‘ปั๋น ชิตวัน - อดีตโค้ชแซม เฉลิมพงศ์” ซัดพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 ล้มเหลว สะท้อนรัฐบาลบริหารแย่ มีนักกีฬาเก่ง คุณภาพสูงมากมาย แต่รัฐล้มเหลวในการพัฒนาจริงจัง
วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ตามที่วานนี้ (9 ธ.ค.) มีพิธีเปิดการแข่งขันซีเกมส์ที่สะท้อนถึงความผิดพลาดหลายจุดจนสังคมตั้งคำถามถึงความไม่พร้อมจริงๆ สำหรับการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ของไทยในปีนี้ โดย “ปั๋น ชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สส. เชียงรายเขต 1 พรรคประชาชน และ “อดีตโค้ชแซม เฉลิมพงศ์ แสงดี” สส. ภูเก็ต เขต 2 กล่าวถึงความผิดพลาดของซีเกมส์ 2025 ดังนี้
[ พิธีเปิดซีเกมส์ล้มเหลว ความผิดพลาดที่ไม่ควรถูกกลบ]
ชิตวันกล่าวว่า เมื่อความบกพร่องพื้นฐานสะท้อนปัญหาการบริหารของรัฐบาล ตนอยากชวนทุกคนมองภาพรวมของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในพิธีเปิดซีเกมส์ 33 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียง “จุดสะดุดเล็ก ๆ” แบบที่หลายฝ่ายพยายามลดทอนให้เป็น แต่เป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการของรัฐบาลอย่างชัดเจน
ทั้งในด้านการเตรียมงาน การจัดการหลังบ้าน และการใส่ใจต่อรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของประเทศ
หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างหนักคือกรณีของนักร้องสาว Violette Wautier ซึ่งถูกผลักให้รับผลจากความผิดพลาดทางเทคนิคที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย งานถูกกำหนดให้เป็นการลิปซิงก์เต็มรูปแบบ แต่กลับเกิดปัญหาระบบเสียงจนทำให้เสียงเพี้ยนไปทั้งประเทศ ทั้งที่นักร้องไม่ได้ยินเสียงตัวเองผ่านหูฟัง และทำงานตามที่ผู้จัดกำหนดอย่างเคร่งครัด เหตุการณ์นี้ทำให้ศิลปินได้รับความกระทบกระเทือน ทั้งที่ตัวต้นเหตุคือการจัดการของผู้รับผิดชอบในงานระดับนานาชาติ ซึ่งควรมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้
ชิตวันยังสะท้อนถึงพิธีเปิดในมุมอื่น ที่พบว่ามีเหตุการณ์ธงชาติผิดประเทศปรากฏบนจอขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะในงานระดับภูมิภาคที่มีสายตาของทั้งอาเซียนจับจ้องอยู่ ธงไทยปรากฏแทนธงเวียดนาม ขณะที่ธงอินโดนีเซียกลับถูกแทนด้วยธงสิงคโปร์
อีกทั้งกราฟิกที่ใช้ย้อนประวัติกลับใช้ธงผิดประเทศ เรื่องเหล่านี้กระทบต่อความรู้สึกของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเป็นภาพจำที่เป็นบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะเจ้าภาพ
ก่อนหน้าพิธีเปิดไม่นาน ก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่ผู้เล่นต้องร้องเพลงชาติเองในสนามฟุตบอลเพราะระบบเสียงไม่ทำงาน ดนตรีไม่ขึ้น ไมค์ไม่ติด ผู้เล่นร้องกันเองแบบไม่มีดนตรีรองรับ นี่เป็นภาพที่หลายคนสงสัยว่า มาตรฐานของการเตรียมงานระดับซีเกมส์ควรเป็นเช่นนี้จริงหรือ ในพิธีเปิดเองก็ยังพบปัญหาเสียง การซิงก์ภาพ การถ่ายทอดสด และความไม่เสถียรที่แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ในการเตรียมงาน
ชิตวันกล่าวต่อไปว่า เมื่อสืบไปถึงเบื้องหลัง ก็พบว่าทีมผู้ผลิตพิธีเปิดชุดเดิมที่ทำงานมานานกว่า 7 เดือนถูกยกเลิก และเปลี่ยนทีมใหม่ก่อนงานเพียงไม่กี่สัปดาห์ นั่นหมายความว่าพิธีเปิดระดับภูมิภาคนี้ถูกเตรียมอย่างเร่งรีบ ชนิดที่ไม่อาจคาดหวังความสมบูรณ์แบบได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อขาดการวางแผนที่ดี ปัญหาจุดเล็กๆ ก็จะลุกลามจนกลายเป็นภาพรวมที่ “ไม่พร้อม” ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของบุคลากรระดับปฏิบัติการ แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นทาง
ภาพรวมของการจัดงานในปีนี้จึงเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งเรื่องความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ คุณภาพของอุปกรณ์ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต และการสื่อสารที่ผิดพลาดหลายจุด เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่ควรปล่อยผ่าน เพราะมันสะท้อนถึงความเสื่อมถอยของมาตรฐานในการจัดงานระดับชาติของรัฐบาลชุดนี้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปัญหาซีเกมส์ถูกวิพากษ์อย่างกว้างขวาง ประเทศก็เผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัด ความตึงเครียดไทย–กัมพูชา และปัญหาสแกมเมอร์ที่ยังไม่สามารถจัดการให้เบ็ดเสร็จได้ ประเด็นเหล่านี้ล้วนสำคัญทั้งนั้น แต่ไม่ควรปล่อยให้ความผิดพลาดของการจัดซีเกมส์ถูกกลบหายไปในกระแสข่าวอื่น จนทำให้ผู้รับผิดชอบตัวจริงลอยตัวจากความผิดพลาดของตัวเอง
รัฐบาลมีหน้าที่บริหารทุกมิติ ไม่ใช่เลือกปกป้องประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แล้วปล่อยให้เรื่องอื่นเงียบหาย ความภูมิใจของชาติไม่ได้เกิดจากพิธีเปิดที่สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความรับผิดชอบของรัฐต่อหน้าที่ และความจริงใจต่อประชาชน วันนี้คนไทยไม่ได้ต้องการงานโชว์ แต่ต้องการมาตรฐานของการทำงานที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้
[ นักกีฬาไทยคุณภาพสูงมีจำนวนมาก แต่โตไม่ได้ เพราะไทยไม่เคยคิดพัฒนาจริงจัง ]
ด้าน “แซม เฉลิมพงศ์ แสงดี” สส. ภูเก็ต เขต 2 พรรคประชาชน คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร อดีตนักฟุตบอลเยาวชนภูเก็ตและยังเป็นอดีตโค้ชสโมสรฟุตซอลภูเก็ต ยูไนเต็ด หรือที่รู้จักกันว่า โค้ชแซม ให้ความเห็นประเด็นบริหารจัดการซีเกมส์ล้มเหลวนี้สะท้อนความไม่จริงจังในการพัฒนานักกีฬาของประเทศไทย
เฉลิมพงศ์กล่าวว่า ขอพูดในฐานะ “อดีตนักกีฬา” คนหนึ่ง คนที่เติบโตมาจากลมหายใจของกีฬา และใช้กีฬาหาเลี้ยงชีพในประเทศนี้ ประเทศไทย ไม่เคยขาดนักกีฬาที่มีคุณภาพ เรามีคนเก่ง เรามีนักสู้ มีคนที่ซ้อมกันอย่างหนักแทบเป็นแทบตายเป็นปีๆ
แต่สิ่งที่ประเทศนี้ “ขาด” มาตลอด คือ การสนับสนุนที่จริงจัง และ ระบบพัฒนากีฬาที่มั่นคงต่อเนื่อง
เวทีเดียวที่นักกีฬาไทยจะได้พิสูจน์ตัวเองต่อสายตานานาชาติ คือเวทีระดับชาติอย่าง "ซีเกมส์"
แต่วันนี้…เวทีนั้นกลับถูกทำให้ กลายเป็นแค่กีฬาสี ลดทอนคุณค่าของคนที่ซ้อมมาทั้งชีวิตเหมือนมันไม่มีความหมาย ตนขอถามตรงๆ แบบคนที่เคยลงสนามจริง นักกีฬาที่ทุ่มแรงกาย แรงใจ เป็นปีๆ…เขาควรได้เวทีที่มี ศักดิ์ศรีทีมชาติ หรือควรได้แค่เวทีที่ จัดไปงั้นๆ แบบขอไปที?
แทนที่รัฐจะยกระดับซีเกมส์ ให้เป็นเวทีแสดงพลังของ นักกีฬาไทยทั้งประเทศ เวทีที่ทำให้โลกเห็นว่า ไทยไม่แพ้ชาติไหนในด้านกีฬา กลับปล่อยให้มันกลายเป็นเวทีที่ทำลายโอกาสของคนที่ตั้งใจที่สุด
ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่ “ไม่มีนักกีฬาที่เก่ง” แต่คือ เราขาดผู้มีอำนาจที่จริงจังกับกีฬา ขาดการผลักดัน ขาดวิสัยทัศน์ และขาดความกล้าที่จะยืนข้างนักกีฬาจริงๆ ถ้ารัฐยังไม่เปลี่ยน นักกีฬาก็ต้องเจ็บซ้ำๆ แบบนี้ต่อไป ความฝันของเด็กไทยอีกนับไม่ถ้วนก็จะถูกปิดประตูตั้งแต่ยังไม่เริ่มวิ่ง
เฉลิมพงศ์ กล่าวว่า ตนจะไม่เงียบกับเรื่องนี้ เพราะตนรู้ดีว่า กว่าคนหนึ่งจะเป็น “นักกีฬาไทย” ได้เขาต้องแลกด้วยทั้งชีวิต
