ธิดา ถาวรเศรษฐ : การเลือกตั้งทั่วไป
ภายใต้ระบอบพิเศษของประเทศไทย
จาก Facebook
Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม
2568
สวัสดีค่ะ
วันนี้เราก็มาพบกัน ปกติดิฉันว่างเว้นการทำ Facebook
Live ไปนาน ปัจจุบันประเด็นที่เราจะมาคุยกันก็คือ
“การเลือกตั้งทั่วไป
ภายใต้ระบอบพิเศษของประเทศไทย”
[ปรากฏการณ์และธาตุแท้ของการเลือกตั้งและการเมืองไทย]
ในทัศนะของดิฉันต้องพูดเช่นนี้
เพราะว่าเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเราจะเข้าใจมันยังไง?
และเราจะปฏิบัติอย่างไรให้ถูกต้อง? อันนี้เป็นหลักการของนักต่อสู้ของประชาชน
คือผลประโยชน์ของประชาชน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแก่นแท้มันคนละอย่างกัน
แล้วแก่นแท้เราจะรู้มันได้อย่างไร
คือมันต้องผ่านทั้งประสบการณ์ตรงและประสบการณ์อ้อม
ก็คือเราเรียนรู้จากอดีตเพื่อนำบทเรียนมาสู่ปัจจุบัน
และประสบการณ์ตรงก็คือเราผ่านเหตุการณ์เช่นนี้จากในอดีตมาสู่ปัจจุบัน
การที่มีการเลือกตั้งในช่วงเวลานี้เราก็มองได้ทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งดูดี ดูเหมือนว่าประเทศนี้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง
ถ้ามองจากพวกโลกเสรีหรือประเทศภายนอกก็ดูว่ามันเหมือนกับว่าดี
แล้วก็มีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่ในแก่นของมันในทัศนะดิฉัน เราก็ดีกว่าพม่าเท่านั้นเอง
แล้วก็อาจจะดีกว่าเขมร เพราะว่าเขมรเขาก็มีการเลือกตั้ง แต่ว่าก็มีการเข่นฆ่า คู่แข่งขันอยู่ไม่ได้
เช่นกรณี สม รังสี เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่เขาเคยมีคะแนนเสียงเยอะ หรือในพม่าก็จัดการ
อองซาน ซูจี ส่วนในไทยก็ดูดีกว่า แต่ว่าภาพที่ดูดีกว่านั้น
ความเป็นจริงมันดีกว่าไม่มากเท่าไร มันก็เพียงแต่ดีกว่าเท่านั้นเอง
ดังนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในแถบนี้
พม่า ไทย เขมร ก็มีลักษณะที่ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นจริง
มีแต่ชื่อว่าระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าของพม่ามันง่ายก็คือมีเผด็จการทหารอย่างเดียว
ส่วนของกัมพูชาก็จะเป็นลักษณะเผด็จการอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ใส่เครื่องแบบทหาร เป็นเผด็จการโดยพรรคการเมือง
คือถ้าคิดว่า Primitive เป็นของพม่า ดีกว่าหน่อยก็จะเป็นของเขมร แต่ถ้าเป็นลาว เวียดนาม
เขาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียว แต่ว่าเสถียรภาพเขามั่นคง
แต่ประเทศไทยเสถียรภาพการเมืองไม่มั่นคง ทั้ง ๆ
ที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศไหน
หรือจะเป็นเพราะอย่างนี้จึงทำให้อำนาจจารีตอำนาจนิยมฝั่งแนวคิดจารีตนิยมและอำนาจของแบบกองทัพมันจึงกล้าแข็ง
ทำให้ระบอบประชาธิปไตยและแนวคิดเสรีนิยมแบบสากลเดินต่อไม่ได้
สถานการณ์ในขณะนี้
ที่ดิฉันพูดว่า “ภายใต้ระบอบพิเศษของประเทศไทย”
เพราะฉะนั้นในระบอบพิเศษของประเทศไทย บางคนก็เรียกว่าเป็น “รัฐพันลึก”
คือมีรัฐซ้อน มีรัฐพันลึก ถ้าเป็นคนเสื้อแดง
โรงเรียนของเราและตัวดิฉันเองเราใช้คำว่า “เครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตย” ก็คล้าย ๆ
กับคุณดันแคน แมคคาร์โก เขาใช้คำว่า Network
Monarchy
ทีนี้ “ปรากฏการณ์”ที่เกิดขึ้นที่จะมีผลต่อการจับมือและการจัดตั้งรัฐบาล
ปรากฏการณ์ในท่ามกลางการเลือกตั้งนี้
สิ่งที่เราเห็นว่ามันจะเกิดเรียบร้อยน่าจะเป็นไปยาก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือมีการจับกุมคุมขังในคดี 112 เพิ่มขึ้นมากมาย
ที่จับไปแล้วก็ไม่ได้ประกันตัว ที่ตัดสินคดีไปแล้วก็พลิกไปพลิกมา
ในที่สุดเป็นการลงโทษที่สูงมาก
สูงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ดิฉันเคยบอกว่าสูงสุดไม่เกิน 7
ปี และขั้นต่ำไม่มี อันที่จริงแม้กระทั่งคำติดสินของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องของโทษขั้นต่ำ/ขั้นสูง
เพราะฉะนั้นดิฉันยังคิดอยู่ว่าการแก้ไขมาตรา 112
ในประเด็นของการติดสินลงโทษขั้นต่ำ/ขั้นสูงยังเป็นเรื่องที่พูดกันได้
เพราะว่าโทษจะหนักกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อย่างไร
ปัจจุบันนี้สถานการณ์นี้ยังรุนแรง
ไม่ได้ลดลงไปเลย ไม่มีท่าทีว่าจะลดลงไปเลย รวมทั้งนิรโทษกรรม
แม้กระทั่งร่างนิรโทษกรรมที่ขอให้สำหรับเยาวชนในกรณี ม.112 ก็ยังผ่านไม่ได้
นั่นก็คือพรรคการเมืองทั้งหมดเกือบทุกพรรค ยกเว้นพรรคเดียว ไม่ให้ผ่าน
ซึ่งดิฉันคิดว่ามันมากเกินไปในโลกสมัยใหม่ และมันจะมีผลต่อการเมือง เศรษฐกิจ
สังคมประเทศไทยถดถอยไปอีกยาวนาน แล้วไม่ใช่แต่เพียงกลุ่มเยาวชนหรือประชาชน
พรรคการเมืองและนักการเมือง อย่างพรรคก้าวไกลก็ต้องถูกยุบ แล้วก็มีการลงโทษตัดสิน
44 คนที่ยื่นในฐานะของ สส. เพื่อแก้ไขกฎหมาย แล้วมันเป็นไปได้หรือ
แต่มันก็เป็นไปแล้วในประเทศไทย นั่นก็คืออาจจะมีการตัดสินอย่างรุนแรงสำหรับ 44
คนที่ลงชื่อ ที่เขาทำหน้าที่เป็น สส. ในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งถ้ามันไม่ผ่าน
มันก็ไม่ผ่าน แต่มันไม่ควรจะเป็นความผิด ในความคิดของดิฉันนะ
นี่เป็นความคิดเห็นของดิฉันเองส่วนตัวว่าเขาทำหน้าที่ของ สส.
ถ้าสิ่งที่เขาทำนั้นประชาชนไม่เห็นด้วย ประชาชนก็จะลงโทษ และถ้า สส.พรรคอื่นไม่เห็นด้วย
มันก็ไม่ผ่าน และนี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ สส. ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่แก้ไขกฎหมาย
ยื่นเสนอกฎหมาย แล้วก็ลงมติ โดยเป็น สส. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
การที่มีการตัดสินลงโทษมันแสดงว่านี่เป็นระบอบพิเศษ
ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแบบทั่วไป พิเศษเอามาก ๆ
และแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยซึ่งมีนายกรัฐมนตรี
2 คน เราก็ทราบกันอยู่ว่าผู้นำตัวจริงก็คือคุณทักษิณ ไม่รู้ว่ามีดีลยังไง? จากไม่เอาเรือเพื่อขึ้นรถ
แล้วไม่รู้ขึ้นรถแบบไหน? ตกภูเขาเลย ในที่สุดก็ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ
อันนี้ไม่พอ ยังเจอข้อหา 112 แล้วยังจะต้องถูกปรับอีก 1.7 หมื่นล้าน
หลังจากถูกปรับมาแล้ว 4 หมื่นกว่าล้าน
อันนี้เป็นภาพสถานการณ์ทั่วไปที่ดิฉันอยากจะบอกว่า
มันแสดงว่านี่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยโดยปกติ เป็นระบอบพิเศษประเทศไทยที่อำนาจฝั่งจารีตนิยมและชนชั้นนำไทยที่มีนิดเดียวไม่ถึง
1% ต่อให้รวมจีนเทาด้วย
ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน การที่ไม่ยอมจัดการสว. ซึ่งได้มาโดยการ
ถ้าภาษาเขาเรียกว่า “ฮั้ว” แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันไม่คลาสสิก อยากเรียกว่ามันเป็นสว.ที่มีการจัดสรร/จัดตั้งเป็นพิเศษ
คือถ้าเป็นคนที่ติดตามการต่อสู้ของประชาชนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ต้องรู้ว่า สว. คืออะไร?
สว. คือตัวแทนของฝั่งจารีตอำนาจนิยมที่มาคานอำนาจกับ สส. ที่มาจากการเลือกโดยตรงของประชาชน ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 ให้ สว. มาจากการเลือกตั้งทั่วไป แล้วให้อำนาจ สว. ในการที่เลือกองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ สว.จึงมีอำนาจมาก เพราะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยที่มีคุณวุฒิมากขึ้น อันนี้เป็นรัฐธรรมนูญ 2540 มันจึงไปต่อไม่ได้ หรือรัฐธรรมนูญ 2489 ที่มาจากการเลือกตั้งฉบับแรกของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็เกิดรัฐประหาร 2490 รัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อใช้มา 2 สมัยของพรรคไทยรักไทย ก็ต้องมีการทำรัฐประหารใน 2549 ได้รัฐธรรมนูญ 2550 สว. ก็เลยแบ่งเป็น 2 พวก พวกหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง อีกพวกหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง ไม่พอ!!! ในที่สุดก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเลวร้ายที่สุด ที่นอกจาก สว. มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารแล้ว ยังอยู่ต่อจนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ เป็นเหตุให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ได้นานเป็น 10 ปี และนี่คือความเสียหายอย่างยิ่งของประเทศไทยในแง่การเมือง ในแง่เศรษฐกิจ ในแง่สังคม แล้วเศรษฐกิจของเราปักหัวดิ่งลงเมื่อประกอบกับเรามีโควิด และมีภัยพิบัติ เพราะว่า ที่คำว่าทหารมีไว้ทำไม เหตุการณ์ตอนนี้ใช่!!! แต่ทหารไม่ได้มีไว้เป็นนายกฯ นะ ไม่ได้ให้มาเป็นนักการเมือง ทหารก็ต้องเป็นทหารอาชีพที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพราะฉะนั้นประเด็นสว.
และการที่ไม่ยอมจัดการเรื่องสว.
ก็เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่สนับสนุนให้เห็นว่า อำนาจพิเศษในประเทศไทย
ระบอบพิเศษประเทศไทย
ซึ่งเป็นระบอบที่ชนชั้นนำจารีตไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนมันยังดำรงอยู่หนาแน่น
และดังนั้นดิฉันก็จำเป็นต้องพูดว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้มันชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีเกม
เราสามารถเรียกได้ว่ามันเป็น Zero-sum game
Zero-sum game ก็คือ มันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง และนี่ก็เป็นวิธีการที่ฝั่งหนึ่งคือช่วงชิงการนำ
ช่วงชิงอำนาจนำ เพราะว่าถ้าเป็น Nash Theory เป็นนักทฤษฎีเกมที่มองว่ามันจะมาถึงจุดซึ่งเป็น
Equilibrium ที่ต่างคนต่างอาจจะถอย
หรือบางคนอาจจะมองว่าคล้าย ๆ เกิด Grand compromise มันไม่ใช่
เพราะปรากฏการณ์ความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นแสดงว่ายังเอาเป็นเอาตาย
มันเหมือนเป็นการต่อสู้ในสนามรบ หลายคนเคยบอกว่าถ้าแม่ทัพทั้ง 2 ข้างต้องการสู้รบ
แล้วแม่ทัพข้างใดไม่เอาเป็นเอาตาย คือพูดตรง ๆ ว่ายังไม่อยากเอาเป็นเอาตาย
ก็จะกลายเป็นเหยื่อและในสงครามก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้ อันนี้เป็นเรื่องบทเรียนในอดีตนะ
ดิฉันไม่ได้พูดถึงปัจจุบัน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
แม้กระทั่งกรณีของพรรคเพื่อไทย กรณีของคุณทักษิณ
มันก็เห็นชัดว่ามันยังเป็นเกมที่เอาถึงตาย เอาถึงเรียกว่าถ้าเป็นโบราณมันก็ต้อง 7
ชั่วโคตร ริบทรัพย์ อันนี้ก็เข้าข่ายริบทรัพย์แล้วนะ แล้วก็ฆ่า 7 ชั่วโคตร
แต่จะฆ่าโดยทางการเมืองหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น ยุบพรรคกี่รอบ? สส.และนายกรัฐมนตรีถูกจัดการไปกี่คน?
อันนี้เป็นชั่วโคตรแบบสมัยใหม่
กล่าวโดยสรุปสำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้
ดิฉันถือว่ามันอยู่ในระบอบพิเศษ ไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ยังเป็นเกมที่ฝั่งจารีตนิยมไม่อนุญาต ไม่งั้น สว. ป่านนี้ถูกจัดการไปแล้ว แต่ตอนนี้
สว. ที่จัดตั้งมายังขับเคลื่อนไปได้เรื่อย ๆ ดังนั้นมันก็อาจดูดีกว่าพม่า
ดีกว่าเขมร แต่มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ที่ดิฉันพูดก็คือเพื่อให้หลายคนเข้าใจว่า
การต่อสู้มันผ่านมาหลายปีตั้งแต่ก่อน 2475 จนบัดนี้ มันยังดำรงอยู่
มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะสามารถประนีประนอมกันได้ (ด้วยสภาพความจริง)
การประนีประนอมจะเกิดขึ้นก็คือ
ถ้าสำหรับฝ่ายประชาชนได้อำนาจเต็ม หรือได้อำนาจที่เหนือกว่าแล้วถอยลงมา
อันนั้นอาจจะมี Grand compromise (หรือเกิดความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน) แต่ตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้มีอำนาจเต็ม
โอกาสที่จะจับมือทำ Grand compromise นั้นยาก จริง ๆ
มันเคยเกิดขึ้นเมื่อ 2475 ด้วยรัฐธรรมนูญ 2475 แต่ในที่สุดมันก็อยู่ได้ไม่ยืด
เพราะมันไม่ได้เกิดจริงอยู่ในทางความคิด มันเป็นอะไรที่จำยอม
มันไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราไปดูประเทศอังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น
หรือประเทศในยุโรปต่าง ๆ การเปลี่ยนระบอบเดิมมาสู่ระบอบประชาธิปไตย
ถ้าเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นอาณานิคมนะ เขาใช้เวลายาวนานเป็นร้อยปีนะ
เพราะเขาก็ไม่ได้ยอมง่าย ๆ แต่ในที่สุดก็ยอม เหมือนอย่างประเทศอังกฤษปัจจุบัน
หรืออย่างประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน หรือกระทั่งจะว่าไปกัมพูชาก็มีการเปลี่ยน
แต่เผอิญว่ามันก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยจริง เพราะมันเจือสมกับการต่อสู้ที่ของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์
2 พรรคได้ต่อสู้กัน และในที่สุดมันจึงเป็นลูกผสมที่มีที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์
มีลักษณะเผด็จการ และจำเป็นต้องมีชื่อติดป้ายเป็นระบอบประชาธิปไตย
มีการเลือกตั้งเช่นกัน นี่คือสิ่งแวดล้อมที่มันเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอันนี้
ก็เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองในฝ่ายที่ไม่ใช่ฝ่ายจารีตนิยมพึงระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เหมือนครั้งที่แล้วที่หัวหน้าพรรคถูกจัดการไปทั้ง
2 คน ยกตัวอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล คือคุณมีช่องโหว่ตรงไหนก็ไม่ได้เลย
เพราะคุณไม่ตระหนักว่านี่เป็นระบอบพิเศษ คุณจะมีรูรั่วให้ถูกจัดการซักนิดก็ไม่ได้
ในขณะที่พรรคฝั่งจารีตมีรูโหว่เบ้อเร่อเลย ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง สว. มันก็ไปช้ามาก
อาจจะไม่เป็นผล แต่ฝั่งที่เป็นฝั่งเสรีประชาธิปไตย คุณมีช่องโหว่ไม่ได้เลย! เพราะฉะนั้น ฝ่ายกฎหมายของพรรคการเมืองฝั่งนี้จะประมาท
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะพรรคประชาชน 2 ครั้งมาแล้ว
และแม้กระทั่งมีการแก้กฎหมาย ปัญหาการแก้ 112 เอาออกจากหมวด “ความมั่นคง”
อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เรียกว่ามันก็ทำให้เกิดช่องโหว่อยู่ด้วยประมาณหนึ่ง
แต่แน่นอนก็คือ พูดตรง
ๆ ว่าไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ยังไงก็ต้องเอาจนได้
เป็นเรื่องที่ว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายเสรีประชาธิปไตยที่ได้รับความนิยมจากประชาชนพึงระวังว่ามีจุดอ่อนไม่ได้
และคุณจะใช้ทนายความ/นักกฎหมายธรรมดาก็ไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต้องไปศึกษานะ
พรรคประชาธิปัตย์นั้นโอ้โห ทนายความสุดยอดเลย นักกฎหมายเขาสุดยอด เพราะว่าสำนักกฎหมายหลังอาจารย์ปรีดีแล้ว
นักกฎหมายเก่ง ๆ ก็ไปอยู่ในสำนักของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
สมัยก่อนมีสำนักกฎหมายของอาจารย์ปรีดีด้วย ช่วงหลัง ๆ นักกฎหมายมือดี ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากสำนักกฎหมาย
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มันก็ได้นักกฎหมายเก่ง ๆ ที่เข้าไปช่วย
ดิฉันมาสู่พรรคการเมืองว่า
ในสถานการณ์เช่นนี้สำหรับพรรคเพื่อไทย ครั้งนี้ถูกกระทำ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นครั้งที่ถูกกระทำที่น่าเจ็บปวดนะ อย่างที่บอกว่าเมื่อเลือกตั้งปี 2554
คุณทักษิณบอกว่าให้ถอดเสื้อแดง
ในระหว่างนั้นก็มีการบอกว่าขอบคุณคนเสื้อแดงที่เอาเรือมาส่ง ตอนนี้จะขึ้นรถ
มันก็คล้าย ๆ กับตอนนี้ที่มีดีล แต่ผลสุดท้ายขึ้นรถแล้วตอนนี้เป็นไง?
สถานการณ์ของคุณทักษิณ เราก็ไม่รู้ว่าเขาทำดีลกันแบบไหนจึงถูกปรับใหม่อีกตั้ง 1.7
หมื่นล้าน หลังจากที่เอาไปแล้ว 4 หมื่นกว่าล้านนะ ผลสุดท้ายเท่ากับขายหุ้น AIS ไป หุ้นชินฯ ไป แทบไม่เหลืออะไรเลย หมดเลย
เหลือถึงหมื่นล้านหรือเปล่า? ดิฉันก็ไม่ทราบ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าต้นทุนกำไร
และการไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีเพราะเป็นการซื้อในตลาดหุ้นก็ตาม
เพราะฉะนั้น
พรรคที่ถูกกระทำอย่างพรรคเพื่อไทย พูดในด้านบวกบ้างในสถานการณ์เลวร้าย
คือเหรียญมีสองด้าน เมื่อพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณถูกกระทำ
มันอยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะเอาเรื่องเหล่านี้
เก็บรับบทเรียนครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านี้มาแก้ไขจุดยืน
แทนที่จะเป็นจุดยืนอยู่ที่ผู้นำจิตวิญญาณ อยู่ที่ได้กลับมา ตอนนี้ได้กลับมาแล้ว
แล้วก็ถูกกระทำอย่างมากแล้ว ดังนั้นพรรคเพื่อไทยต้องเดินต่อ
คุณทักษิณประสบชะตากรรม
เป็นเรื่องที่คุณทักษิณยอมรับเพียงเพื่อให้ได้กลับมาในประเทศไทย
และให้คนไทยได้รู้ว่าคุณทักษิณยังอยู่ และยังมีพรรคอยู่สู้ต่อ เป็นโอกาสอันดีของพรรคเพื่อไทย
ถ้าคุณไม่ต้องทำเพื่อคน ๆ เดียว แล้วคุณเก็บรับบทเรียน แล้วแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่
ดิฉันดูแล้วก็ดูดี ถ้ารอบก่อนได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ แทนคุณอุ๊งอิ๊ง
บางทีชะตากรรมก็อาจจะไม่ถึงขนาดนี้
มองด้านร้ายสำหรับพรรคเพื่อไทย
คุณทักษิณแย่ ติดคุก ถูกปรับ คนก็หนีหายจาก แต่มองอีกด้านหนึ่งก็คือด้านดี
โอเคติดคุกแล้ว ถูกปรับแล้ว มันชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไร จะสู้ต่อหรือไม่
แล้วคนที่หนีไปจากไปก็แสดงให้เห็นว่าที่มาอยู่เพราะหวังได้อำนาจ
หวังว่าได้เป็นรัฐบาล และจากไปเมื่อไม่ได้ตามประสงค์ ความจริงด้านเสียก็มีด้านดี
เราก็หวังว่าเมื่อเวลาคนประสบปัญหาเลวร้ายที่สุดแล้ว แล้วลุกขึ้นยืนใหม่
น่าจะเป็นการยืนและการเดินในทิศทางที่ถูกต้อง ถ้าทำได้นะ! ถ้าทำได้พรรคเพื่อไทยก็อาจจะไม่ได้ตัวเลขสูงมากเป็นที่หนึ่ง
แต่ยังมีโอกาสเติบโต ไม่เหมือนพรรคบางพรรค
คือถ้าจุดยืนของคุณอยู่ที่ผลประโยชน์ประชาชนจริง และถูกต้องจริง มันก็จะเติบโต
แต่ถ้าทำเพื่อคน ๆ เดียวเหมือนเดิม หรือทำเพื่ออำนาจ ทำเพื่อเงิน มันก็จะเสื่อมลง
สำหรับพรรคเพื่อไทย
ก็หวังว่าคุณจะเปลี่ยนสิ่งร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีได้
เมื่อคุณไม่มีอำนาจแล้วคุณจะรู้ว่าใครที่ควรคบ ใครที่ควรจะเป็นกัลยาณมิตร
ดิฉันก็หวังว่าอย่างนั้น ทีนี้ในฐานะประชาชน
ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนว่าเขาจะเชื่อใจอีกหรือเปล่า ประชาชนที่เคยเอาเรือมาส่ง
แล้วบอกไม่ต้องมาส่งแล้ว พอลงมา กลับไปอีกที เรือหาย (เรือในที่นี้ไม่ใช่ Ship นะ) เป็นภาษาไทยแท้ ๆ
เรือเสื้อแดงหายจริง ๆ จะมีใครเลี้ยวกลับมาหรือเปล่า หรือว่าไปแล้วไปเลย
มันก็ขึ้นอยู่ว่าถ้าคุณสร้างความชัดเจนในเรื่องจุดยืน ในเรื่องอุดมการณ์
แล้วเดินหน้าอย่างถูกต้อง มันก็มีสิทธิ์ที่จะสามารถเติบโตได้
ดิฉันก็จะพูดอย่างนั้น
ในวันที่มีเวทีไทยรัฐดีเบต คุณไม่กล้ายกมือกรณีที่มีคำถามเรื่องนิรโทษกรรมรวมผู้ที่มีความผิดเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 แต่จริง ๆ
มันไม่ใช่เรื่องการแก้ไข 112 มันเป็นเรื่องการนิรโทษกรรมเพื่อนำไปสู่สังคมสันติสุข
ซึ่งความคิดเห็นหนึ่งก็คือสังคมจะสันติสุขได้ก็คือคุณควรจะนิรโทษฯ คดี 112 ด้วย
แต่ว่าถ้าเป็นพวก Zero-sum game เอาให้ตายกันไปเลย ก็จะบอกว่าไม่นิรโทษฯ ให้เลย
แม้กระทั่งมันเป็นเด็กก็ไม่นิรโทษฯ ให้
แม้กระทั่งจะถูกกลั่นแกล้งยังไงก็ไม่นิรโทษฯ ให้ เพราะฉะนั้นอันนี้ประชาชนจะตัดสิน
สำหรับพรรคที่สำคัญอีกพรรคหนึ่งคือพรรคประชาชน
ดิฉันคิดว่าหลังจากมีการตัดสินใจซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหวตเตอร์ที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาและไว้ใจ
ก็มีความเสียใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งดิฉันมองว่ามันเป็นการประเมินสถานการณ์ที่เสี่ยงโดยไม่จำเป็นที่ไปสนับสนุนคุณอนุทิน
ดิฉันได้เคยพูดกับพรรคประชาชนบางท่านแล้วว่า
คุณเข้าใจผิดว่าคุณจะไว้ใจน้ำเงินหรือแดง คุณจะไว้ใจคุณทักษิณ หรือไว้ใจอนุทิน
คุณคิดว่าคุณน่าจะไว้ใจอนุทินมากกว่าคุณทักษิณหรือเปล่า? หรือคุณคิดอย่างนั้น
ที่จริงสำหรับดิฉัน ไม่ใช่!!!
คุณไม่ต้องมองหน้าและไม่ต้องมองสีเลย
การต่อสู้ของประชาชน ถ้าคุณอยู่บนเส้นทางที่ให้อำนาจประชาชนมาเป็นของประชาชนจริง
ไม่ได้อยู่ที่ชนชั้นนำ และโดยเฉพาะกลุ่มจารีตที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุณต้องไม่ทำให้ฝั่งจารีตที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชนแข็งแรงต่างหาก!!! นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องทำ
ไม่ใช่ไปทำให้เขาแข็งแรง คุณจะต้องทำให้เขาเสื่อมลงโดยการทำให้ฝั่งประชาชนเข้มแข็ง นี่ไม่ใช่การเลือกระหว่างแดงกับน้ำเงิน
มันเป็นการเลือกว่าคุณจะทำให้
ฝั่งระบอบอำมาตย์/ฝั่งระบอบพิเศษ/ฝั่งรัฐพันลึก/ฝั่งจารีต เข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า
ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นคุณอย่าทำ
แต่ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏก็คือพรรคสีน้ำเงิน
พรรคภูมิใจไทย เขาทำท่าอุลตร้าแมน เป็นซุปเปอร์แมนในแบบของคนไทย คืออยู่ ๆ
ก็ขึ้นมาเป็นอุลตร้าแมนเลย ด้วยการตัดสินใจที่มองเป้าหมายไม่ได้ผิด
คืออยากได้รัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าหลายคนเรียกว่าเป็นปฏิบัตินิยมหรือว่าวิธีการที่ไม่ถูก
แต่สำหรับดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องของกระบวนความคิด
หลักการที่เรามองคนเรารู้ที่จุดยืน อย่างคุณดูประวัติศาสตร์ อ.ธิดา
อ.ธิดาจะไปอยู่กับระบอบอำมาตย์มั้ย? เราสู้มานานแล้ว ประชาชนก็สู้มานานแล้ว
แล้วประเด็นเรื่องสว.
เป็นประเด็นใหญ่เลยนะ พูดกันตรง ๆ สมัยในหลวง ร.7
พระองค์ท่านมีความเห็นต่อคณะราษฎรมากก็เรื่องสว.
แล้วการฉีกรัฐธรรมนูญก็เรื่องเลือกสว. จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ 2550
ก็เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง แต่งตั้งครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นรัฐประหารทุกครั้งเขาก็จะแต่งตั้ง
เรื่องสว.
ก็คือกลไกสำคัญที่ระบอบพิเศษประเทศไทยต้องการใช้เครื่องมือนี้เพื่อคานอำนาจกับสส.
ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้น สว. จึงจะไม่มีการเลือกตั้งโดยตรง
เลยเลือกตั้งพิเรนทร์แบบที่เราเห็น เลือกตั้งแบบพิเรนทร์ แล้วก็สามารถ
รู้กันหรือเปล่า ไม่รู้ ที่ทำให้สามารถมีการจัดตั้งเป็นแบบพิเศษ
ได้เสียงมาตั้งร้อยกว่าเสียง ก็กลายเป็นสว. ที่เขาว่ากันว่าสีน้ำเงิน
แม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับก็ตาม
ดังนั้น
จุดยืนของประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยต้องเข้าใจว่า สว. เป็นเรื่องสำคัญ
ใครที่ใช้วิธีโกง เล่ห์กล กลเม็ด กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อเอาสว.มาอยู่ในอาณัติ
แสดงว่าพวกนี้ไม่เคารพประชาชน ต้องการใช้สว.เป็นเครื่องมือ
เหมือนกันกับการเลือกตั้ง เลือกตั้งยากกว่าเพราะว่าอาจจะมีหลายพรรค
แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กระสุนมันก็เป็นการโกงแบบหนึ่งเพื่อเอาคืนทีหลัง
แต่การเลือกสว.เป็นครั้งแรกในระบบนี้สามารถประสบความสำเร็จได้
ก็ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของระบอบพิเศษ ทำให้ได้สว.พิเศษ
เราจะใช้สว.พิเศษของระบอบจารีตมาทำให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนได้อย่างไร
นี่ไม่ต้องเสี่ยงเลย เพราะฉะนั้น “จุดยืน” กับ “หลักการ” สำคัญมากที่ขอฝากไว้
สำหรับตัวดิฉันเองก็มองว่า
พรรคประชาชนเริ่มต้นด้วยดี เป้าหมายก็ดี
แต่ว่าในกระบวนการเดินทางจำเป็นต้องมีการเรียนรู้การต่อสู้ของประชาชนและเรื่องราวต่าง
ๆ มากกว่านี้ ถ้าที่ปรึกษาคุณเป็นแค่นักทฤษฎี
ดิฉันไม่อยากจะใช้คำว่าอยู่บนหอคอยงาช้าง เพราะนักทฤษฎีในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น
ไม่ได้ลงมาทำการต่อสู้
ถ้าคุณเห็นนักต่อสู้ในอดีตที่สามารถต่อสู้และเอาการต่อสู้มาเป็นทฤษฎีด้วย
อย่างนั้นมันมาจากประสบการณ์จริงและนำขึ้นมาสู่ทฤษฎีได้
ดังนั้น การฟังประชาชน
การเรียนรู้บทเรียนทางอ้อมของนักต่อสู้ในอดีต
เมื่อตัวเองมีประสบการณ์น้อยจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
แต่ดิฉันคิดว่าขณะนี้พรรคประชาชนก็ได้พยายาม โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค
ซึ่งได้พูดจาชัดเจนซึ่งแสดงออก ไม่ต้องพูดขอโทษโดยตรง แต่แสดงออกให้เห็นถึงการรับผิดชอบ
แล้วก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ไม่ใช่เหมือนที่เขานินทานะ ว่ามี Chapter 1 ให้พรรคสีน้ำเงินเป็นรัฐบาลชั่วคราว
ต่อไป Chapter 2 ก็จะเป็นรัฐบาลร่วมกัน
อย่าให้คนเชื่อมั่นอย่างนั้น เพราะว่าเราตัดสินคนที่จุดยืนอย่างที่บอก
จุดยืนอย่างไร เป้าหมายเขาก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป้าหมายต่างกัน
มันเดินทางด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าเขาก็ต้องเอาเป้าหมายเขาเป็นหลัก
พรรคประชาชนก็ต้องเอาเป้าหมายของตัวเองเป็นหลัก
บางทีแม้กระทั่งการร่วมทางกันก็ยังยาก คือพูดง่าย ๆ
ว่าจะเป็นแนวร่วมกันก็ยังไม่ได้เลย แนวร่วมที่จะร่วมกันได้ อย่างน้อยเป้าหมายต้องเหมือนกัน
ถ้าเป้าหมายไม่เหมือนกัน ก็คือไม่เอาอำนาจประชาชนคืนมานะ
อย่าว่าแต่เป็นเนื้อเดียวกันเลย เป็นแนวร่วมกันก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดก็คือต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน
อันนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แต่ดิฉันก็คิดว่าพรรคประชาชนได้มีความพยายามที่มากขึ้น
ดีขึ้น และยังเป็นพรรคที่เป็นความหวังไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนอยู่
ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้ผิดหวัง ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่ง
เป็นบทเรียนที่สำคัญอย่างจริงใจ ไม่ใช่ขอไปที เออ...ขอโทษก็ได้ อะไรประมาณนั้น
ขอให้เป็นความจริงใจ ประชาชนต้องการพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ก็คือทำให้ประเทศนี้ ที่คำขวัญของคุณ โอเคเลย “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก”
คุณสรยุทธเขาบอกให้ตัดไทยออก “ไทยไม่เทา เท่ากัน ทันโลก” Motto นี้มันแสดงถึงวิสัยทัศน์ โอเคเลย
คือเพียง 3 อย่างนี้ก็รู้แล้วว่าจะไปทางไหน คืนอำนาจให้ประชาชนก็คือไทยเท่ากัน
แต่มันต้องทันโลกด้วย แล้วก็ไม่เอาเทา มันก็เป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่รุนแรงยิ่ง
เป็นวิกฤตอย่างมาก คำขวัญอันนี้โอเค ในทัศนะของดิฉัน
ก็คือสามารถเป็นคำขวัญที่ชี้นำได้
ดิฉันก็มีอย่างเดียวก็เอาใจช่วยว่า
อย่าประเมินตัวเองต่ำไปว่า ไม่เป็นไรหรอก ผิดก็เสียโหวตเตอร์ไปจำนวนหนึ่ง
ในนั้นเท่ากับประเมินประชาชนต่ำไปด้วย
เพราะว่าประชาชนเขาให้ความหวังและศรัทธากับพรรคประชาชนมากทีเดียวนะ
ขนาดไปพูดครั้งเดียวก็ได้ 44%
ที่เวทีไทยรัฐดีเบต ก็ทำได้ดี ดิฉันว่าคงจะได้ตอนยกมือนั่นแหละ
และนั่นคือหัวใจของคนไทยที่ก้าวหน้าที่ต้องการสังคมสันติสุขจริง ๆ ไม่ได้เอา Zero-sum
game คือต้องเอาให้ตายกันข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็เอาใจช่วย
และเชื่อมั่นฟังประชาชนด้วยว่าเขาก็เป็น Active citizen คนที่เลือกมา
ไม่ใช่โหวตเตอร์ธรรมดา เขามีประสบการณ์ มีอุดมการณ์ ถ้าเขาหมดศรัทธา มันร้ายแรงนะ
ดิฉันเคยอยู่ในองค์กรที่ประสบวิกฤตศรัทธามาเยอะ
ยกตัวอย่างก็ได้ เช่น พคท. พอเจอวิกฤตศรัทธาเท่านั้น คนมีอุดมการณ์ทั้งนั้นเลย
จบเลย อย่าให้มีวิกฤตศรัทธา เอาเป็นแต่เพียงว่าเป็นปัญหาที่จะต้องเรียนรู้และแก้ไข
อย่าให้มันเป็นวิกฤต เพราะเขาอาจจะมองว่าแล้วเดี๋ยวต่อไปอาจจะทำอย่างนี้อีกหรือเปล่า?
ดิฉันก็คือว่าการสร้างความเชื่อมั่น คือตอนนี้ก็ทำได้ดีแล้ว
ก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง แล้วก็ประเมินคนประเมินที่จุดยืน จุดยืนสำคัญที่สุด
และการปฏิบัติ พูดนี่ไม่ต้องเชื่อเลย อ.ธิดาพูดนี่ก็ไม่ต้องเชื่อ
แต่ดูการกระทำตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน อันนั้นเป็นตัวตัดสิน
พูดนั้นพูดอะไรก็พูดได้ ยิ่งเฉพาะนักการเมือง พูดได้ทั้งนั้นเลย
ขนาดอาจารย์ไม่ทำพรรคยังเจอระดับพวกแกนนำ ผิดคำพูดผ่านมาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น
คำพูดตัดสินคนไม่ได้ ประวัติศาสตร์ การกระทำ จุดยืน เป้าหมาย ตัดสินคน!!!
ทีนี้พรรคสีน้ำเงิน
ขอพูดสั้น ๆ ก็แล้วกัน กลายเป็นอุลตร้าแมน ซึ่งเขาพูดตลอดเวลา
ตอนนั้นที่เขากินเค้กส้ม ความจริงดิฉันไม่อยากพูดให้เสียใจ
เขารู้สึกว่าแหมมันหอมหวานอร่อย จำได้มั้ยหลังจาก MOA ไปที่ไหนก็จะกินเค้กส้ม
มันเป็นขนมสำหรับเขาและทำให้เขาเติบโต อันนั้นมันเป็นสัญลักษณ์ของความคิด
เห็นส้มเป็นขนมที่กินชั่วคราว ไม่ได้กินให้อิ่มด้วย
ทีนี้พรรคนี้ขณะนี้พูดตรง
ๆ ว่าเป็นตัวแทนของระบอบพิเศษในประเทศไทย
เป็นตัวแทนของฝั่งอำนาจจารีตนิยมในประเทศไทยที่แน่นอน
เพราะฉะนั้นอำนาจพิเศษประเทศไทยหวังว่าจะได้รัฐบาลที่มีคุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี
คุณอนุทินก็ไปหอบ ไปกวาดพรรคต่าง ๆ มาหมดเพื่อให้ได้ใบอนุญาตที่ 1
เพราะเขาได้ใบอนุญาตอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว แล้วใคร ๆ
ก็มาร่วมกันเพราะหวังว่าจะได้เป็นรัฐบาล เราก็จะต้องมาดูกันว่า ผลของใบอนุญาตที่ 1
เลือกตั้ง พรรคสีน้ำเงิน/พรรคภูมิใจไทย ทำได้สำเร็จไหม? เขามี “กระสุน”
เต็มเลยทั้งในคลังของตามบ้านใหญ่และในคลังของพรรค “กระแส” เขาก็ได้จากรัฐมนตรี 3
คน ซึ่งอาจจะทำให้คนชั้นกลางหรือคนชั้นสูงจำนวนหนึ่ง
หรือคนประเภทบ้านมีรั้วเวลาเราเดินหาเสียงจำนวนหนึ่ง รู้สึกว่าโอเคนะ
อยากได้คุณศุภจี แล้วก็อยากได้รัฐมนตรีต่างประเทศคนเดิม อยากได้รัฐมนตรีคลังเดิม
ซึ่งเดิมพรรคนี้ไม่เคยมี เพราะเป็นพรรคอันดับรอง มีหน้าที่เป็นรัฐมนตรี
ชิงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยกับคมนาคมเป็นหลักเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เขาคิดใหญ่เพื่อเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้น เขามีทั้ง
“กระแส” มีทั้ง “กระสุน” แล้วก็มีทั้งใบอนุญาตพิเศษ
มีแต่พลังประชาชนเท่านั้นที่จะตัดสินว่าจะอนุญาตให้ได้รัฐบาลของระบอบพิเศษประเทศไทยหรือเปล่า
ของพลังอำนาจจารีตหรือเปล่า แน่นอน!
พรรคประชาชนอาจจะไปทำให้เขาพุ่งขึ้นมาเป็นอุลตร้าแมน แต่ว่าเวลาในการเลือกตั้งนี้
การปรับ/การเดินหน้าอย่างซื่อตรง อย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว
และให้เกียรติประชาชนและโหวตเตอร์ ไม่ได้มองว่าเขาเป็นแค่โหวตเตอร์
ไอ้พวกนั้นพวกจ่ายเงินนั่นแหละ มันก็จะคิดเอาว่าเป็นโหวตเตอร์
แต่ว่าถ้าเป็นพรรคที่ไม่ได้ใช้กระสุน เราต้องคิดว่าเขาเลือกเราเพราะอุดมการณ์ตรงกัน
ต้องเคารพตรงนี้ ซึ่งดิฉันก็อยากให้พรรคที่ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน
พรรคที่ต้องการปรับโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำจริง ๆ
ได้รับชัยชนะ แต่ว่าแม้ใบอนุญาตอื่น ๆ จะยังไม่ได้ แต่ถ้าประชาชนเลือกล้นหลาม
มันก็เป็นอำนาจต่อรองที่น่าคิด และก็จะผลักประเทศไปข้างหน้าได้ระดับหนึ่ง
ก็คือต้องมีอำนาจต่อรองที่สูง
ถ้ามีการเลือกแล้วพรรคฝ่ายเสรีประชาธิปไตยได้คะแนนใบอนุญาตที่ 1
ล้นหลามมากเป็นพิเศษ อันนี้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี
สุดท้ายสำหรับดิฉันที่เป็นห่วงมากสักหน่อยก็คือเรื่องประชามติ
ดิฉันมองว่ารัฐบาลขณะนี้ สว.และพรรคฝั่งจารีตอำนาจนิยมไม่ต้องการได้รัฐธรรมนูญใหม่
เขาอาจจะมีกลเม็ดและกลยุทธ์จำนวนมากก็ได้
ที่ทำให้ประชามติไม่เห็นชอบในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ อันนี้อย่าประมาท ควบคู่กับการเลือกพรรคที่ต้องการอำนาจประชาชนคืนมา
มันต้องมีการรณรงค์เรื่องปัญหาประชามติด้วย เพราะถ้าประชามติครั้งนี้
ฝั่งจารีตอำนาจนิยมได้ใบอนุญาตที่ 1 มาเยอะ
แล้วเขาไปทำให้กลายเป็นว่าไม่เห็นชอบในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ มันจบกันนะ
มันยากมาก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มันเขียนเพื่อทำให้ฉีกได้อย่างเดียว
เขียนใหม่/แก้ใหม่ ยากมาก!!!
และโดยเฉพาะ
มันยากเพราะมันอยู่ในการครอบงำของอำนาจพิเศษและพรรคจารีต เพราะฉะนั้น
นอกจากการเลือกตั้งให้ได้พรรคการเมืองที่มีจุดยืนอยู่กับประชาชน ไม่ใช่ฝั่งชนชั้นนำจารีตนิยมแล้ว
ที่สำคัญก็คืออย่าให้ประชามติกลายเป็นไม่เห็นชอบ ดังนั้น
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงสำคัญมาก คือต้องใช้ความพยายามให้มากสำหรับฝ่ายประชาชน
ทั้งในเรื่องประชามติ ทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง
เพราะขณะนี้พรรคฝ่ายจารีตโดยคุณอนุทินเป็นแต้มต่อ เขาได้ใบอนุญาตหลายใบ
แล้วเขาได้กระแสมาช่วยด้วย เพราะฉะนั้น ฝั่งประชาชนที่จุดยืนไม่มั่นคง
หรืออยู่ในชนชั้นที่ได้เปรียบทางฐานะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะเป็นสวิงโหวต
ก็อาจจะไปโหวตเห็นดีเห็นงามกับนายกฯ ที่ถือธงจารีตอำนาจนิยมนะคะ
มันก็อาจจะเป็นไปได้
อยากให้ประชาชนช่วยกันเต็มที่
คือช่วยกันสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชัดเจนในการคืนอำนาจให้กับประชาชน
และช่วยกันสนับสนุนเห็นชอบในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้ผ่าน
เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนว่าใครจะจับมือกับใครต่อไปนั้นเป็นอีกตอนหนึ่ง
ดิฉันเอาเป็นว่า ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากความเสียใจ หรือจากความผิดหวัง
หรือผิดพลาด เปลี่ยนให้เป็นพลังของการต่อสู้ที่เข้มแข็งให้มากขึ้น ๆ ค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #การเลือกตั้งทั่วไป #เลือกตั้ง2569 #ระบอบพิเศษของประเทศไทย






