันยังอยู่ในรัชสมัยของ ร.9 หลาย ๆ อย่างก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครนำขึ้นมาเปิดเผย เพราะยังไม่มีประเด็นอะไรมากมาย มีแต่การฟ้องร้องคณะราษฎรว่าบางคนในยุคที่ดูแลสำนักงานทรัพย์สินฯ นั้นมีการนำทรัพย์สินไปขายในทางไม่ถูกไม่ควร


เพราะฉะนั้นจาก 2491 ทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็กลายเป็นอิสระ สามารถกระทำการในการสะสมทุน ขยายทุนมากขึ้น โดยมีอำนาจเหนือรัฐ มีคดีความต่าง ๆ ในการที่จะตัดสินว่าแล้วตกลงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นอะไร เป็นราชการ เป็นหน่วยงานรัฐ เป็นเอกชน เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ทางกฤษฎีกาได้ตีความออกมาหลังสุดก็คือ ให้ถือเป็นหน่วยงานรัฐด้วยเหตุผลที่มีการอ้างกันอยู่บ่อย ๆ แต่มันไม่น่าจะเป็นเหตุผลเดียว ก็คือไม่ต้องจ่ายภาษี


อีกอย่างหนึ่งก็คือการได้เปรียบของการที่สามารถเอาที่ดิน พูดตรง ๆ ว่าสำนักงานทรัพย์สินนั้นมีทั้งช่วงเติบโตและตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง “ต้มยำกุ้ง” ก็สามารถใช้พลังอำนาจเอาที่ดินไปแลก ได้หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์คืนมา จากที่สำนักงานทรัพย์สินไม่มีหุ้นแล้ว และก็สามารถใช้พลังอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ได้หุ้น ปตท. เป็นต้น


นั่นแปลว่าสำนักงานทรัพย์สินมีลักษณะพิเศษ ดูประหนึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ได้เปรียบในการใช้ความสัมพันธ์รัฐต่อรัฐ ใช้ความสัมพันธ์กับเอกชนในลักษณะที่เหนือกว่าหน่วยงานอื่น อันนี้เป็นความได้เปรียบของการขยายทุน ยกระดับ หรือสะสมทุน


โดยคร่าว ๆ เพื่อให้เราเข้าใจว่าจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่รัฐมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย สำนักงานทรัพย์สินฯ ก็กลับมาอยู่ที่รัฐ แต่พอมีการทำรัฐประหารตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมา สำนักงานทรัพย์สินฯ ก็กลับคืนมาสู่พระราชอำนาจ


แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายที่ทำให้มีการขับเคลื่อนของเยาวชน นั่นก็คือใน พ.ร.บ. 60 และ 61 ซึ่งในที่สุดก็มีการรวมเป็นหนึ่งเดียว และมีการเปลี่ยนชื่อ ก่อนหน้านี้เปลี่ยนชื่อจากกรมพระคลังข้างที่มาเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ทุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหุ้น ณ บัดนี้ก็เป็นชื่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวง ร.10 ดังนี้เป็นต้น รายละเอียดดิฉันไม่สามารถจะพูดทั้งหมดได้ ดังที่ดิฉันบอกแล้วว่าดิฉันอ้างเอกสาร 3 ชุดข้างต้น ควรจะไปอ่านกัน


ในประชาไทได้อ้างถึงว่า ข้อโต้แย้งว่าตกลงสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นของใคร? หลังจากมีเปเปอร์ของ อ.พอพันธุ์ ออกมา ฟอร์บส์ (Forbes) ได้จัดอันดับว่าในหลวงของเราพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยอันดับที่ 1 ก็ได้มีการโต้หลายครั้งจากกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานทรัพย์สินฯ ว่า ที่ฟอร์บส์เอาข้อมูล เอาเงินหรือทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินฯ เอาไปจัดอันดับแล้วทำให้ดูประหนึ่งว่าในหลวงของเราเป็นพระมหากษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกนั้นไม่จริง! เพราะสำนักงานทรัพย์สินฯและทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นของรัฐ ไม่ใช่ส่วนพระองค์ และส่วนใหญ่ก็เป็นที่ดิน ไม่ได้มีรายได้มากมาย


เนื่องจากงานวิจัยมันได้เปิดเผยไม่ว่าเรื่องหุ้น แม้กระทั่งการตั้งกองทุนลดาวัลย์ขึ้นมา พูดง่าย ๆ ว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ เล่นหุ้นโดยตรง โดยผ่านกองทุนลดาวัลย์ ความมั่งคั่งต่าง ๆ เหล่านี้จึงถูกปรากฏในบันทึกที่เปิดเผย แต่ดังที่บอกแล้วว่าเมื่อมีการกล่าวอ้างว่าในหลวงของเราเป็นพระมหากษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ก็มีการโต้แย้งว่าไม่ใช่ มันเป็นของรัฐ


แต่มาตอนนี้จะอธิบายอย่างนั้นก็คงไม่ได้ เพราะบัดนี้เท่าที่ทราบมันกลายเป็นก้อนเดียวกันกับทรัพย์สินส่วนพระองค์และการบริหารอันเดียวกัน หลายคนบอกว่าเป็นของพระองค์มาตั้งนาน ฉะนั้นการที่กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่โต้แย้งไปก่อนหน้านั้นหมายความว่าอะไร? หรือความจริงก็คือปัจจุบันซึ่งจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งว่าจะมีปัญหาในอนาคตหรือเปล่า? เพราะเมื่อกลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมด แน่นอนข้อแรกก็คือต้องมีการจ่ายภาษี, ภาษีมรดก, ที่ดินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้นพระองค์ต้องจ่ายภาษีเองหรือเปล่า? อันนี้ดิฉันตั้งคำถามขึ้นมา เพราะว่าพวกเรามีเล็กมีน้อยยังกังวล ต้องไปทำการเกษตร ซึ่งเกณฑ์ของการที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ต้องจ่ายภาษีเป็นเกณฑ์ที่ตั้งมาจาก ร.6 ดิฉันไม่รู้ว่าจะมีการยกเลิกหรือเปล่า


นอกจากนั้นปัญหาคดีความต่าง ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้น เราได้มีการสืบค้นคดีความต่าง ๆ ศาลก็ปวดหัวเหมือนกันว่าในอดีตสำนักงานทรัพย์สินฯ จะถือเป็นอะไร ดังที่ดิฉันเล่าให้ฟังว่ากฤษฎีกาต้องไปตีความกันตั้ง 4 ครั้ง ว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ สุดท้ายบอกว่าเป็นของรัฐ แต่มาบัดนี้ก็คงไม่ใช่ คือเรามีการออก พ.ร.บ. ใหม่ในปี 60 และ 61 ซึ่งต้องไปศึกษารายละเอียด


วันนี้ดิฉันก็คงพูดไม่ได้หมด เพียงแต่จะสรุปว่า ถ้าการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถูกตัดสินว่าเป็นของรัฐ เป็นของแผ่นดิน ต้องขึ้นกับรัฐบาล พระเจ้าแผ่นดินเอาไปใช้ส่วนพระองค์ไม่ได้ดังมีคำตัดสินของศาล แต่เมื่อการเมืองไทยถอยหลัง มีการเขียนกฎหมายใหม่ ก็เปลี่ยนแปลงทำให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลับมาอยู่ในพระราชอำนาจเป็นขั้น ๆ ตามลำดับ


ดังนั้น สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ว่า การเมืองการปกครองนั้นเป็นอย่างไร เรื่องต่าง ๆ ก็จะเป็นไปตามการเมืองการปกครอง ถ้าการเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอำนาจของประชาชน เป็นอำนาจของรัฐบาล เป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร นิติบัญญัติ และสุดท้ายเป็นอำนาจของตุลาการ


แต่ถ้ามันไม่ใช่ ถ้ามันเป็นการรัฐประหาร เป็นการยึดอำนาจโดยเผด็จการ ก็เขียนกฎหมายอะไรมาก็ได้ แล้วก็สามารถบังคับคนเหมือนเช่นทุกวันนี้ จับเด็กแม้กระทั่งเยาวชน เด็กนักเรียน บอกว่าผิดกฎหมาย ถ้าเราดูให้ดีกฎหมายมันขึ้นอยู่กับว่าใครเขียน เขียนเพื่อใคร เพราะฉะนั้นเรื่องการโต้แย้งมันไม่ใช่เรื่องความจริงสัมบูรณ์ มันขึ้นอยู่กับว่าการเมืองการปกครองเป็นอย่างไร เขียนกฎหมายมาเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นเช่นนั้น


ณ บัดนี้ ก็ตอบได้ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็กลายเป็นของส่วนพระองค์โดยสิ้นเชิง หรืออยู่ในพระราชอำนาจที่จะใช้ทุกอย่างตามพระราชอัธยาศัย แต่ก็ต้องไปเผชิญปัญหาต่อไปว่า ถ้าเป็นส่วนพระองค์ทั้งหมดแล้วจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น


ที่ดิฉันพูดนี้ไม่ได้พูดด้วยความเชื่อด้านหนึ่งด้านใด แต่พูดด้วยข้อมูลที่สัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการของทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการเมือง เมื่อการเมืองไทยในขณะนี้เป็นการเมืองแบบนี้ ก็จะไปเทียบกับสมัย 2476-2477 ไม่ได้ มันจะคนละอย่างกัน ในขณะเดียวกันหลายคนก็จะเลยเถิดไปถึงสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะบอกว่าเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์ ซึ่งต้องเข้าความเป็นจริงว่าทรัพย์สินทั้งหมดมาจากภาษีอากรของราษฎร แต่กาลข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องที่คนทั้งหลายจะไตร่ตรอง และมีการแก้ปัญหา เมื่อแก้ปัญหาหนึ่งก็จะเกิดปัญหาหนึ่ง


ดิฉันก็พูดได้เพียงแค่นี้ว่า ทั้งหมดขอให้เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องของการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องของการบิดเบือน ให้เข้าใจความเป็นจริงว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ขึ้นอยู่กับการเมืองการปกครอง การถกเถียงกันในเรื่องทุนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณต้องเข้าใจว่าคุณกำลังอยู่ในยุคสมัยใด อ.ธิดากล่าวในที่สุด


#UDDnews  #ยูดีดีนิวส์ #ทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ #การเมืองไทย