“วีรนันท์” อัดงบท้องถิ่น 69 ยังไม่ขยับจากสัดส่วน 29%
ทำท้องถิ่น 89% เหลืองบลงทุนน้อยกว่า 10
ล้าน แช่แข็งชนบทให้ไม่พัฒนา แนะอัดงบอุดหนุนท้องถิ่นเพิ่ม
กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไม่ต้องรอเมกะโปรเจกต์ รอดูท่าทีรัฐบาลพร้อมดัน
“ภาษีบ้านเกิดเมืองนอน” หรือไม่
วันที่
30 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ
เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น เขต 1 พรรคประชาชน
ได้อภิปรายถึงงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และการกระจายอำนาจ
วีรนันท์เริ่มต้นการอภิปรายโดยระบุว่าทุกคนย่อมเคยได้ยินคําว่า
"ถนน อบต." ที่เป็นคํานิยามแบบเหน็บแนม ใช้เรียกถนนที่ไม่ดี ขรุขระ
พังบ่อย กว่าจะซ่อมได้แต่ละครั้งต้องรอข้ามปี ซึ่งถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภคต่างๆ
ในท้องถิ่นจํานวนมากก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากแค่การที่ท้องถิ่นไม่มีประสิทธิธิภาพ
ทุจริต หรือละเลย
แต่ยังมาจากการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในส่วนกลางที่ไม่กระจายงบประมาณไปให้ท้องถิ่นทั้งประเทศอย่างทั่วถึงและเพียงพอ
ตนขอยกตัวอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับงบประมาณน้อยเป็นลําดับต้นๆ
ของจังหวัดขอนแก่น คือ อบต.นาฝาย อ.ภูผาม่าน ได้รับงบประมาณปี 2568 เพียงแค่
29,358,000 บาท เหลือเป็นงบลงทุนแค่ราว 3 ล้านบาทเท่านั้น กับประชากรในพื้นที่ 2,527 คน
หรือเท่ากับมีงบลงทุน 1,187 บาทต่อคนต่อปี หากเอา 3 ล้านบาทมาเทียบเคียงกับราคาการสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
สามารถสร้างถนนได้แค่ 800 เมตรเท่านั้น โดยใน ต.นาฝายมี 6
หมู่บ้าน เท่ากับว่าหนึ่งปีจะมีถนนใหม่ได้หมู่บ้านละ 133 เมตรเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว อบต.นาฝาย ยังต้องลงทุนในภารกิจอื่นๆ อีกด้วย
วีรนันท์กล่าวต่อไปว่า
จ.ขอนแก่นไม่ได้มีแค่ อบต.นาฝายเพียงแห่งเดียว แต่ยังมี อปท. อีก 213 แห่งจากทั้งหมด
225 แห่งที่มีงบลงทุนต่ํากว่า 10 ล้านบาท
และหากดูทั้งประเทศ ในปี 2567 อปท. ทั้งหมด 7,850 แห่งมีถึง 6,990 แห่งที่เหลืองบลงทุนไม่ถึง 10
ล้านบาท คิดเป็น 89% ของท้องถิ่นทั้งประเทศ
ด้วยการจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่นแบบนี้ที่ทําให้ถนนพัง
น้ําประปาขุ่น น้ําเน่าเสีย ขยะตกค้างในชุมชน
กลายเป็นเรื่องปกติที่คนในชนบทเคยชินไปแล้ว
เพราะท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดปัญหาที่สุดกลับไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้
และการจัดสรรงบประมาณในปีนี้ก็ไม่ต่างไปจากปีก่อนๆ
ที่สัดส่วนรายได้ท้องถิ่นต่อรายได้รัฐบาลยังคงอยู่ที่เฉลี่ย 29% ที่พรรคเพื่อไทยเคยบอกว่าจะจัดสรรงบให้ท้องถิ่น
35% ภายใน 2 ปี แต่ตอนนี้เอาให้ได้ 30%
ก่อนก็ยังไม่ถึง
วีรนันท์กล่าวต่อไปว่าท้องถิ่นมีรายได้จาก
3 ทางคือ 1) รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองจากประชาชนโดยตรง
เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือภาษีป้าย 2) รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้
เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต 3) รายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนผ่าน
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี ซึ่งที่ผ่านมาท้องถิ่นจัดเก็บรายเองได้น้อยอยู่แล้ว
เฉลี่ยอยู่ที่ 10.3% ของรายได้รวมของท้องถิ่น
แต่ที่ผ่านมา
รัฐบาลเคยลดภาษีที่ดินลงถึง 90% โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทําให้ท้องถิ่นมีรายได้จัดเก็บเองน้อยลงไปอีก
เงินชดเชยที่รัฐบาลจะคืนให้ท้องถิ่นทดแทนรายได้ที่หายไปจากภาษีที่ดิน
รัฐบาลก็ยังจ่ายคืนไม่ครบ
ค้างมาตั้งแต่การลดภาษีที่ดินในช่วงโควิดจนวันนี้ยังค้างอยู่ที่ 36,634 ล้านบาท ส่วนรายได้ที่รัฐจัดเก็บหรือจัดสรรให้
อย่างภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิต ในภาพรวมมีสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2% แต่ท้องถิ่นขนาดเล็กก็ยังได้ส่วนนี้น้อยอยู่ดี
วีรนันท์กล่าวต่อว่าส่วนเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง
ซึ่งเป็นความหวังของท้องถิ่น โดยเฉพาะท้องถิ่นขนาดเล็ก ก็พบว่าเป็นงบฝากจ่ายสูงถึง
45% คืองบประมาณที่ท้องถิ่นไม่มีอิสระในการตัดสินใจ
แค่รับมาและจ่ายไปตามนโยบายที่ส่วนกลางกําหนดมา ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยผู้สูงอายุ
เบี้ยผู้พิการ ค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียน และเบี้ยอื่นๆ
ข้อเสนอของตนและพรรคประชาชน คือจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่นมีงบลงทุน 10 ล้านบาทขึ้นไปทุกแห่ง ซึ่งหากจะเพิ่มเงินให้ท้องถิ่นทั้ง 6,990 แห่งที่งบลงทุนไม่ถึง 10 ล้านบาท ให้มีงบลงทุนขั้นต่ํา 10 ล้านบาท ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น 4.14 หมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้หากนําทั้งหมดไปบําบัดน้ําเสียจะสามารถบําบัดน้ําเสียได้ 11 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สามารถจัดเก็บขยะได้ 27 ล้านตันต่อปี หรือนําไปจัดทําบ้านพักคนชราจะดูแลผู้สูงอายุได้ประมาณ 1,720,000 คนต่อปี หากนําไปพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยจะสามารถดูแลเด็กได้ประมาณ 370,000 คนต่อปี ซ่อมถนนได้ 114,065 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งพรรคประชาชนมีข้อเสนอในการหางบมาเพิ่มให้ท้องถิ่น 4.14 หมื่นล้านบาท กล่าวคือ
1)
เพิ่มงบอุดหนุนทั่วไปแบบไม่มีเงื่อนไขให้ท้องถิ่นโดยตรงไปเลย
เปลี่ยนมากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐ
โดยใช้กลไกท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน ให้เงินกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ
อย่างทั่วถึง กระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยตรงทันที
2)
เพิ่มรายได้ท้องถิ่นผ่านเครื่องมือที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว
คือกฎหมายภาษีบ้านเกิดเมืองนอนของพรรคภูมิใจไทย
ซึ่งตนและสมาชิกหลายคนก็เห็นด้วยในหลักการ
ที่จะให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มจากช่องทางนี้
เนื้อหาสาระคือการให้ประชาชนและบริษัทห้างร้านสามารถอุดหนุนภาษีเงินได้ของตัวเอง 20%
ให้กับท้องถิ่นแห่งเดียวหรือหลายแห่งก็ได้
แต่กฎหมายนี้เป็นร่างเกี่ยวกับการเงิน
นายกรัฐมนตรีจะเซ็นรับรองให้ผ่านและเร่งรีบเซ็นรับรองเหมือนร่าง
พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือไม่
3)
ตัดลดงบประมาณจังหวัดกลุ่มจังหวัดที่ทับซ้อนกับท้องถิ่น
ไม่ใช่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทําภารกิจที่ทับซ้อนกับท้องถิ่น
แต่เมื่อมาดูงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดปีนี้กลับเพิ่มขึ้นทั้ง 76 จังหวัด มีงบปรับปรุงสร้างถนน ไฟฟ้าไปทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท
คิดเป็น 52% และเป็นงบเขื่อนป้องกันตลิ่ง
ขุดสระปรับปรุงแหล่งน้ําอีก 4.6 พันล้านบาท คิดเป็นอีก 21%
รวมกันแล้วเกินครึ่งของงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
ตนจึงเสนอให้ตัดลดงบประมาณที่ทับซ้อนเหล่านี้ มาเป็นงบลงทุนให้กับท้องถิ่นแทน
4)
ที่รัฐบาลสามารถทําได้เลย
คือจ่ายเงินชดเชยภาษีที่ดินที่รัฐบาลยังค้างอยู่ให้กับท้องถิ่น
เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
เงินก้อนนี้ไม่ควรถูกดึงไปจากท้องถิ่นตั้งแต่แรก
5)
ปัจจุบันท้องถิ่นทั่วประเทศมีเงินสะสมรวมกันอยู่ราว 3 แสนล้านบาท รัฐบาลควรผลักดันให้ท้องถิ่นนํา
เงินสะสมเหล่านี้มาใช้ลงทุนเพื่อจัดทําบริการสาธารณะ
โดยอาจจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเฉพาะกิจสมทบให้อีกคนละครึ่ง
หรือหาวิธีอื่นที่จะทําให้ท้องถิ่นนําเงินออกมาลงทุน โดยเฉพาะในท้องถิ่นขนาดเล็ก
ที่มีงบน้อย จะเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนได้มาก รวมไปถึงเกิดการลงทุน
เกิดการจ้างงานตามชุมชนต่างๆ มากมาย พายุหมุนทางเศรษฐกิจจะหมุนไปทั่วประเทศ