วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พริษฐ์ และ คณะกรรมาธิการฯ จัดกิจกรรมระดมความเห็นเรื่องนโยบายป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย - ชง 3 ข้อเสนอให้ภาครัฐเอาจริง ปรับปรุงระบบตัดแต้มและการออกใบสั่ง จัดทำมาตรฐานกลางและคู่มือในการออกแบบทางม้าลายที่ปลอดภัยและบังคับใช้กับถนนของทุกหน่วยงาน ทบทวนหลักสูตรและรูปแบบการรณรงค์

 


พริษฐ์ และ คณะกรรมาธิการฯ จัดกิจกรรมระดมความเห็นเรื่องนโยบายป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย - ชง 3 ข้อเสนอให้ภาครัฐเอาจริง ปรับปรุงระบบตัดแต้มและการออกใบสั่ง จัดทำมาตรฐานกลางและคู่มือในการออกแบบทางม้าลายที่ปลอดภัยและบังคับใช้กับถนนของทุกหน่วยงาน ทบทวนหลักสูตรและรูปแบบการรณรงค์


วันที่ 5 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนฯ ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อนำเสนอข้อเสนอและระดมความเห็นต่อแนวทางในการป้องกันปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะตรงทางข้ามหรือทางม้าลาย ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน โดยมีพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และ ฉัตร สุภัทรวณิชย์ สส. นครราชสีมา เขต 1 พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ เข้าร่วมกิจรรม


พริษฐ์กล่าวว่าปัญหาเรื่องอุบัติเหตุทางถนน เป็นปัญหาอันดับต้นๆของประเทศที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ดังนี้


หากเทียบกับโลก: อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในไทยอยู่ที่ประมาณ 25.4 คน ต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 17.4 คน ต่อประชากร 100,000 คน


หากเทียบภายในประเทศ: อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต อันดับ 5 ที่คร่าชีวิตคนไทย - สูงกว่าโรคเบาหวาน และโรคทางเดินหายใจ 


หากจะเอาจริงกับปัญหาดังกล่าว เราไม่ควรมองว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นแค่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบาย ว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหนในการปกป้องชีวิตของประชาชนจากปัญหาดังกล่าว - แม้ทางม้าลายควรเป็นพื้นที่หรือทางข้ามที่คนเดินสามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยที่สุด แต่รถยนต์จำนวนไม่น้อยยังเลือกที่จะไม่หยุดให้กับคนข้ามตรงทางม้าลายตามที่กฎหมายกำหนด


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่าจากการรวบรวมข้อมูลจากทีมอาสาสมัครที่สำรวจปัญหาในพื้นที่ กทม. จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มาร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการ และจากข้อเสนอของภาควิชาการ-ภาคประชาชน การแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจต้องอาศัยมาตรการอย่างน้อย 3 หมวดหมู่ ดังนี้


หมวดหมู่ 1 มาตรการทางวิศวกรรม-ออกแบบ เพื่อออกแบบถนนหนทางและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัย


ปัจจุบัน ทางข้ามหลายแห่งยังมีสภาพแวดล้อมหรือการออกแบบที่ไม่เอื้อต่อความปลอดภัย เช่น


ขาดองค์ประกอบพื้นฐานทางวิศวกรรมจราจรที่สำคัญต่อความปลอดภัย (เช่น สีทางม้าลายที่ชัดเจน / ป้ายสัญลักษณ์ที่รถเห็นได้จากไกล / สัญญาณไฟ (หากมี) ที่เผื่อเวลาให้คนข้ามได้ทัน / เกาะกลางมีพื้นที่เพียงพอ)


ถูกตั้งในจุดที่ไม่เอื้อต่อความปลอดภัย (เช่น ตั้งอยู่ในจุดหลังทางโค้งที่ชะลอความเร็วไม่ทัน)


ไม่ได้ถูกออกแบบในลักษณะที่สอดรับหลักการ อารยสถาปัตย์และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม (เช่น ไม่มีทางลาดและพื้นทางข้ามที่สะดวกสำหรับผู้ใช้รถเข็น / ไม่มีเสียงหรือพื้นผิวสัมผัสสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการมองเห็น)


ถูกออกแบบในลักษณะที่เพิ่มความสับสนสำหรับผู้ใช้งาน (เช่น ทางข้ามบางแห่งมีสัญญาณไฟ แต่ยังทาสีพื้นเป็นทางม้าลาย จนทำให้ผู้เดินสับสนว่าต้องรอสัญญาณไฟ หรือข้ามได้ตลอด)


พริษฐ์เผยข้อเสนอเบื้องต้นจากการระดมความเห็นในหมวดหมู่ที่ 1 ดังนี้


1.1. จัดทำ “มาตรฐานหรือคู่มือกลาง” ที่ถนนทุกสายและทุกสังกัดใช้ในการออกแบบทางข้ามในแต่ละลำดับชั้นของถนน เพื่อกำหนดเกณฑ์ที่สำคัญต่อความปลอดภัย (เช่น สี ที่ตั้ง การมองเห็น ป้ายสัญลักษณ์ จังหวะของสัญญาณไฟ หลักอารยสถาปัตย์) และรองรับโดยกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่กำหนดแนวทางการแก้ไขคู่มือ และเปิดให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอุบัติเหตุได้


1.2. กำหนดให้มีระบบการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน (road safety audit) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งต้องรวมถึงการตรวจสอบทางข้ามทุกจุดเทียบกับมาตรฐานกลาง เพื่อระบุปัญหาและดำเนินการปรับปรุง


หมวดหมู่ 2 มาตรการทางกฎหมาย เพื่อกำหนดโทษที่ได้สัดส่วนและบังคับใช้กับผู้กระทำผิดได้จริง


พริษฐ์กล่าวว่าหากคำนวณตัวเลขจากสถิติของหน่วยงานต่างๆ เราจะค้นพบว่าคนขับ 1 คน อาจต้องมีพฤติกรรมในการไม่จอดให้คนข้ามตรงทางม้าลายถึง 700 ครั้ง ใน กทม. ก่อนจะถูกพักใบขับขี่และขับรถบนท้องถนนไม่ได้เป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุผลดังนี้


ผู้ที่ไม่จอดให้คนข้ามตรงทางม้าลาย อาจไม่ถูกหน่วยงานรัฐระบุตัวตนได้ เนื่องจากกล้องตรวจจับที่ระบุทะเบียนรถได้อัตโนมัติ มีอยู่เพียงประมาณ 50 จุด เมื่อเทียบกับทางม้าลายที่ติดสัญญาณไฟกว่า 300 จุด (หรือทางม้าลายทั่วไปทั้งหมด 3,000–4,000 จุด) ในพื้นที่ กทม.


ผู้ที่ถูกตรวจจับแล้ว อาจไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้อมูลว่าสามารถออกใบสั่งให้กับผู้ที่ถูกกล้องตรวจจับว่าไม่จอดให้คนข้ามตรงทางม้าลายได้แค่ประมาณ 10% เนื่องจากต้นทุนและภาระทางธุรการที่สูง รวมถึงจำนวนกรณีการกระทำผิดที่มีจำนวนมาก


ผู้ที่ถูกลงโทษหรือตัดแต้มกรณีไม่จอดให้คนข้ามตรงทางม้าลาย จะถูกพักใบขับขี่ต่อเมื่อถูกลงโทษทั้งหมด 12 ครั้ง ในขณะที่คนขับในประเทศอื่นจะถูกพักใบขับขี่หลังถูกลงโทษจากการไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลายเพียงแค่ประมาณ 2-8 ครั้ง


ข้อเสนอเบื้องต้นจากการระดมความเห็นหมวดที่ 2


2.1. ปรับปรุงระบบการออกใบสั่ง เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดได้จริง (เช่น เชื่อมข้อมูลทะเบียนรถกับผู้ขับขี่หลัก พิจารณากำหนดให้ส่งใบสั่งออนไลน์ได้ 100% โดยไม่ต้องส่งจดหมาย)


2.2. ออกโครงการให้รางวัลนำจับกับประชาชนที่แจ้งเบาะแสของผู้กระทำผิดที่ไม่จอดตรงทางม้าลาย เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย


2.3. ปรับปรุงโทษจากระบบตัดแต้มให้ได้สัดส่วนกับฐานความผิด (เช่น เพิ่มจำนวนแต้มที่ถูกตัดกรณีไม่จอดตรงทางม้าลาย / ทบทวนระยะเวลาการพักโทษจากกรณีถูกตัดแต้มหมด)


หมวดหมู่ 3 มาตรการทางสังคม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ รณรงค์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ถนน


พริษฐ์กล่าวว่าปัจจุบันนี้ ค่านิยมในสังคมบางส่วนอาจทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีแนวคิดในการออกแบบนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการส่งเสริมความปลอดภัยของทางข้ามเท่าที่ควร (เช่น ให้ความสำคัญกับความสะดวกของยานพาหนะมากกว่าสิทธิของคนเดินเท้า)


ข้อเสนอเบื้องต้นจากการระดมความเห็นหมวดที่ 3 ดังนี้


3.1. ปรับปรุงหลักสูตรการอบรมหรือรูปแบบการถ่ายทอดความรู้และข้อมูลเรื่องการใช้ทางข้ามอย่างปลอดภัย ทั้งสำหรับการเรียนการสอนในสถานศึกษา และการอบรมใบขับขี่


3.2. ออกแบบแนวทางในการรณรงค์เรื่องการขับขี่ตรงทางข้ามอย่างปลอดภัย โดยนำแนวคิดของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาใช้ในการ “สกิด” (nudge) เพื่อชี้นำพฤติกรรมคน (เช่น ยกระดับบทบาทของขนส่งสาธารณะให้เป็นต้นแบบที่ดี / นำร่องการออกแบบสัญลักษณ์คนเดิน-ลายเท้า-เงาคนก่อนถึงทางม้าลาย เพื่อดังความสนใจคนขับ)


ข้อเสนอจากการระดมความเห็นตลอดวัน จะถูกส่งต่อให้กับทางคณะกรรมาธิการในการรวบรวมและส่งต่อให้กับภาคส่วนต่างๆ เป็นการต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์