จับตารัฐบาลอนุทิน
เร่งเปิดดีลแสนล้านซื้อคืนรถไฟฟ้าจากนายทุน หวังโกยกระสุนไปเลือกตั้งหรือไม่
พรรคประชาชนยกเหตุผลไม่เห็นด้วย ควรให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งตัดสินใจ
วันที่
11 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ
สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
แถลงข่าวกรณีกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติหลักการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชน
จำนวน 4 สาย ประกอบด้วย สายสีเขียว สายสีชมพู สายสีเหลือง
และสายสีน้ำเงิน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
เพื่อโอนกิจการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริหารจัดการรายเดียว
โดยสุรเชษฐ์ตั้งข้อสังเกตว่าการที่รัฐบาลชั่วคราวเร่งผลักดันเรื่องนี้ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่และผูกพันงบประมาณมหาศาล
อาจมีวาระซ่อนเร้นเรื่องผลประโยชน์ที่จะนำไปใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่
สุรเชษฐ์กล่าวว่า
พรรคประชาชนจับตาเรื่องนี้ด้วยความกังวลจาก 2 เหตุผลหลัก
(1)
ดีลแสนล้านนี้เอื้อนายทุนใหญ่รถไฟฟ้าหรือไม่
เนื่องจากปัจจุบันสัญญาสัมปทานเป็นลักษณะ PPP Net Cost กล่าวคือเอกชนได้รับสิทธิในการลงทุน
ระบบเดินรถและให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ โดยเอกชน “ต้อง”
รับความเสี่ยงเรื่องจำนวนผู้โดยสารเอง ซึ่งที่ผ่านมารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีเหลือง
และสีชมพู ขาดทุนเพราะผู้โดยสารน้อยกว่าที่คาดการณ์ เอกชนจึงอยากขายคืนรัฐอยู่แล้ว
เพื่อให้รัฐรับภาระความผิดพลาดจากการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารสูงเกินจริงแทน
ขณะที่สายสีเขียว สัญญาสัมปทานจะหมดในปี 2572 และมีปัญหาคดีความอยู่ที่
ป.ป.ช. ดังนั้น
การที่รัฐซื้อคืนนอกจากจะส่อไปในทางเอื้อประโยชน์เรื่องราคาที่เหมาะสมแล้ว
อาจเป็นการ “ฟอกขาว” แทนที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ
(2)
อย่าจับ “ตั๋วร่วม” เป็นตัวประกัน
รัฐบาลอ้างความจำเป็นในการรวมศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single
Ownership) ว่าก็เพื่อทำระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) แต่ความจริงแล้วรัฐไม่จำเป็นต้องซื้อคืนก็ทำระบบตั๋วร่วมได้ทันที
เพราะปัจจุบันมี พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่ผ่านสภาไปแล้ว
รัฐบาลควรเดินตามแนวทางกฎหมายดังกล่าวและเร่งทำกฎหมายลูกออกมาเพื่อทำให้ตั๋วร่วมเกิดขึ้นจริงโดยรถไฟฟ้าทุกสายต้องเข้าร่วม
ทั้งนี้หลักการ
Single
Ownership ไม่ได้เป็นเรื่องผิด แต่ไม่ควรทำด้วยการซื้อคืน
เพราะเป็นการเปิดช่องให้นายทุนใหญ่รถไฟฟ้าเจรจากับนักการเมืองเพื่อเปลี่ยนสัญญารัฐและหากินจากราคาส่วนต่าง
คำถามสำคัญที่รัฐบาลต้องตอบหากยืนยันจะเดินหน้าเรื่องนี้คือรัฐบาลจะซื้อคืนที่ราคาเท่าไหร่
ทำไมไม่ทำตามสัญญาที่เซ็นกันไปแล้ว และดีลใหม่ให้ผลประโยชน์แก่เอกชนอย่างไรบ้าง
เพราะหากผลประโยชน์ไม่ดีขึ้น มีหรือที่เอกชนจะยอมเซ็น
“หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องทำตามสัญญาที่เซ็นกันไปแล้ว ไม่ใช่หาข้ออ้าง
เล็งแต่การหาผลประโยชน์เพิ่มจากการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทาน
และเมื่อหมดสัญญาสัมปทานแล้ว ควรเอากลับคืนมาเป็นของรัฐ
ไม่ใช่หาเรื่องขยายสัมปทานไปเรื่อย ๆ แบบกรณีสัมปทานทางด่วน”
สุรเชษฐ์กล่าวว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐบาลชั่วคราว
ไม่ควรฟันธงเพื่อนับหนึ่งในการซื้อคืน
แต่ควรกางตัวเลขออกสู่สาธารณะเพื่อให้แต่ละพรรคช่วยกันคิดหาทางออก
รอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรมเป็นผู้ตัดสินใจ โดยในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง
ควรให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง ให้แต่ละพรรคเสนอทางออก
แล้วมาถกเถียงกันผ่านเวทีดีเบต
ประชาชนจะได้เห็นว่าใครทำเพื่อประชาชนและใครทำเพื่อนายทุน
กำหนดกรอบในการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์
เช่น
แต่ละพรรคจะแก้ปัญหาระบบขนส่งสาธารณะอย่างไร
หากจะซื้อคืนรถไฟฟ้าจริงต้องใช้เงินเท่าไหร่ เงินมาจากไหน
ทำอย่างไรไม่ให้ต้องเอาเงินจากลูกหลานในอนาคตมาเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ในปัจจุบัน
แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจผ่านคูหาเลือกตั้ง
