“พนิดา” เตือน กสทช. เปิดราคาประมูลคลื่นความถี่ 4 คลื่นต่ำเกินไป
เสี่ยงทำรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล ไร้หลักประกันค่าบริการถูกลง-คุณภาพเพิ่มขึ้น
วันที่
13 พฤษภาคม 2568 พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ เขต 1
พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ 4
ย่านหลักในวันที่ 29 มิถุนายนนี้
โดยมีการตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้ในระดับต่ำอย่างมีข้อกังขา โดยเฉพาะคลื่น 2100
เมกะเฮิร์ตซ์ และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์ เสี่ยงจะทำให้การเปิดประมูลคลื่นรอบใหม่นี้
ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาลโดยไม่รับประกันผลประโยชน์ที่ชัดเจนกับประชาชน
พนิดากล่าวว่า
มติบอร์ด กสทช. อนุมัติการนำคลื่นความถี่ 4 ย่านออกมาประมูล
และเคาะราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนี้ 850 เมกะเฮิร์ตซ์
ราคา 7,738.23 ล้านบาท, 1500 เมกะเฮิร์ตซ์
ราคา 1,057.49 ล้านบาท, 2100 เมกะเฮิร์ตซ์
ราคา 4,500 ล้านบาท และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์
ราคา 2,596.15 ล้านบาท
ข้อกังวลของตนคือคลื่น
2100 เมกะเฮิร์ตซ์ และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์
ที่เปิดราคามานั้นต่ำเกินไปหรือไม่ ราคาขั้นต่ำที่ทาง กสทช.
ประกาศออกมาผ่านการรับฟังความคิดเห็นทั้ง 2 ครั้ง
และใช้แนวทางการประมาณการราคาโดยโมเดลทางเศรษฐมิติ
ประกอบกับราคาประมูลครั้งก่อนหน้า แต่กลับไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนของที่มาที่ไปของโมเดลที่ใช้ในการประมาณการ
ยกตัวอย่าง
คลื่น 2100
เมกะเฮิร์ตซ์ มีการตั้งราคาประมูลเริ่มต้นที่ 4,500 ล้านบาท โดยอ้างราคาจากการประมูลคลื่น 3G เมื่อ 10
ปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นราคาของปี 2555 ทาง กสทช.
ไม่แม้แต่จะคำนวณให้เป็นราคา ณ ปี 2568 โดยนำปัจจัยของเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณ
ซึ่งหากเรานำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมาคิดให้เป็นราคาในปัจจุบัน ราคาที่ควรจะเป็นคือ 5,150
ล้านบาท สูงกว่าราคาเริ่มต้นถึง 650 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม
หากพิจารณาถึงความยินดีจะจ่าย (willingness to pay) ของบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูล
เราพบว่าในปัจจุบันบริษัท AIS จ่ายค่าบริการเช่าใช้โครงข่ายในราคา
12,669.10 ล้านบาทให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด
(มหาชน) หรือ NT อยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทมีความสามารถที่จะจ่ายได้สูงกว่าราคาตั้งต้นเกือบ
3 เท่า
ส่วนราคาตั้งต้นของคลื่น
2300 เมกะเฮิร์ตซ์ ก็เช่นเดียวกัน กสทช. ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นเพียง 2,596.15
ล้านบาท ในขณะที่ DTAC ซึ่งเช่าใช้อยู่ในปัจจุบันจ่ายให้รัฐในราคาที่สูงกว่ามากถึง
7,309.10 ล้านบาทหรือเกือบ 3 เท่า
การกำหนดราคาขั้นต่ำในการเริ่มต้นประมูลที่ต่ำเกินไป ย่อมทำให้เกิดข้อครหาได้ว่า
กสทช. ตั้งใจจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทโทรคมนาคมหรือไม่
พนิดา
กล่าวต่อว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยในปัจจุบันเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย
คือ AIS และ True/DTAC ความพยายามที่จะทำให้เกิดผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีน้อยมาก
เท่าที่ทราบมีแค่ให้ผลประโยชน์รายใหม่ในการผ่อนชำระค่าประมูลคลื่นความถี่ยาวนาน 10
ปี ซึ่งนานกว่าผู้เล่นรายเดิมที่ต้องชำระค่าประมูลภายใน 4 ปี ที่สำคัญผู้เล่นเดิมทั้ง 2 รายต่างก็ลงทุนสร้างโครงข่ายในคลื่นความถี่ที่บริษัทเคยเช่าใช้อยู่ก่อนหน้า
ทั้งคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์
การประมูลครั้งนี้จึงเสมือนกับการ “แบ่งคลื่นกันใช้” และไม่ได้เกิดการแข่งขันจริง
และราคาประมูลน่าจะจบที่ราคาตั้งต้น ส่วนอีก 2 คลื่น คือ 850
เมกะเฮิร์ตซ์ และ 1500 เมกะเฮิร์ตซ์
คาดว่าจะไม่มีผู้ประมูล
“การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้จึงแทบจะไม่มีการแข่งขันจริง
และไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดผู้ให้บริการรายใหม่มาเป็นผู้ร่วมประมูล
ทำให้ราคาประมูลอาจไม่ขยับขึ้นจากราคาตั้งต้น
ส่งผลให้รัฐไม่ได้รายได้เพิ่มจากคลื่นความถี่ตามที่ควรจะได้รับ
พนิดากล่าวอีกว่า
นอกจากนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าหากราคาประมูลสูง ต้นทุนแพง จะส่งผลให้ค่าบริการแพง
แต่ในทางกลับกัน การที่ราคาประมูลถูกลง ต้นทุนของบริษัทถูกลง
ไม่ได้รับประกันว่าจะนำไปสู่ค่าบริการที่ถูกลงแต่อย่างใด
หากกลไกการกำกับดูแลยังหละหลวมและเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนโทรคมนาคมอย่างในปัจจุบัน
การประมูลครั้งที่ผ่านๆ
มา จะมีการกำหนดเงื่อนไขค่าบริการหรือการขยายความครอบคลุมของโครงข่าย
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ เลย
จึงทำให้ผู้บริโภคไม่มีหลักประกันใดเลยว่า
ราคาประมูลที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในครั้งนี้ ประชาชนจะได้รับบริการในราคาที่ถูกลง คุณภาพบริการดีขึ้น
ประชาชนจะได้รับบริการอย่างทั่วถึงได้อย่างไร
พนิดากล่าวว่า
ข้อเสนอของพรรคประชาชนเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนและสร้างหลักการแข่งขันที่เป็นธรรมคือ
(1) บอร์ด กสทช. ควรทบทวนราคาตั้งต้นให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
การประมูลรอบนี้แทบไม่ได้เป็นการประมูลอยู่แล้ว
เนื่องจากบริษัทโทรคมนาคมจะแบ่งคลื่นกันตามที่เคยเช่าใช้และไม่แข่งกันบิดราคาอยู่แล้ว
ดังนั้นราคาตั้งต้นจะเป็นราคาที่ชนะประมูล ถ้าราคาตั้งต้นต่ำเกินไป เท่ากับรายได้ที่รัฐจัดเก็บได้จะลดลงด้วย
(2)
หาก กสทช. ไม่สามารถปรับราคาตั้งต้นให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้
ก็ควรมีเงื่อนไขผูกพันว่า เมื่อค่ายมือถือประหยัดต้นทุนจากค่าประมูลที่ต่ำลงแล้ว
ต้องนำต้นทุนที่ลดลงไปสะท้อนในค่าบริการแก่ประชาชน เช่น
ต้องลดค่าบริการลงตามสัดส่วนต้นทุนที่ลดลง และต้องทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมมีความครอบคลุม
ทั่วถึง และถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
(3)
กสทช. ต้องแสดงแผนการบริหารคลื่นความถี่ให้ชัดเจน
ว่าในยามที่คลื่นความถี่มีจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการที่น้อยลง
จะบริหารจัดการอย่างไร
จะกันคลื่นไว้เพื่อสามารถนำมาทำตลาดเพื่อเพิ่มการแข่งขันผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน
(Mobile Virtual Network Operator: MVNO) หรือจะมีแผนให้มีผู้ให้บริการรายที่
3 จากต่างประเทศหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นนอกจากการแก้กฎหมายเพื่อเปิดเสรีโทรคมนาคม
ยังจำเป็นต้องมีการกันคลื่นความถี่เอาไว้ให้เพียงพอสำหรับการเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นรายใหม่ด้วย
ให้สามารถเข้าถึงโครงข่ายและใช้งานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กสทช.
จะต้องทำให้หลักประกันนี้เกิดขึ้นและเป็นรูปธรรม
(4)
กสทช. ต้องเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ
น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งที่การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้มีความโปร่งใสต่ำมาก
ตัวเลขราคาตั้งต้นที่ใช้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าอ้างอิงจากข้อมูลอะไร คำนวณอย่างไร
แม้แต่กรรมาธิการในรัฐสภาขอข้อมูลไปยังไม่ได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ ซึ่งขัดต่อหลักการบริหารจัดการทรัพยากรสาธารณะของประเทศ
“ในท้ายที่สุด หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช.
ต้องย้อนกลับไปที่เจตนารมณ์ที่สำคัญของการจัดสรรคลื่นความถี่
คือการที่คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรร่วมกันของชาติ เป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
ควรต้องกำกับดูแลให้ใช้คลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ต่อประเทศและต่อประชาชน”
“การบริหารจัดการคลื่นความถี่
จึงต้องยึดประโยชน์ของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก
ต้องสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานด้านเสรีภาพในการสื่อสารและหลักประกันการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้จริง
ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวกให้เอกชนบางราย” พนิดากล่าว