วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

คำแถลงนโยบาย "รัฐบาลอนุทิน" ยึดหลักบริหาร 3 ประการ เร่งทำโครงการคนละครึ่ง

 


คำแถลงนโยบาย "รัฐบาลอนุทิน" ยึดหลักบริหาร 3 ประการ เร่งทำโครงการคนละครึ่ง


เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา แจ้งความพร้อมของรัฐบาลในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.เป็นต้นไป จากนั้นได้ส่งคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหา 8 หน้ากระดาษ โดยมีสาระสำคัญดังนี้


หลักบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายสำคัญยึดหลัก 3 ประการ ได้แก่

1. การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
2. ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของประชาชน และหยิบยกรัฐบาลเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โอกาสในการสร้างรายได้ของประชาชนและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ


และด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัดและงบประมาณที่ไม่ได้เป็นผู้จัดทำอีกทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังประเชิญอยู่ในขณะนี้ ควบคู่กับการวางรากฐานของประเทศกับการขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน สร้างความมั่นคงความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมือง และเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาชน


รัฐบาลนี้สนับสนุนการจัดทำประชามติและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของประชาชนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวถึง การกำหนดนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศเพื่อคืนความสุขให้แก่ประชาชน ทางด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมาย


ด้านเศรษฐกิจ


1. สร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยจัดทำโครงการคนละครึ่ง การบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้และความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ รวมถึงเกษตรกรและชุมชนในท้องถิ่นให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskil) และการเพิ่มทักษะ (Upskill) เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น และส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้า ภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนและเพิ่มพลังงานสีเขียวตามความต้องการของทุกภาคส่วน


2. แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่องบนพื้นฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรม ระหว่างสถาบันการเงินและผู้กู้ โดย


2.1 หนี้ภาคประชาชน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบรายละไม่เกินหนึ่งแสนบาท เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ทำให้คนไทยติดติดกับดักหนี้


2.2 เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รายละไม่เกินหนึ่งล้านบาท ควบคู่กับการสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้โดยสม่ำเสมอ การให้ความรู้ทางการเงินนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่


3. เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อยให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก เพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม โดยกันเงินจำนวนหนึ่งที่ผู้ซื้อสลากที่ไม่ถูกรางวัลให้มีเงินออมอันเกิดจากเงินที่กันไว้


4. ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว การจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง การจูงใจให้ภาคเอกชน ปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี การดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น


5. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า โดย


5.1 จัดตั้งทีมไทยแลนด์ ประกอบด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าไทย เพื่อยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิม และดำเนินการเชิงรุกในการเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development) เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ


5.2 ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา การสกัดปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า และป้องกันการทุ่มตลาด ร่วมมือกับภาคเอกชนในการเจรจารายละเอียดรายสินค้าที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเพื่อเตรียมการรองรับมาตรการด้านการค้าของสหรัฐอเมริกา อาทิ การจัดทำมาตรการในการส่งเสริมการใช้สินค้าอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก การกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมของสินค้ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการมีให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีการเผาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5


5.3 สร้างสภาพแวดล้อมการลงคนที่ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต โดยปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนการอนุญาตให้สะดวก โปร่งใส และเป็นมิตรต่อผู้ประกอบการ ปรับระบบส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่อาหารแห่งอนาคต พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้นักลงทุนจากต่างประเทศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทของไทย และสร้างห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศจากผู้ประกอบการไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการในประเทศ


ด้านความมั่นคง


6. เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพเพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็วและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา


นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจ และสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ


7. เร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคู่ขนานไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน


ด้านสังคม


8. ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ไม่สนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีธุรกิจการพนัน รวมถึงการพนันที่แฝงมาในรูปของกีฬา อาทิ โป๊กเกอร์ และจะดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติการพนันและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนันให้ได้มากที่สุด


9. รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐในกรณีเหล่านี้เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด


9.1 การละเว้นการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บ่อนการพนันและการพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอมและการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ


9.2 การใช้กฎหมายและเจ้าที่ขอของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง


10. ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาประเทศ


11. พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยดำเนินมาตรการป้องกันและขจัดการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยในส่วนของพระพุทธศาสนารัฐบาลจะดำเนินการโดยพระสังฆราชานุมิติด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


12. เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เยียวยาและฟื้นฟูให้ประชาชนผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน โดยเน้นการนำข้อมูลของส่วนราชการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติในพื้นที่อย่างจริงจังการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าและป่าชุมชนอย่างถูกต้อง รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


13. ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพุทธศักราช 2593 (คริสต์ศักราช 2050) เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย


13.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนและหน่วยงานของรัฐ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม

 

13.2 พัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5


13.3 จัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากลและผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว อาทิ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....


ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย


14. เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบควบคู่กับการผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเปิดของภาครัฐและเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจและประชาชน มีการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม วมถึงสามารถรองรับการบริหารราชการแบบจำลองเสมือนจริง (Sandbox) และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบ


15. เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ โดยยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและสร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจที่เรียกว่ากิโยติน (Gullotine) การริเริ่มเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลและผลักดันการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนไป และจัดตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นโยบายรัฐบาล #รัฐบาลอนุทิน #อนุทินชาญวีรกูล

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568

“ปารเมศ” ร่วมกับสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ เข้าพื้นที่ถนนยุบ เรียกร้องรัฐบาลสอบหาสาเหตุแท้จริง-ใครต้องรับผิดชอบ เร่งใช้ประโยชน์เซลล์บรอดแคสต์แจ้งเตือนประชาชน

 


“ปารเมศ” ร่วมกับสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ เข้าพื้นที่ถนนยุบ เรียกร้องรัฐบาลสอบหาสาเหตุแท้จริง-ใครต้องรับผิดชอบ เร่งใช้ประโยชน์เซลล์บรอดแคสต์แจ้งเตือนประชาชน


วันที่ 25 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส.กรุงเทพฯ เขต 1 พรรคประชาชน แถลงข่าวสถานการณ์ล่าสุดของพื้นที่ที่เกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณถนนสามเสน หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล และ สถานีตำรวจนครบาลสามเสน พร้อมกับ ศ.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย


โดยปารเมศกล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรในพื้นที่ ตนได้เข้าพื้นที่ตรวจสอบหลายครั้ง ตั้งแต่เมื่อวานช่วงเช้า รวมถึงวันนี้ช่วงเช้า เป็นโชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้สูญเสีย แต่เบื้องต้นสถานการณ์ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งแก้ไขหน้างานเพื่อควบคุมไม่ให้ความเสี่ยงไปถึงประชาชนในพื้นที่โดยรอบ เช่นชุมชนสวนอ้อย


ตนได้ลงพื้นที่และประสานงานเรื่องไฟฟ้า การอพยพประชาชน แต่สิ่งที่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบอย่างเคร่งครัด คือการตรวจสอบเรื่องมาตรฐานการก่อสร้าง รวมถึงต้องหาสาเหตุที่แท้จริงโดยเร็ว เพราะเป็นคำถามที่ประชาชนให้ความสำคัญและสนใจอย่างมาก เรื่องถัดมาที่เราต้องหาคำตอบ คือใครจะเป็นผู้รับผิดชอบอุบัติเหตุครั้งนี้ ต้องเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสถานีและการก่อสร้างอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสายสีม่วง สายสีส้ม หากวันนี้มีฝนตกลงมา สถานการณ์อาจจะเลวร้ายลง


ด้าน อมร กล่าวว่า หมวกอีกใบของตนคือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้าง มาตรฐานความปลอดภัย การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้ง กมธ.วิสามัญชุดนี้ขึ้นมา สืบเนื่องจากเหตุการณ์พังถล่มของโครงสร้างสาธารณะในหลายครั้งที่ผ่านมา โดยกรณีถนนยุบครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และส่งผลกระทบวงกว้าง


ในด้านวิศวกรรมขอสรุปเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ที่ต้องฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับไปพิจารณา


(1) ต้องมีการสำรวจสาเหตุที่แท้จริงโดยคณะกรรมการสอบสวนที่เป็นกลาง ที่ประกอบด้วยบุคลากรทั้งภาควิชาการ ภาควิชาชีพ ต้องเปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะให้วิศวกรทั่วไปเห็นข้อมูลทั้งหมดและสามารถให้ข้อคิดเห็นได้


(2) มาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า แบ่งเป็น 3 ส่วน คือพื้นถนนที่ยุบไปเป็นบ่อเป็นหลุม เกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ ดินข้างเคียงอาจจะไถลลงมาได้, โครงสร้างข้างเคียงซึ่งได้รับความเสียหายจากตัวฐานรากมีสภาพไม่มั่นคง ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเท่าเดิม และจุดเชื่อมต่อระหว่างอุโมงค์ที่เข้าไปเชื่อมกับตัวสถานี ที่เกิดความเสียหายจนดินจำนวนมากทะลักเข้าไป ทั้งหมดนี้จะแก้ไขซ่อมแซมอย่างไร เรื่องค่าใช้จ่ายและและระยะเวลาในการดำเนินการ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงให้ทราบอย่างชัดเจน


(3) การก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายกันในโครงการอื่น จะมีมาตรการตรวจสอบและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้อย่างไร ทั้งประชาชนผู้ใช้ถนนและประชาชนที่อาศัยอยู่ข้างเคียง


(4) การแก้ไขระเบียบกฎเกณฑ์ในการก่อสร้างโครงสร้างใต้ดินในชั้นดินอ่อน ต้องยอมรับว่ากรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อน มีสภาพเคลื่อนตัวได้ง่ายและมีน้ำใต้ดิน ระบบใต้ดินของ กทม. ก็ยังมีท่อระบายน้ำ ท่อประปา หากเกิดการแตก อาจทำให้น้ำทะลักออกมาได้ ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่วิศวกรที่ทำงานออกแบบและควบคุมการก่อสร้างต้องทราบและต้องตระหนักตั้งแต่ต้น ต้องมีมาตรการทางวิศวกรรมรองรับ เอามาตรฐานทางวิศวกรรมในการก่อสร้างชั้นใต้ดินมาทบทวนกันใหม่ทั้งหมด


นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ขอเรียกร้องให้มีการออกระเบียบหรือกฎเกณฑ์ว่าจะต้องมีระบบที่แจ้งเตือนกรณีที่ดินเกิดการเคลื่อนตัว ซึ่งในต่างประเทศมีอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนตัวของดินได้แบบเรียลไทม์และส่งสัญญาณเตือนหากมีการเคลื่อนตัวในระดับที่อาจส่งผลกระทบต่อการยุบตัว เพื่อสร้างความปลอดภัย สามารถปิดถนน อพยพผู้คนได้ทัน


จากนั้นปารเมศ กล่าวว่า ขอฝากข้อเรียกร้อง เรื่องแรกเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมที่กำกับดูแล รฟม. ตรวจสอบสถานีอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างที่อาจจะมีความเสี่ยงคล้ายกับเหตุการณ์นี้ และเรื่องที่ 2 เรียกร้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอให้เร่งรัดเรื่อง cell broadcast เพราะประชาชนในพื้นที่สะท้อนคำถามมาว่าเมื่อเกิดเหตุแล้ว เขาต้องฟังข้อมูลที่ถูกต้องจากที่ไหน ประเทศไทยเราผ่านโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุ ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายครั้ง นี่คือหลักฐานชัดเจนว่าระบบ cell broadcast ที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ แต่ต้องทำปูพรมทั้งประเทศ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ถนนยุบ




สภาล่ม! ขาดอีกเสียงเดียว องค์ประชุมไม่ครบ พิจารณา “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ต่อไม่ได้ “ฉลาด” สั่งปิดประชุมเวลา 16.00 น.

 


สภาล่ม! ขาดอีกเสียงเดียว องค์ประชุมไม่ครบ พิจารณา “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ต่อไม่ได้ “ฉลาด” สั่งปิดประชุมเวลา 16.00 น.


วันที่ 25 ก.ย. 2568 เวลา 11.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ประธานที่ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มีนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม อดีตสส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกมธ. พิจารณาแล้วเสร็จ มีเนื้อหาเกือบ 300 มาตรา โดยการลงมติแต่ละมาตราเป็นไปอย่างขลุกขลัก เสียเวลารอองค์ประชุมค่อนข้างนาน แต่ละมาตรามีเสียงเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมเพียง 6-7 เสียงเท่านั้น กระทั่งถึงมาตรา 16 ที่ต้องรอองค์ประชุมเกือบ 10 นาที ทำให้สส.พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชนไม่พอใจ เพราะมีแต่สส.พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทยเป็นองค์ประชุม แต่ไม่มีสส.พรรคเพื่อไทยเป็นองค์ประชุม


ในที่สุดนายไชยาสั่งพักประชุม 40 นาที เมื่อกลับมาประชุมใหม่ นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขอให้พักพิจารณาร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด เลื่อนไปประชุมสัปดาห์หน้า เพื่อให้ที่ประชุมหารือปัญหาเร่งด่วน ถนนสามเสมยุบตัวเป็นหลุมลึก แต่สส.พรรคประชาชนไม่เห็นด้วย ให้เดินหน้าพิจารณากฎหมายต่อ เพราะปัญหาเกิดจากสส.เพื่อไทยไม่อยู่ร่วมเป็นองค์ประชุม เกิดการโต้เถียงไปมา ในที่สุดนายไชยาขอให้พิจารณาร่างกฎหมายนี้ถึงมาตรา 23/8 ก่อน แล้วจึงให้พิจารณาเรื่องเร่งด่วน กรณีถนนทรุดตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แต่การลงมติในแต่ละมาตราของร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ยังเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ละมาตรามี สส. แสดงตนเป็นองค์ประชุมเกินมาเพียง 2-3 เสียงเท่านั้น กระทั่งถึงมาตรา 22 มีผู้มาแสดงตนเป็นองค์ประชุม 246 เสียง พอดีองค์ประชุม แต่ปรากฏตอนเสียบบัตรลงคะแนนจะเห็นชอบมาตรานี้หรือไม่ มีคะแนนเพียง 245 เสียงเท่านั้น ไม่ครบองค์ประชุม แต่นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม ระบุว่า มีสมาชิกลงมติด้วยวาจาเพิ่มอีก 1 เสียง


นายณัฐวุฒิ บัวปทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า เข้าใจว่าทางปฏิบัติของสภาฯ จะมีการดูองค์ประชุมสองรอบ คือรอบแรกในการแสดงตน ว่า มาครบหรือไม่ และเมื่อมีการแสดงตนครบ จึงจะเข้าสู่การลงมติ ซึ่งต้องดูมติการลงคะแนนในรอบที่สอง ว่าไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเมื่อสักครู่นี้ เราคงพยายามกันทุกพรรคแล้ว แต่คะแนนออกมาอยู่ที่ 245 เสียง ไม่ถึงกึ่งหนึ่งที่ 246 เสียง จึงขอให้ประธานและเจ้าหน้าที่ให้การยืนยันว่า ตกลงแล้วครบหรือไม่อย่างไร


ทำให้ สส.พรรรคประชาชนหลายคน ได้ขอให้มีการตรวจสอบอีกครั้ง อาทิ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ลุกขึ้นหารือว่า ขอให้ประธานปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ว่าเป็นความแน่นอนหรือไม่ ที่มีผู้ออกเสียงลงคะแนนทางไมโครโฟนเพิ่มหนึ่งท่าน


สุดท้าย นายฉลาดจึงสรุปว่า เมื่อตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า มีสมาชิกลงคะแนนเพิ่มเติมด้วยวาจาเห็นด้วย เมื่อใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนแล้ว เป็นอันว่าที่ประชุมไม่ครบองค์ประชุม และสั่งปิดประชุมเวลา 16.00 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สภาล่ม #พรบอากาศสะอาด

"พรรคเพื่อไทย" ยื่น "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" แล้ว! เสนอโมเดล สสร.151 คน คุณสมบัติเดียวกับผู้สมัครสส. "วันนอร์" รับเรื่อง เตรียมเสนอที่ประชุมสภา


"พรรคเพื่อไทย" ยื่น "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" แล้ว! เสนอโมเดล สสร.151 คน คุณสมบัติเดียวกับผู้สมัครสส. "วันนอร์" รับเรื่อง เตรียมเสนอที่ประชุมสภา


วันที่ 25 กันยายน 2568 เวลา 13.30 น. ที่อาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ศิรินิล, นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นางมนพร เจริญศรี,นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้บรรจุระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาโดยเร่งด่วน


โดยร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลที่มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และมีบทบัญญัติหลายประการขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ขาดความสมดุลในการใช้อำนาจและการตรวจสอบอำนาจระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยกับองค์กรอิสระต่าง ๆ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจมีที่มาไม่เหมาะสมและมีการใช้อำนาจล้นเกิน ทำให้ฝ่ายบริหารอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ ฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่สามารถใช้อำนาจนิติบัญญัติได้ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจในฐานะผู้แทนปวงชน ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ล้าหลัง


ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เกี่ยวพันกับรัฐธรรมนูญหลายหมวดหลายมาตรา ไม่อาจดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ แม้พรรคเพื่อไทยจะได้มีความพยายามแก้ไขในหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ


ดังนั้น เพื่อเป็นทางออกของประเทศและประชาชน และเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อกำหนดกลไกที่ทำให้ประเทศสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง

จำเป็นต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 มิได้มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น


สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นในวันนี้ ได้นำหลักการเดิมที่พรรคได้เคยประกาศไว้ในเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 เรื่องอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ให้แนวทางว่ารัฐสภามีอำนาจริเริ่มจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน และรัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. ได้โดยตรง รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้


โดยร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของพรรคเพื่อไทยซึ่งมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้


1. ได้กำหนดให้ภายหลังจากที่ประชาชนได้ออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมกับการออกเสียงประชามติครั้งที่ 2 เห็นชอบในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว ให้รัฐสภามีมติด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เพื่อจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อมาทำหน้าที่ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


2. สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ “สสร.” ที่รัฐสภาจะเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งนั้น ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 151 คน มาจาก


2.1 สมาชิกซึ่งรัฐสภาเลือกจากผู้ที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจากจังหวัดต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร จำนวน 300 คน ตามสัดส่วนจำนวนราษฎรของแต่ละจังหวัด และรัฐสภาเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน โดยกำหนดให้ต้องมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแต่ละจังหวัด จังหวัดละไม่น้อยกว่า 1 คน


2.2 สมาชิกซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งจากบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมที่เป็นตัวแทนหรือมาจากการเสนอชื่อของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี องค์กร สมาคม หรือกลุ่มบุคคลต่าง ๆ จำนวน 51 คน


3. กำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่ง จำนวน 27 คน โดยแต่งตั้งจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 14 คน และอีก 13 คน มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน จำนวน 5 คน, ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 5 คน และผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 คน


4. กำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่มีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก โดยเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อส่งร่างรัฐธรรมนูญไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งที่ 3 เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้หรือไม่

 

แต่หากรัฐสภามีความเห็นให้แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญนั้นกลับไปยังสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สภาร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติม หรือมีมติยืนยันร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเสียงสองในสามของจำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ และสุดท้าย หากรัฐสภาลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเสียงสองในสามของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป และให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้งภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รัฐสภามีมติไม่เห็นชอบ


พรรคเพื่อไทยขอยืนยันด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ และเนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีความจริงใจและจริงจังกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อเป็นทางออกของประเทศและประชาชนต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 

ผู้ว่าการรฟม. แถลงแจงเหตุถนนสามเสนยุบเป็นหลุม คาดจากดินอ่อนตัว-ท่อประปารั่ว ยันเร่งคืนผิวจราจรใน 2 สัปดาห์ พร้อมดูแลทุกเรื่องอย่างเต็มที่

 


ผู้ว่าการรฟม. แถลงแจงเหตุถนนสามเสนยุบเป็นหลุม คาดจากดินอ่อนตัว-ท่อประปารั่ว ยันเร่งคืนผิวจราจรใน 2 สัปดาห์ พร้อมดูแลทุกเรื่องอย่างเต็มที่


วันที่ 25 กันยายน 2568 นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พร้อมด้วย นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ รฟม.(วิศวกรรมและก่อสร้าง) และผู้แทนจากกิจการร่วมค้า ซีเคเอสที – พีแอล ร่วมแถลงข่าวเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)


นายกาจผจญ กล่าวว่า ในนามการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทยและผู้ก่อสร้าง บริษัทควบคุมงาน ต้องกราบขออภัยทั้งผู้ป่วย ผู้ใช้บริการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล และผู้ที่ใช้ถนนสัญจรถนนสามเสน รฟม.และคณะทำงานจะพยายามเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นคืนสภาพให้ใช้งานสัญจรได้ปกติโดยเร็ว รวมทั้งเยียวยาดูแลผลกระทบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางรฟม.และผู้ว่าจ้างจะดูแลในทุกเรื่องอย่างเต็มที่ ซึ่งเหตุการณ์ถนนทรุดที่เป็นเชิงประจักษ์เริ่มขึ้นช่วงเช้าประมาณเวลา 05.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน มีประชาชนพบเห็นว่าพื้นผิวถนนเริ่มมีการต่างระดับรถสามารถวิ่งได้อยู่เพียงแต่อยู่ถนนไม่ได้เรียบ ในช่วง 5.30 น. เริ่มมีน้ำเอ่อขึ้นมาบนผิวถนน จนกระทั่งตำรวจจราจรต้องมาจัดการจราจรพื้นที่จราจรเริ่มลดลงเหลือเพียง 1 ช่องทาง


นายกาจผจญ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทางโครงการได้ประสานการประปานครหลวงซึ่งทราบว่าน้ำมาจากการรั่วไหลของท่อประปาใต้ถนน แต่การแก้ไขไม่สามารถดำเนินการได้ทันที สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลา 7.00 น. เริ่มมีการพังทลายของตัวพื้นผิวจราจรลงไป และเริ่มต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 7.30 น. ต่อมาช่วงเวลาตั้งแต่ตี 5 จนถึง 7 โมงครึ่ง มีดินและน้ำหายไปจากบริเวณที่เกิดเหตุเป็นวงกว้าง จนเกิดหลุมกว้าง 30X30 เมตร ลึกลงไป 20 เมตร สำหรับดินที่หายไปไหลเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าที่ก่อสร้าง และเข้าไปในห้องโถงผู้โดยสารและชานชาลาสถานี ดินและน้ำเหล่านี้ยังมีสะสมในสถานีลึกเข้าไปในผนังกว่า 50 เมตรอีกส่วนเข้าไปในอุโมงค์ชั้นบนประมาณ 10 เมตรส่วนน้ำแผ่ไปตามพื้นค่อนข้างไกล


ทั้งนี้ยอมรับว่ามีดินและน้ำในสถานีจำนวนมาก แต่ในเบื้องต้นสิ่งที่เราจะทำคือต้องหยุดการเคลื่อนของดิน หยุดการพังทลายของดินเพิ่มเติม และต้องคืนสภาพพื้นผิวจราจรให้พี่น้องประชาชนและโรงพยาบาลใช้งานได้ปกติโดยเร็วที่สุด” นายกาจผจญ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอจะสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ต้นเหตุน่าจะเกิดจากสภาพของดินในบริเวณดังกล่าวร่วมกับน้ำที่อยู่ในดิน ทำให้สภาพดิน มีการเปลี่ยนพฤติกรรมไป เสถียรภาพของดินเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดินและน้ำที่เป็นลักษณะพิเศษนี้ส่งผลให้ท่อประปาที่อยู่ในระดับที่ลึกไป 3 เมตร มีการชำรุด รวมทั้งน้ำจากท่อน้ำเสียก็มีการปนเปื้อนดินตรงนั้น ทำให้ดินเสียเสถียรภาพมากขึ้นไปอีก


จากนั้นดินที่เสียสภาพเริ่มเข้าไปในช่องว่างในตัวสถานีและอุโมงค์ แรงดันมหาศาลของดินและน้ำทำให้รอยต่าง ๆ ขยายวงขึ้นเรื่อย ๆ และเกิดการพังเข้าไป มวลดินและน้ำจึงไหลเข้าไปในสถานี สิ่งเหล่านี้เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นจากการลำดับเหตุการณ์และการประเมินทางวิชาการเบื้องต้น


ในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินของรฟม. เราดำเนินการเป็น 10 ปี ด้วยเทคนิคที่เป็นมาตรฐานวิชาการ เราใช้ผู้รับจ้าง ผู้ก่อสร้าง ที่มีคุณภาพมาโดยตลอดเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแรกและเป็นเหตุการณ์พิเศษ หลังจากนี้ทางกระทรวงคมนาคมและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ จะร่วมกันในการตรวจเพื่อหาต้นต่อต้นเหตุที่แท้จริงเพื่อสร้างความมั่นใจ ว่าเราจะกำหนดมาตรการมีหลักการคำนวณเพิ่มเติมอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก


นายกาจผจญ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหานี้ รฟม.ได้หารือกับผู้รับจ้าง จะมีการดำเนินการแก้ไขเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 จะเป็นการเร่งคืนพื้นที่ รฟม.มีการสำรวจเบื้องต้นไปแล้ว สถานการณ์ตอนนี้พื้นดินมีเสถียรภาพพอสมควร การสไลด์จะเหลือเพียงเล็กน้อยเจ้าหน้าที่จะเริ่มอุดรูรั่วด้วยกระสอบทรายจำนวนประมาณ 50,000 ลูก ระหว่างอุโมงค์กับตัวสถานี จากนั้นผสมด้วยซีเมนต์ผสม เพื่อให้พื้นผิวกลับเข้ามาสู่ระดับปกติ และปรับพื้นผิวถนนแบบชั่วคราวก่อนเพื่อเปิดการจราจรให้เร็วที่สุด


ระยะที่ 2 เป็นการซ่อมแซมตัวสถานีอุโมงค์ให้กลับมาทำงานปกติ ขั้นตอนนี้ทางรฟม.และผู้ว่าจ้างต้องลงรายละเอียดและวิเคราะห์กันอีกครั้งหนึ่ง ในมิติของการซ่อมแซมตัวอาคารที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ก็จะอยู่ในระยะที่ 2 ที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง เพื่อให้กลับไปอยู่อาศัยได้ตามปกติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รฟม.และผู้รับจ้างต้องขออภัยเป็นอย่างสูง รฟม.และผู้รับจ้างจะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด


สำหรับกรณีสถานีตำรวจ นายกาจผจญ กล่าวว่า ดินที่อยู่รองรับฐานล่างและเสาเข็มหายไปเพราะทรุดตัวลงไปกับถนนที่ยุบ ขณะนี้ยังไม่มีความเหมาะสมที่จะเข้าไปซ่อมแซม สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ต้องพยายามทำให้ทั้งรอบพื้นที่มั่นคงมากที่สุด ทางกระทรวงคมนาคมได้มีการกำชับรฟม.ให้มีการสแกนทุกงานก่อสร้าง ทุกพื้นที่การก่อสร้าง และรีวิวสอบถามการก่อสร้างแบบลำดับขั้นตอนความปลอดภัยทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน ขณะนี้ยืนยันว่าที่เราพยายามตรวจสอบเมื่อวานทั้งวันทั้งแบบและวิธีการก่อสร้าง การใช้อุปกรณ์เครื่องจักรทั้งหลายเป็นไปตามมาตรฐานตามหลักวิชาการ


ขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่พบการแปรสภาพของดินและน้ำในส่วนก่อสร้างอื่นที่คล้ายสาเหตุของกรณีถนนสามเสน แต่รฟม.ยังคงเดินหน้าในการตรวจสอบต่อไป ในส่วนการตรวจสอบเหตุการณ์นี้ทางกระทรวงคมนาคมคาดว่าจะตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสภาวิศวกรต่าง ๆ เข้ามาช่วยกันตรวจสอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ด้านตัวแทนกิจการร่วมค้าซีเคเอสที – พีแอล ยืนยันจะเร่งรัดคืนพื้นที่ถนนสามเสนภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องได้มีการหาข้อสรุปเพื่อจะแก้ไขในปัญหาดังกล่าวเบื้องต้น บริษัทจะใช้กระสอบทรายอุดรูต่าง ๆ และเทคอนกรีตทับช่วงบ่ายวันนี้ทันที แต่ทั้งนี้จะเป็นการเทคอนกรีตทีละสเต็ป เพื่อให้แต่ละชั้นเซ็ตตัวแล้วค่อยเพิ่มทีละชั้น จากนั้นจะเป็นการจัดการพื้นผิวถนน ตั้งเป้าไว้จะไม่เกิน 14 วัน เพื่อให้สามารถคืนพื้นผิวจราจรได้ ในนามของบริษัทต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชน ที่สร้างผลกระทบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้ เป็นความสุดวิสัยที่เราพยายามป้องกันอย่างเต็มที่แล้ว บริษัทจะสืบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป


ตัวแทนกิจการร่วมค้าซีเคเอสที – พีแอล ยืนยันว่าเราเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ตอนนี้ในฝั่งอุโมงค์ที่มีปัญหาดินเข้าไปประมาณ 20 เมตร แต่หากเทคอนกรีตถือว่ามีความปลอดภัยแต่ถ้าถมขึ้นมาอีกจะไม่ปลอดภัย ฉะนั้นจะต้องมีการนำกระสอบทรายเข้าไปทำระบบค้ำยันเพื่อให้มีการยืนยันว่ามั่นคงในการเทคอนกรีตแต่ขณะนี้การวางกระสอบทรายคือ เพื่อกันน้ำกันดินให้เร็วที่สุด ยืนยันว่าคอนกรีตที่เทจะไม่มีการกระทบกับสถานีและจะมีการรื้อออกในการกลับมาก่อสร้าง ในส่วนของความเสียหายของรถเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการกู้ขึ้นมาในภายหลัง แต่เชื่อว่าการกู้ขึ้นมาจะไม่เหมือนเดิม อาจจะต้องตัดเป็นชิ้นส่วนออกมาแต่จะทำในช่วงระยะที่ 2


นายกิตติกร กล่าวเสริมว่า กรณีหากเกิดฝนตกหนักทางโครงการได้มีการเตรียมพร้อม ประสานกับสำนักระบายน้ำยืมเครื่องมือ เครื่องจักรและวางแผนเส้นทางในการระบายน้ำออกจากพื้นที่เกิดเหตุ เหตุดังกล่าวเป็นสถานการณ์ปกติแต่หากกรณีนี้ที่เป็นพื้นที่พิเศษที่มีหลุมลึกเราจำเป็นต้องเร่งอุดไม่ให้น้ำรั่วซึมเข้าไปในสถานี และวางแผนเพื่อเอาน้ำออก


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ถนนทรุดตัว #รฟม #รถไฟฟ้าสายสีม่วง

เปิดร่างแก้รธน. ฉบับเพื่อไทย สสร. 151 คน คุณสมบัติเดียวกับสมัคร สส.

 


เปิดร่างแก้รธน. ฉบับเพื่อไทย สสร. 151 คน คุณสมบัติเดียวกับสมัคร สส.


วันที่ 25 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคเพื่อไทย (พท.) มีการแก้ไขมาตรา 156 และแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งมีการแก้ไขคล้ายกับพรรคประชาชน (ปชน.) ในมาตรา 156 บัญญัติเพิ่มเกี่ยวกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในกำหนดการให้ความเห็นชอบในการจัดทำฉบับใหม่ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามมาตรา 256/1 ยังกำหนดให้การดำเนินการเลือก สสร. ให้เป็นไปตามมาตรา 256/7 และ 256/8 กำหนดการให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญมาตรา 256/17 และกำหนดให้การให้ความเห็นชอบญัตติมีการจัดทำระดับจำนวนฉบับใหม่ตามมาตรา 256/23


นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มหมวด 15/1 เกี่ยวกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยกำหนดในมาตรา 256/2 ให้มี สสร. ทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสมาชิกจำนวน 151 คน มาจากผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อจำนวน 100 คน ต้องมีสมาชิกแต่ละจังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร จังหวัดละไม่น้อยกว่า 1 คน โดยการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดให้ใช้เขตจังหวัดและเขตกรุงเทพมหานครเป็นเขตเลือกตั้ง


และสมาชิกรัฐสภาแต่งตั้งจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเหมาะสมเป็นตัวแทนหรือมาจากการเสนอชื่อของสภาฯ วุฒิส ครม. องค์กร สมาคม หรือกลุ่มบุคคลต่าง ๆ จำนวน 51 คน ให้เป็นไปตามมาตรา 256/9 ดังต่อไปนี้


สภาผู้แทนราษฎรเสนอชื่อผู้แทนพรรคการเมืองที่มี สส. โดยบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อต้องไม่เป็น สส. ตามสัดส่วนของจำนวน สส. แต่ละพรรค รวมทั้งสิ้นจำนวน 15 คน วุฒิสภาเสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้เป็น สว. 5 คน คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอรายชื่อบุคคลที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี 5 คน


ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาฎีกา 1 คน ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเสนอรายชื่อบุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด 1 คน สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 คน ที่ประชุมอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาฯ 2 คน ที่ประชุมคณบดีคณะนิติศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ 2 คน


สมาคมวิชาชีพด้านกฎหมายด้านรัฐศาสตร์และรัฐศาสนศาสตร์ 3 คน ศุภนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา 2 คน สภาอุตสาหกรรมฯ 8 คน สภาวิชาชีพสื่อมวลชน 2 คน องค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมาย 1 คน ทั้งนี้ ให้สภาฯ วุฒิสภา ครม. องค์กรสมาคมต่างๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ส่วนชื่อบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถต่อประธานรัฐสภาภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเหตุให้จัดทำฉบับใหม่


พร้อมกำหนดคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกเสนอชื่อเป็น สสร. เป็นคุณสมบัติเดียวกันกับการสมัคร สส. คือ ต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีในวันเลือกตั้ง มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี


หรือเป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดสมัครรับเลือกตั้ง หรือเคยศึกษาในสถานที่ศึกษาที่อยู่ในจังหวัดเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งแล้วแต่กรณีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“แพทองธาร” เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” เผยสุขภาพดีขึ้นแล้ว มีกำลังใจดี ผบ.เรือนจำจะให้พ่อไปคุมการลอกท่อ

 


“แพทองธาร” เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” เผยสุขภาพดีขึ้นแล้ว มีกำลังใจดี ผบ.เรือนจำจะให้พ่อไปคุมการลอกท่อ


วันที่ 25 กันยายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี เข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เรือนจำกลางคลองเปรม โดยก่อนเข้าเยี่ยมผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า หลาน ๆ ได้ฝากจดหมายถึงนายทักษิณหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า วันนี้ไม่ได้ฝากจดหมายมาให้ แต่ได้รับอนุญาตจากทางเรือนจำให้ใช้การวิดีโอคอลผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อทักทายและพูดคุยกับนายทักษิณ แทนการเยี่ยมตามปกติ


จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปเยี่ยมนายทักษิณ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสั้น ๆ ว่า นายทักษิณกำลังใจดี สุขภาพโอเคขึ้นแล้ว และทราบจากผู้บัญชาการเรือนจำว่าจะให้นายทักษิณไปคุมการลอกท่อ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ของนักโทษเรือนจำ


ขณะเดียวกันวันนี้ก็มีมวลชนคนใส่เสื้อแดงมาให้กำลังใจ น.ส.แพทองธาร และนายทักษิณ รวมถึงครอบครัวชินวัตรทุกคนที่ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร




วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568

สภาฯ เอกฉันท์ รับหลักการ ร่าง กม.คุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ของ สส.พรรคประชาชน ‘จรัส’ เสนอลาพักผ่อนประจำปีได้ 10 วัน ทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 40 ชม. ‘วรรณวิภา’ เสนอ 4 ข้อ “นายจ้างต้องไม่เลือกปฏิบัติ-ลาดูแลคนในครอบครัวลมหายใจสุดท้าย -มุมให้นมแม่ -แรงงานหญิงลาปวดประจำเดือน”

 


สภาฯ เอกฉันท์ รับหลักการ ร่าง กม.คุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ของ สส.พรรคประชาชน ‘จรัส’ เสนอลาพักผ่อนประจำปีได้ 10 วัน ทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 40 ชม. ‘วรรณวิภา’ เสนอ 4 ข้อ “นายจ้างต้องไม่เลือกปฏิบัติ-ลาดูแลคนในครอบครัวลมหายใจสุดท้าย -มุมให้นมแม่ -แรงงานหญิงลาปวดประจำเดือน”


วันที่ 24 ก.ย. 2568 เมื่อเวลา 11.00 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯคนที่สอง เป็นประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่..)พ.ศ…2 ฉบับ ที่เสนอโดย นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส. ชลบุรี พรรคประชาชน และคณะ ส่วนอีกร่างเสนอโดย น.ส.วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะ ซึ่งเป็นการพิจารณาไปในคราวเดียวกัน


นายจรัส เสนอหลักการและเหตุผลว่า เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 คือแก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง แก้ไขเพิ่มเติมวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิ์ลาหยุดพักผ่อนประจำปี ของลูกจ้าง การเสนอแก้ไขเพราะเห็นว่าร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน มีบางบทบัญญัติไม่เหมาะสมกับสภาพการปัจจุบัน ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ใช้แรงงานมากกว่า 30 ล้านคนในตลาดแรงงาน มีปัญหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การแก้ไขครั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ใช้แรงงานโดยรวม เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพิ่มอำนาจการต่อรองซึ่งสอดรับกับการพัฒนาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์


นายจรัส กล่าวว่า แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง โดยกำหนดให้ระยะให้การทำงานของลูกจ้างเมื่อรวมระยะเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว 1 สัปดาห์ต้องไปเกิน 40 ชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว 1 สัปดาห์ต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมง ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง กำหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ 1 สัปดาห์หยุดไม่น้อยกว่า 2 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมวันหยุดพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง แก้ไขเพิ่มเติมโดยกำหนดให้ลูกจ้างทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 120 วันมีสิทธิ์ลาหยุดพักผ่อนประจำปี 1 ปี ไม่น้อยกว่า 10 วันทำงาน และกำหนดให้ในปีต่อมานายจ้างอาจกำหนดให้วันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างมากกว่า 10 วันก็ได้ และนายจ้างอาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง โดยคำนวณให้ตามสัดส่วนก็ได้ สำหรับสำหรับลูกจ้างที่ยังทำงานไม่ครบ 120 วัน


นายจรัส กล่าวว่า ทั้งนี้จากการรับฟังความคิดเห็น ฝ่ายที่เห็นด้วย เห็นว่าการลดชั่วโมงการทำงานลงเพื่อให้มีความยึดหยุ่น สามารถช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ องค์กร และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานให้ดีขึ้นได้ รวมถึงช่วยให้พนักงานและครอบครัวสามารถมีความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน ส่งเสริมความเสมอภาคของโอกาสและการปฏิบัติที่ทัดเทียมในการจ้างงานและอาชีพเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ พ.ศ. 2501 ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเห็นว่า อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานต่อเนื่อง และนายจ้างประเภท เอสเอ็มอี ซึ่งมีโอกาสทำให้ต้องปิดกิจการหรือย้ายกิจการไปเปิดในประเทศอื่น จึงควรกำหนดข้อยกเว้นสำหรับบางอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถจัดวันหยุดได้อย่างยืดหยุ่น และควรมีมาตรการช่วยเหลือนายจ้างที่ต้องปรับตัวกับกฎหมายใหม่ เช่นการลดภาษี หรือการให้เงินสนับสนุนสำหรับธุรกิจที่ต้องปรับโครงสร้างแรงงาน


นายจรัส กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์ผลกระทบของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ พบว่ามีความสอดคล้องกันกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2533 ประชาชนจะได้รับประโยชน์ ก่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ใช้แรงงานโดยรวม เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพิ่มอำนาจการต่อรองและเพิ่มเวลาเรียนรู้สำหรับแรงงานเพื่อพัฒนาตนเอง ส่งเสริมให้การจ้างงานมีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น โดยขยายกรอบการจ้างงานและการปฏิบัติต่อลูกจ้างที่ไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการช่วยเหลือพนังงานและครอบครัวให้มีความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน


ด้านน.ส.วรรวิภา ชี้แจงหลักการเห็นผลว่า ร่างพ.ร.บ.ที่ตนเสนอนั้น น่าสนใจคือมีกลุ่มคนที่กำหลังเข้าสู่วัยแรงงาน และคนที่กำลังจะเรียนจบเข้ามาสู่ตลาดแรงงาน โดยร่างแก้ไขฉบับนี้มีทั้งหมด 4 ประเด็นหลัก คือ1.การไม่เลือกปฏิบัติในที่ทำงาน เดิมมาตรา15 เขียนไว้ว่าให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน โดยจะแก้ไขให้เป็นนายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างทั้งชายและหญิงและไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพศสภาพ ศาสนา ความเชื่อ หรือทัศนคติทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน 2. วันลา ให้ลูกจ้างมีสิทธิ์ลาเพื่อไปดูแลคนในครอบครัว เพราะมีหลายคนที่ไม่สามารถลาไปดูคนในครอบครัวในช่วงลมหายใจสุดท้ายได้ เพราะเพราะนายจ้างไม่ให้ลา หรือลางานไม่ได้ 3.มุมให้นมแม่ ให้นายจ้างจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยมิดชิด และมีอุปรกรณ์ในการจัดเก็บ การปั้มนม ให้ในที่ทำงาน โดยเวลาพักสามารถปั๊มนมในที่ทำงานได้ แม้เราจะผ่านกฎหมานลาดคลอด 120 วันไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าทารกควรได้รับนมแม่อย่างน้อย 180 วันหรือมากกว่านั้น และ4. วันลากรณีที่มีการปวดประจำเดือน โดยไม่ถือเป็นวันลาป่วย


“เรื่องนี้เรามีการทุกเถียงกันเป็นอย่างมากว่าการลาปวดประจำเดือนจะเป็นการให้สิทธิ์แก่แรงงานผู้หญิงมากไปหรือไม่ ต้องทำความเข้าใจว่าถ้าใครหลายคนที่มีการปวดประจำเดือน แต่ไม่มีปัญหาอะไรเลยในการปวดประจำเดือนนั้น ถือว่าเป็นโชคดีของท่านแต่หลายคนไม่ได้โชคดีแบบนั้น เรื่องนี้ดิฉันเข้าใจเป็นอย่างดีเพราะว่าตัวดิฉันเองประสบพบเจอด้วยตัวเองเพราะทุกครั้งที่มีอาการปวดประจำเดือนจะปวดท้องอย่างรุนแรงและมีเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ในวันนั้นไม่สามารถที่จะทำงานได้หรือฝืนตัวเองมาทำงานก็ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพและมี 2 ครั้งที่ดิฉันขาดโหวตสำคัญในสภาแห่งนี้ เป็นเพราะเหตุจากการปวดท้องอย่างหนักทำให้ไม่สามารถทำงานได้ เลยตัดสินใจผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออกหนึ่งข้าง เพราะเหตุเริ่มต้นมาจากการปวดประจำเดือน”น.ส.วรรวิภา กล่าว


น.ส.วรรวิภา กล่าวว่า ในหลายประเทศมีการให้ลาปวดประจำเดือนได้ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวั่น อินโดนิเซีย และเวียดนาม ที่เขาทำร่องไปก่อนแล้ว และจากผลสำรวจมีลูกจ้างที่ปวดประจำเดือนมาจริงๆไม่ถึง 1% หมายความว่าสิ่งที่ใครหลายคนคิดว่าการปล่อยให้ผู้หญิงลาปวดประจำเดือนได้อาจจะทำให้ทุกคนแห่กันลาปวดประจำเดือนซึ่งเรื่องนี้ตามสถิติแล้วไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นการลาปวดประจำเดือนอาจจะไม่ใช่การให้สิทธิ์พิเศษต่อเพศใดเพศหนึ่งแต่อาจจะเป็นทัศนคติเรื่องความเท่าเทียมทางเพศที่เราควรทำความเข้าใจกันใหม่หรือไม่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้สามารถพูดคุยและถกเถียงกันในชั้นกรรมาธิการได้


จากนั้นเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานทั้ง 2 ฉบับ และลงมติร่างของนายจรัส รับหลักการ เห็นด้วย 333 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญขึ้นมาพิจารณา 31 คน กำหนดแปรญัตติ 15 วัน


ขณะที่ร่างของน.ส.วรรวิภา ที่ประชุมลงมติรับหลักเห็นด้วย 329 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง และ ตั้งงคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญขึ้นมาพิจารณา 39 คน และเนื่องจากร่างพ.ร.บ.นี้มีสาระเกี่ยวกับสตรี กำหนดให้ตั้งกมธ.วิสามัญจากบุคคลดังกล่าว หรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่เกี่ยวกับสตรีโดยตรง จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกมธ.ทั้งหมดคือจำนวน 13 คน และกำหนดแปรญัตติ 15 วัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

“วิโรจน์-เอกราช” อภิปรายเปิดร่างแก้ พ.ร.บ.ศาลทหาร ดึงอำนาจออกจากการผูกขาดสายบังคับบัญชา กห.-บังคับคดีทุจริตต้องขึ้นศาลอาญา

 


“วิโรจน์-เอกราช” อภิปรายเปิดร่างแก้ พ.ร.บ.ศาลทหาร ดึงอำนาจออกจากการผูกขาดสายบังคับบัญชา กห.-บังคับคดีทุจริตต้องขึ้นศาลอาญา


วันที่ 24 กันยายน 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ที่นำเสนอโดยพรรคประชาชน ซึ่งในการนี้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ เอกราช อุดมอำนวย สส.กรุงเทพ พรรคประชาชน ในฐานะผู้เสนอร่างฯ เป็นผู้อภิปรายถึงหลักการและเหตุผลของร่างฯ ดังกล่าว


โดยในส่วนของวิโรจน์ระบุว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมที่เทียบเท่าและเท่าเทียมกัน มีความแตกต่างในบางขั้นตอนได้บ้าง แต่ก็จะต้องมีเหตุผลที่สามารถอธิบายให้กับประชาชนทั้งประเทศเข้าใจได้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันต่อหน้ากฏหมาย เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และได้ผลลัพธ์จากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ลักลั่น นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดในการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร


ในหลายกรณีไม่ว่าจะเป็นกรณี จีที 200 การทุจริตที่เกี่ยวพันกับทหาร หรือการอุ้มหายซ้อมทรมานที่เกิดขึ้นกับพลเรือน ต่างถูกสังคมตั้งข้อสังเกตมาอย่างยาวนานถึงมาตรฐานความยุติธรรมของศาลทหาร กระทั่งนายทหารระดับปฏิบัติการตัวเล็กตัวน้อยหลายครั้งน้ำท่วมปาก มักอ้างว่านายสั่งมา ไม่ทำตามก็ไม่ได้


หลักการสำคัญในการแก้ไขปรับปรุงจึงมีทั้งหมด 7 หัวข้อด้วยกัน คือ


1) ยกเลิกศาลจังหวัดทหารและให้นำคดีไปพิจารณาที่ศาลมณฑลทหารบกแทน ซึ่งจะเป็นการบริหารงบประมาณและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจำนวนคดีมีจำนวนลดลงตามลำดับ


2) แก้ไขให้ผู้เสียหายสามารถเป็นโจทก์ฟ้องเองได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องผ่านอัยการทหารเท่านั้นแบบเดิม


3) แก้ไขให้ไม่สามารถสืบพยานลับหลังจำเลยได้อีกต่อไป โดยเฉพาะการสืบพยานโจทก์ลับหลังจำเลย ซึ่งไม่แตกต่างจากการกล่าวหาฝ่ายเดียว ที่ทนายจำเลยไม่สามารถท้วงติงซักค้านได้


4) สามารถอุทธรณ์และฎีกาได้ทั้งในเวลาปกติและเวลาที่ไม่ปกติ เช่น ในสถานการณ์ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งกระบวนการยุติธรรมไม่ควรลิดรอนสิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา เว้นเสียแต่ในเหตุที่มีศึกสงครามหรือมีกรณีที่ประกาศกฎอัยการศึกทั้งประเทศ


5) ปรับปรุงให้ตุลาการพระธรรมนูญขึ้นตรงต่อคณะกรรมการตุลาการทหาร ที่มีผู้แทนจากศาลยุติธรรมและศาลปกครองเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย แทนที่จะอยู่ในสังกัดสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมภายใต้ระบบการบังคับบัญชาแบบเดิม เพื่อให้การพิจารณาคดีของศาลทหารจากนี้ไปมีอิสระจากอำนาจการบังคับบัญชา และมีมาตรฐานเดียวกันกับศาลยุติธรรม


6) คดีที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน คดีทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตภายในกองทัพ จะต้องส่งไปพิจารณาคดีที่ศาลชำนาญพิเศษ โดยเฉพาะศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ


7) สำหรับกรณีความผิดที่มีโทษร้ายแรง คือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีเป็นต้นไป ปรับตั้งแต่ 60,000 บาทเป็นต้นไป เสนอให้จำนวนตุลาการร่วมซึ่งเป็นทหารชั้นนายพล จากเดิม 2 นายประกบตุลาการพระธรรมนูญ 1 ราย เปลี่ยนให้เหลือตุลาการร่วมเพียงแค่ 1 ราย และมีตุลาการพระธรรมนูญซึ่งจบการศึกษาด้านกฎหมาย 2 ราย


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าการแก้ไขในวันนี้ ก็เพื่อให้การพิจารณาคดีในศาลทหารมีมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมที่เทียบเท่ากับศาลยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนทุกคนในแผ่นดินเมื่อพูดถึงคำว่ายุติธรรมก็คือยุติธรรมเดียวกัน


ในส่วนของเอกราช ระบุว่าการวางระเบียบราชการในศาลทหารซึ่งเป็นไปตามโครงสร้างเดิม ถูกผูกขาดอยู่ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองลงมาคือเจ้ากรมพระธรรมนูญ เช่นนี้ศาลทหารจะมีหลักประกันความเป็นอิสระได้อย่างไร จะมั่นใจได้อย่างไรว่าตุลาการพระธรรมนูญที่ทำหน้าที่จะตัดสินใจพิพากษาคดีด้วยหลักของกฎหมาย ไม่ใช่แรงกดดันจากผู้บังคับบัญชา ไม่มีองค์กรยุติธรรมไหนที่จะเอาอัยการ ตุลาการ และทนายจำเลยมาอยู่ในแผนกหรือฝ่ายเดียวกันเช่นนี้ 


นอกจากนี้ตุลาการทหารต้องมีความเชี่ยวชาญ องค์คณะแม้จะมีคุณสมบัติตามระเบียบของกรมพระธรรมนูญ ตามที่ถูกกำหนดอยู่ในราชการกลาโหม แต่สุดท้ายทั้งหมดก็คือคนในองค์กรเดียวกัน เช่นนี้จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างทั่วถึงได้อย่างไร จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้ศาลทหารมีทั้งคุณสมบัติ มาตรฐาน และความน่าเชื่อถือ ดึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาลเข้ามาเป็นองค์คณะ เพื่อเป็นหลักประกันเรื่องของความเป็นอิสระและความโปร่งใส รวมถึงยกระดับมาตรฐานในการให้บริการประชาชน


เอกราชยังกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ต้องมีการปรับเขตอำนาจคดีและลดภาระของศาลทหารลง ทุกวันนี้มีการเปิดช่องให้ตีความแบบคลุมเครือและลักลั่น คือการให้อำนาจของราษฎรในการฟ้องต้องผ่านอัยการทหารเท่านั้น ขณะเดียวกันอัยการในคดีอื่นก็ฟ้องมาที่ศาลทหารได้ บางบทบัญญัติเป็นความผิดที่เป็นความผิดอาญา ซึ่งเวลานี้ให้ไปอยู่ที่ศาลอาญาคดีทุจริตแล้ว อย่างตาม พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานและอุ้มหาย มีการเขียนเอาไว้ว่าถ้ามีการกระทำผิดในลักษณะตาม พ.ร.บ. นี้จะต้องขึ้นศาลอาญาคดีทุจริต 


ซึ่งความลักลั่นนี้ทำให้เกิดช่อง ที่จำเลยในคดีซ้อมทรมานพลทหารจนเสียชีวิตในค่ายคดีหนึ่ง ได้โต้แย้งเขตอำนาจศาลขึ้นมา ซึ่งองค์คณะที่ทำความเห็นวินิจฉัย หนึ่งในนั้นเป็นทหารจากกรมพระธรรมนูญ ระบุว่าจะต้องไปอยู่ภายใต้อำนาจของศาลทหาร เพราะฉะนั้นเพื่อให้มีความชัดเจนไปเลย จึงต้องมีการแก้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้มีความชัดเจน ว่าถ้าเป็นคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ไปที่ศาลอาญาคดีทุจริตเท่านั้น


เอกราชกล่าวต่อไปว่านี่ไม่ใช่เรื่องการแก้กฎหมายธรรมดา แต่คือการศักดิ์ศรีความเป็นธรรมให้แก่ทหารและประชาชน ทำให้ศาลทหารมีมาตรฐานเป็นอิสระโปร่งใส และทันสมัยเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ถ้าเรากลัวที่จะปฏิรูปวันนี้ สภาที่เป็นผู้แทนของประชาชนจะถูกตั้งคำถามขึ้นมาทันที


ตอนนั้นพรรคเพื่อไทยได้โหวตคว่ำในวาระ 3 ของร่าง พ.ร.ป. ป.ป.ช. ว่าด้วยการโอนคดีทุจริตมาอยู่ในศาลอาญาทุจริต โดยให้เหตุผลว่ากลัวทหารปฏิวัติ รุนแรงไป หรือจะต้องมาแก้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหารนี้ก่อน เมื่อการต้องมาแก้ พ.ร.บ. นี้ก่อนเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยคว่ำร่างในวันนั้น ถ้าเห็นด้วยจริงก็ขอให้รับหลักการในวาระนี้ด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

"อนุทิน" รุดตรวจสอบจุดเกิดเหตุดินสไลด์หน้า รพ.วชิระ ย้ำ สำคัญที่สุดต้องเร่งหาสาเหตุให้ได้

 


"อนุทิน" รุดตรวจสอบจุดเกิดเหตุดินสไลด์หน้า รพ.วชิระ ย้ำ สำคัญที่สุดต้องเร่งหาสาเหตุให้ได้


วันนี้ (24 กันยายน 2568) เวลา 11.05 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุดินสไลด์หน้า รพ.วชิระ โดยกล่าวว่า เช้านี้มีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นที่บริเวณถนนสามเสนหน้าโรงพยาบาลวชิระ ซึ่งเหตุที่เกิด คือ การทรุดตัวของถนนอันเนื่องมาจากการสไลด์ของดินในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงใต้ ซึ่งนับว่าโชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต ความเสียหายในตอนนี้เป็นความเสียหายด้านทรัพย์สิน สำหรับตัวอาคารโรงพยาบาลวชิระไม่ได้รับผลกระทบ เพราะตอนนี้การทรุดตัวหยุดและคงที่แล้ว ในอีกฝั่งถนนจะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่แล้ว ซึ่งมีโครงสร้างคอนกรีตรองรับดินสไลด์อยู่แล้ว "แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คืออาคารของสถานีตำรวจนครบาลสามเสน ซึ่งเป็นอาคาร 5-6 ชั้น เสาเข็มลงไป 21 เมตร และมีแรงของดิน ส่งผลให้เข็มขาดไป 2-3 ต้น ขณะนี้ได้ทำการอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากอาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงอพยพประชาชนที่พักอาศัยอาคารห้องแถวใกล้เคียง ดังนั้น ด้านการรักษาชีวิตของประชาชนควบคุมได้แล้ว ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต


ในส่วนของรัฐบาล ขณะนี้เราได้บูรณาการร่วมกันเป็นทีมทั้งกรุงเทพมหานคร วชิรพยาบาล ซึ่งขณะนี้เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ทางวชิรพยาบาลได้ขอปิดบริการผู้ป่วยนอกหรือ opd ใน 1-2 วันนี้ก่อนพร้อมเชื่อมประสานกันกับโรงพยาบาลเครือข่ายระหว่างโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานครกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเลิดสิน รวมทั้งโรงพยาบาลกลาง สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนผู้ป่วยได้โดยไม่ติดขัดอะไร


นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นความเสียหายด้านทรัพย์สิน โดย รฟม. จะรวบรวมความเสียหายต่าง ๆ และไล่ทอดไปว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบบ้าง ต้องไปดูสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เกิดจากธรรมชาติหรือการออกแบบต่าง ๆ ตอนนี้เราขอความร่วมมือไปทุกภาคส่วน ทั้งวิศวกรรมสถานฯ ทั้งสภาวิศวกร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักการโยธา กทม. รวมถึงสถาบันด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เคยได้แสวงหาความร่วมมือ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม


ตอนนี้เราก็จะต้องเร่งดำเนินการในเรื่องเคลียร์พื้นที่เพื่อคืนพื้นที่กลับสู่สภาพเดิมเร็วที่สุด และในเรื่องของการเยียวยาผู้ที่ทรัพย์สินเสียหาย  และพิสูจน์ว่าเหตุนี้เกิดจากอะไร หาสาเหตุได้แน่นอนเพราะเป็นเรื่องทางวิศวกรรมศาสตร์ล้วน ๆ ตอนนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานเบื้องต้น เราต้องไปขยายผลว่าเกิดจากอะไร ซึ่งเมื่อเช้าจุดเริ่ม คือ คนเห็นน้ำเอ่อขึ้นมาจากพื้นถนน ซึ่งมันเป็นความผิดปกติ ดังนั้น มันก็เกิดการทรุดตัว เราก็ต้องขยายผลไปเรื่อย ๆ ว่าเกิดจากอะไร  อุโมงค์มี 2 ชั้น ไล่ระดับกัน ก็ต้องมาดูว่าชั้นดินที่คั่นระหว่างอุโมงค์ 2 ชั้น  ตอนถมดินถมแน่นไหม ปริมาณน้ำไหลเข้ามาไหลมาได้อย่างไร ก็ต้องดูหลายเรื่อง และ รฟม. จะเร่งสำรวจแนวเส้นรถไฟฟ้าทั้งที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว และกำลังก่อสร้างทั้งหมด และดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดกับพี่น้องประชาชน สำหรับจุดที่เกิดเหตุตรงถนนสามเสนนี้ต้องซ่อมแซมให้เร็วที่สุด เพราะบริเวณนี้เราต้องใช้การต่อไป ต้องเร่งบูรณะและเชื่อมต่อเพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้ กทม. ได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานตั้งแต่การประปานครหลวงได้ตัดท่อประปาหลักก่อน การไฟฟ้านครหลวงตัดไฟและตัดสายไฟทีทเสาล้มลงไปเพื่อป้องกันไม่ให้สายดึงเสาไฟต้นอื่นล้มลงเพิ่มเติม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็เร่งอุดอุโมงค์เพื่อไม่ให้ดินสไลด์เพิ่มเติม รวมถึงกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ร่วมกับกทม. ประเมินความปลอดภัยอาคาร 


"สถานการณ์ที่น่ากังวลตอนนี้ คือ บริเวณสถานีตำรวจนครบาลสามเสน และตึกแถวที่ยังเป็นเขตอันตราย ต้องมีการควบคุมไม่ให้ประชาชนเข้ามาในรัศมี 100 เมตรจากจุดดินสไลด์ ประการต่อมาที่ต้องระวัง คือ ฝน เพราะหากมีฝนตกลงมา จะทำให้เกิดการชะล้างดินทำให้ดินสไลด์มากขึ้น โดยสำนักการระบายน้ำจะดำเนินการในเรื่องการระบายน้ำโดยเร็ว ในระหว่างที่ รฟม. เร่งอุดอุโมงค์


นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในโครงการสายสีม่วงใต้  ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ-วงแหวนกาญจนาภิเษกในสัญญาที่ 1 เป็นส่วนโครงสร้างใต้ดินตรงบริเวณสถานีวชิรพยาบาล บริเวณปลายสถานีรอยต่อระหว่างสถานีกับอุโมงค์ทางวิ่งรถไฟฟ้าใต้ดินมุ่งหน้าไปทางรัฐสภา ซึ่งเป็นอุโมงค์ซ้อนกัน 2 ชั้น  ชั้นบนลึก 15 เมตร ชั้นล่างลึก 20 เมตรเศษ โดยสาเหตุที่เกิดขณะนี้ รฟม. และภาควิชาการ อยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น แต่จากข้อเท็จจริง คือ มีการเคลื่อนตัว  ซึ่งคาดว่าเกิดจากน้ำใต้ดินและดินที่มีการเคลื่อนตัวในอุโมงค์ชั้นล่าง ทำให้รอยต่อระหว่างตัวอุโมงค์และผนังสถานีมีการเคลื่อนตัว ส่งผลให้ดินมีทรุดตัวลงไป และดินบางส่วนพร้อมกับน้ำที่บริเวณท่อประปาหลักหักด้วย ทำให้น้ำและดินไหลเข้าไปบริเวณสถานีบางส่วน โดยขณะนี้ทาง รฟม. กำลังเร่งหยุดการเคลื่อนตัวของดินทั้งหมด และจะรีบคืนสภาพโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ "ความเสียหายที่เกิดขึ้น รฟม. รับผิดชอบทั้งหมด"


ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล  กล่าวว่า ขณะนี้ รพ.วชิระ หยุดให้บริการเฉพาะในส่วนผู้ป่วยนอก 2 วัน คือ วันที่ 24-25 ก.ย. 68 แต่ในส่วนของผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยใน ยังคงให้บริการตามปกติ ส่วนในเรื่องการตัดไฟฟ้าของ กฟน. ไม่มีผลกระทบ  เพราะโรงพยาบาลมีระบบไฟฟ้าสำรองเพียงพอ สำหรับในส่วนของเรื่องน้ำก็ได้รับการสนับสนุนรถน้ำจากการประปานครหลวง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ถนนทรุดตัว #วชิรพยาบาล #รฟม #กรุงเทพมหานคร





สส.ปชน.ขอนแก่น ชี้ภาคอีสานต้องเฝ้าระวังน้ำท่วม 25-30 ก.ย. เหตุอิทธิพลพายุรากาซา ขอรัฐบาลกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือดูแลประชาชน

 


สส.ปชน.ขอนแก่น ชี้ภาคอีสานต้องเฝ้าระวังน้ำท่วม 25-30 ก.ย. เหตุอิทธิพลพายุรากาซา ขอรัฐบาลกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือดูแลประชาชน


วันที่ 24 กันยายน 2568 อิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น เขต 2 พรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สืบเนื่องจากพายุไต้ฝุ่น “รากาซา” ว่าพายุดังกล่าวปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน เคลื่อนตัวลงสู่อ่าวตังเกี๋ยและขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันนี้และวันพรุ่งนี้ (25 ก.ย.) แม้ว่าพายุดังกล่าวจะไม่เข้ามาไทยโดยตรงและอ่อนกำลังตามลำดับ แต่ก็ส่งผลทางอ้อมต่อประเทศไทย อิทธิพลของพายุจะทำให้ร่องมรสุมและมรสุมที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ คาดการณ์ว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีฝนตกหนักต่อเนื่องและมีฝนตกหนักมากในหลายพื้นที่


อิทธิพลกล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย. อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,833 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 75 ของความจุเก็บกัก และอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,545 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 78 ของความจุเก็บกัก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเนื่องจากปริมาณน้ำกักเก็บในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ขณะนี้สูงกว่าเกณฑ์การกักเก็บน้ำขั้นสูง ทำให้เขื่อนอุบลรัตน์มีแผนในการปรับเพิ่มการระบายน้ำมากกว่า 25 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่ไม่เกิน 35 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยปรับตามสถานการณ์ในเงื่อนไขที่จะต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูล เนื่องจากในระยะนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเร่งพร่องระบายน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำปริมาณฝนที่จะกลับมาตกหนักอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกันยายนหรือในต้นเดือนตุลาคมต่อไป


สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ในช่วงวันที่ 25-30 ก.ย.นี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมขังน้ำล้นตลิ่งอยู่หลายแห่ง ได้แก่ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำห้วยหลวง บริเวณ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี, ลำน้ำยัง บริเวณ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด, แม่น้ำชี บริเวณ อ.มหาชนะชัย อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร และ อ.เมืองชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ, แม่น้ำมูล บริเวณ อ.วารินชำราบ และ อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี และพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ได้แก่ จ.เลย จ.หนองคาย จ.บึงกาฬ จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสมบริเวณประเทศลาว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ ขณะนี้สถานการณ์น้ำในแม่น้ำมูลที่สะพานเสรีประชาธิปไตย อ.เมือง และ อ.วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ที่ระดับเสมอตลิ่งแล้ว และต้องเฝ้าระวังการมีน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในฝั่งอำเภอวารินชำราบ จ. อุบลราชธานี


อิทธิพลกล่าวว่า สส.พรรคประชาชน ได้ติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมถึงมีการประชุม สส. แต่ละภาคเพื่อหารือเรื่องการเตรียมการช่วยเหลือประชาชน โดยเราเห็นว่ามีสิ่งที่รัฐบาลอนุทินสามารถดำเนินการได้แม้ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เช่นการกำชับหน่วยงานราชการ อบต. เทศบาล ผู้เกี่ยวข้อง ต้องเตรียมจุดอพยพ เส้นทางที่ปลอดภัย เตรียมการจัดตั้งศูนย์พักพิง เตรียมสิ่งของที่จำเป็นไว้ให้พร้อม หากสถานการณ์น้ำมีความรุนแรงขึ้นและจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนรับมืออุทกภัยที่วางไว้


จึงขอให้พี่น้องประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในการติดตามและเตรียมการอุทกภัยครั้งนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม68