‘ธงชัย’ ยื่นคำร้องศาลอาญา ขอยุติ ‘ใส่ตรวน-กุญแจเท้า’ ‘อานนท์ นำภา’ และผู้ต้องขัง ระหว่างพิจารณาคดี เพื่อยุติการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี
วันนี้(28 พ.ค. 2568) เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ธงชัย วินิจจะกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ พร้อมตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้ายื่นคำร้องเพื่อขอให้ยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กรณีการใส่กุญแจเท้า อานนท์ นำภา หลังมีผู้พบเห็นอานนท์เคยถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยปรากฏตัวในชุดเครื่องแบบนักโทษพร้อมกุญแจเท้าและโซ่ล่ามกับขาทั้งสองข้างระหว่างการเดินทางมาศาล ในพื้นที่ของศาล และในระหว่างการสืบพยานในห้องพิจารณาคดี
เนื่องด้วยการใส่ชุดนักโทษ การใส่กุญแจ และโซ่ล่ามระหว่างการพิจารณาคดีถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผิดหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และอาจเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งถือเป็นความผิดตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
จึงขอให้ศาลไต่สวนเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมอานนท์ ว่ามีเหตุผลจำเป็นอย่างไรที่ต้องใส่เครื่องพันธนาการ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ห้ามใช้เครื่องพันธนาการ และให้การใช้เป็น ‘ข้อยกเว้น’ เท่าที่จำเป็น ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560
อย่างไรก็ตาม ในการยื่นคำร้องในครั้งนี้กระทำเฉพาะคดีของอานนท์ เพราะการดำเนินการผ่านศาลต้องเป็นเฉพาะกรณี แต่หวังว่าการไต่สวนดังกล่าวจะเป็นทางออกในทางปฏิบัติที่เป็นคุณต่อผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณี
โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ธงชัย ได้ระบุเหตุผลถึงการยื่นคำร้อง ดังต่อไปนี้
“ผมได้แสดงความวิตกมาหลายครั้งเกี่ยวกับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหาและควรจะต้องปฏิรูปหรือยกเครื่องครั้งใหญ่ รวมทั้งที่เกี่ยวกับนักโทษการเมือง โดยเฉพาะการไม่ให้ประกันตัว เหล่านี้ยังเป็นปัญหาสำคัญมาก ๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่มักถูกมองข้ามคือ กรมราชทัณฑ์และเรือนจำ รวมทั้งปัญหาที่น่าจะแก้ไข่ได้ไม่ยากก็กลับไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด เช่นการใส่เครื่องพันธนาการผู้ต้องหา
นอกเหนือจากข้อกฎหมายต่าง ๆ ว่า การใส่ตรวน/กุญแจเท้าขัดต่อกฎหมายอะไรอย่างไรบ้าง รวมทั้งขัดต่อ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตามที่ทนายและนักกฎหมายได้อธิบายแล้วนั้น
ในฐานะคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์
ตามประวัติเกี่ยวกับเครื่องพันธนาการในระบบราชทัณฑ์ไทยที่บัญญัติใน พรบ.ราชทัณฑ์ หลายฉบับตลอดร้อยปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ 2461 มาจนถึงฉบับล่าสุด 2560) เราทราบว่าในยุคต่างๆ เครื่องพันธนาการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อลดทอนการทรมานผู้ต้องหา ลดความป่าเดื่อนโหดร้าย ไม่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ของนักโทษ จากโซ่หนักเส้นใหญ่ถึงเส้นเล็กลงเบาลง จากตรวนวงแหวนเหล็กถึงกุญแจข้อกุญแจเท้า
บางช่วง ยกเลิกโซ่ตรวนที่ขาและข้อเท้า พันธนาการของผู้ต้องหาออกจากเรือนจำมีเพียงกุญแจมือเท่านั้น บางช่วง ผู้ต้องขังที่ยังไม่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่ต้องใส่เครื่องพันธนาการด้วยซ้ำ
แต่การใส่เครื่องพันธนาการยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ด้วยเหตุผลเดียวเหมือนเดิมตลอดร้อยปี คือ ป้องกันการหลบหนี
กฎหมายแทบทุกฉบับให้ผู้ควบคุมมีอำนาจใช้ดุลพินิจใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังบางรายได้ แล้วแต่กรณี แต่บางช่วง (รวมถึงปัจจุบัน) เหมารวมไปหมดว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี ทั้งยุ่งยากต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงให้ใส่เครื่องพันธนาการทุกราย การเหมารวมเช่นนี้เท่ากับทำให้ข้อยกเว้นกลายเป็นแนวปฏิบัติทั่วไป เป็นการเหมารวมอย่างโหดร้ายไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่สนใจกับมนุษยธรรมและความเป็นมนุษย์ของนักโทษส่วนใหญ่ เอาปัญหาที่เกิดจากนักโทษจำนวนน้อย นานๆ สักครั้งหนึ่ง และความสะดวกไม่สะดวกของเจ้าหน้าที่มาเป็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดความการปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับนักโทษอื่น ๆ ทั้งหมดเช่นนี้จึงย่อมไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มาร่วมฟังการพิจารณาคดีของอานนท์
ผมมีโอกาสไปฟังการพิจารณาคดีของอานนท์ก่อนหน้านี้ 3-4 ครั้ง ทุกครั้งจะเห็นเขาถูกล่ามด้วยกุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาสองข้างไว้ให้เดินไม่ถนัด และไม่ให้ใส่รองเท้า แม้กระทั่งในวันที่เขาทำหน้าที่ทนาย อานนท์ก็อยู่ในชุดนักโทษมีกุญแจข้อเท้า มีโซล่ามและไม่สวมรองเท้าเช่นกัน ภาพที่เห็นน่าเวทนาและรู้สึกกระทบความรู้สึกว่าทำไมถึงต้องปฏิบัติต่อคนที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นนั้น
อานนท์เป็นทนายความ มีความรู้ความสามารถสูง เป็นที่เคารพของผู้คนจำนวนมาก เป็นบุคคลสาธารณะซึ่งเรารู้จักกันดีว่าสุภาพน่านับถือ เขามิได้มีพฤติกรรมพยายามหลบหนี มิได้ประพฤติผิดทำร้ายใคร ไม่มีอำนาจและมิได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือมิชอบอย่างอีกหลายคนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม คนแบบนี้สมควรจะได้รับการยกย่อง ไม่ใช่ปฏิบัติต่อเขาราวกับไม่ไช่มนุษย์เต็มคน
ผมมีความเห็นร้องต่อศาลไปว่า
หนึ่ง พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ทุกฉบับ รวมทั้งฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ใช้ปัจจุบัน มาตรา 21 บัญญัติห้ามใช้เครื่อง พันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่เพียงบางกรณี เช่น เมื่อผู้ต้องขังถูกคุมตัวไปนอกเรือนจำและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ จะเห็นได้ว่าเจตน์จำนงค์ของกฎหมายห้ามใช้เครื่อง พันธนาการ แต่ให้ใช้ได้เป็น "ข้อยกเว้น" เท่าที่จำเป็น เช่น กรณีนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนี นักโทษส่วนข้างมากมิได้มีพฤติกรรมหรือประวัติเช่นนั้น และมิได้มีข้อหาหรือประกอบอาชญากรรมอย่าง อุกฉกรรจ์แต่อย่างใด แต่ทว่า ทุกวันนี้การใส่พันธนาการได้กลายเป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นปกติ สำหรับแทบทุกกรณีเมื่อออกจากเรือนจำ มิใช่ข้อยกเว้นอีกต่อไป จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่การใส่เครื่องพันธนาการควรจะเป็นเพียงข้อยกเว้นตามเจตจำนงค์ของกฎหมาย ไม่ใช่แนวปฏิบัติตามปกติ จนต้องมาร้องเรียนให้ปลดพันธนาการเป็นกรณียกเว้น
สอง ความวิตกว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนีนั้น โดยสถิติและโดยสามัญสำนึก เป็นไปได้น้อยมาก เพียงไม่กี่คดี การเหมารวมว่านักโทษส่วนใหญ่พยายามหลบหนีจึงต้องพันธนาการย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเหมารวมที่โหดร้าย ยิ่งไปกว่านั้นการหลบหนีมักเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือมีผู้ช่วยเหลือ เจ้าที่ราชทัณฑ์เกือบทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต ย่อมเพียงพอที่จะไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวได้ง่ายๆ ในเมื่อการหลบหนีเป็นเพียงข้อยกเว้น การพันธนาการก็ควรเป็นข้อยกเว้นในกรณีเพื่อความปลอดภัยในห้องพิจารณาคดีแค่นั้น
กรณีอานนท์นั้น ไม่ปรากฏว่าพฤติกรรมหรือประวัติที่ฟังสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนีแต่อย่างใด
สาม ท่านผู้พิพากษาบนบัลลังก์ ท่านอัยการผู้ฟ้อง ทนาย และวิญญูชนในห้องพิจารณาคดีล้วนเป็นอารยชนที่เข้าใจดีด้วยสามัญสำนึกว่าการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนเป็นอย่างไร น่าเวทนาน่ารังเกียจขนาดไหน การพันธนาการนักโทษซึ่งส่วนใหญ่มิได้คิดหรือมีพฤติกรรมจะหลบหนี ย่อมเป็นที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของอารยชนอย่างเราท่านแน่นอน แล้วทำไมจึงจะต้องสืบทอดการปฏิบัติอันป่าเถื่อนเช่นนั้นต่อไป ยิ่งผู้ถูกพันธนาการเป็นบุคคลน่าเคารพยกย่องอย่างนายอานนท์ นาภา เรายิ่งน่าจะฉุกคิดว่าแนวปฏิบัติเหมาะสมหรือไม่ ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องทบทวนแนวปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
สี่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแสดงพระราชดำริชัดเจนว่าเหตุผลที่ยกเลิกการสอบสวนและลงโทษแบบจารีตนครบาลเมื่อ พ.ศ. 2439 นั้น เพราะแนวปฏิบัติดังกล่าวไม่คิวิไลซ์ ไม่มีอารยธรรมในสายตาของนานาชาติ ซึ่งพระองค์ทรงเห็นด้วย การใส่กุญแจเท้าพันธนาการแม้กระทั่งในศาล จึงเป็นสิ่งไม่สมควรด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าได้แสดงไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว
ห้า อานนท์เป็นบุคคลที่สังคมนานาชาติให้ความน่าเชื่อถืออย่างมาก เขาได้รับรางวัลระดับโลกหลายรางวัล เช่นรางวัลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยจากเกาหลีใต้เมื่อปี 2564 ล่าสุดเขาได้รับรางวัลนานาชาติ Front line Defenders Award 2568 ดังนั้นคดีของเขาย่อมอยู่ในสายตาของนานาชาติจำนวนมาก การที่เขาถูกใส่พันธนาการทุกครั้งที่เขามาออกศาล ย่อมเป็นที่รับรู้จับจ้องมองเห็นจากสายตาจำนวนมากทั่วทั้งโลก จึงไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยแต่อย่างใด
จึงขอให้ศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมนายอานนท์ นำภาว่ามีเหตุผลอย่างไรจึงจำเป็นต้องใส่เครื่องพันธนาการในกรณีนี้ ซึ่งเป็น "ข้อยกเว้น" ตาม พรบ.ราชทัณฑ์ 2560
การยื่นคำร้องในครั้งนี้ กระทำต่อคดีอานนท์ นำภา เพราะเป็นการดำเนินการผ่านทางศาลจึงต้องเป็นเฉพาะกรณี แต่เราหวังว่าการขอให้ศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ฯ เช่นนี้ จะเป็นทางออกในทางปฏิบัติที่เป็นคุณต่อผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณี เป็นการย้ำว่าเจ้าหน้าที่ต่างหากที่ต้องพร้อมอธิบายว่าทำไมกรณีนั้นๆ จึงเป็นกรณียกเว้นตามกฎหมาย เป็นการย้ำว่าศาลต้องไต่สวนทุกกรณี มีใช่มีคำสั่งเป็นสูตรว่าเจ้าหน้าที่มีได้ทำผิดกฎหมาย เราเห็นว่าศาลควรไต่สวนว่ากรณีหนึ่งๆ สมควรยกเว้นหรือไม่ ไม่ใช่ออกคำสั่งยอมให้เป็นการยกเว้น ไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณีอย่างที่เป็นอยู่
แนวปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเข้ารูปเข้ารอยตามเจตน์จำนงค์ของกฎหมาย และใช้กับทุกกรณี หากศาลรับฟังคำร้องนี้ ผลของการร้องครั้งนี้จึงมิใช่การแสวงหาอภิสิทธิ์ให้กับอานนท์เพียงคนเดียวแต่อย่างใด
แน่นอนว่า ปัญหาการใส่ตรวนราวกับสังคมไทยยังว่าเถื่อนอยู่นี้ สามารถแก้ไขได้โดยอธิบดีหรือรัฐมนตรีสั่งการ หรือโดยประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรืองนี้ที่หน่วยราชการพึ่งรับไปปฏิบัติ ย่อมเป็นคุณแก่นักโทษทั้งระบบในทุกเรือนจำ แทนที่จะต้องร้องขอเป็นกรณีๆ ดังที่เป็นอยู่
การยื่นคำร้องนี้จึงเป็นทั้งข้อเรียกร้องต่อรัฐเกี่ยวกับนโยบาย และเป็นการนำเสนอแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมด้วยไปพร้อมกันสำหรับผู้ต้องขังทุกกรณี
ขอสาธารณชนได้โปรดพิจารณา
ธงชัย วินิจจะกูล”
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ธงชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับการยื่นคำร้องครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องการไม่ให้ประกันตัวและความอยุติธรรมในกรณีอื่น ๆ เป็นเรื่องรอง แต่เห็นว่าการพูดถึงเรือนจำ การคุมขัง การใส่เครื่องพันธนาการ นั้นยังไม่เคยมีการพูดถึง ซึ่งปัญหาในกระบวนการยุติธรรมที่มักถูกมองข้ามคือราชทัณฑ์และเรือนจำ
และประเด็นต่อมาอาจมีการกล่าวว่าจะเป็นการให้อภิสิทธิ์ไม่ให้อานนท์ต้องทำกตามกฎหมายหรือไม่ ขอตอบว่าไม่ใช่ ซึ่งตามที่กล่าวไปข้างต้นนี้จะเห็นว่าเราเรียกร้องให้ราชทัณฑ์และศาลปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะแนวทางปฏิบัติที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย เราจึงขอให้กลับมาทำตามกฎหมายโดยที่ไม่ต้องแก้หรือออกกฎหมายใหม่
“ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ระบุไว้ว่าห้ามใส่เครื่องพันธนาการ ให้ยกเว้นเป็นกรณี เช่น ป้องกันผู้ต้องหาหลบหนี แต่ทุกวันนี้ถ้าไปดูที่ใต้ถุนศาล ผู้ต้องหาทุกคนใส่กุญแจข้อเท้าหมด ทำเป็นปกติ ไม่ใช่กรณียกเว้น แต่เมื่อเราต้องการให้ปลดกุญแจเท้าอานนท์ เรากลับต้องมายื่นคำร้องเป็นกรณี ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกันไปหมด” ธงชัยกล่าว
และประเด็นสุดท้าย การกระทำเช่นนี้จะเป็นอภิสิทธิ์แก่อานนท์หรือไม่นั้น เนื่องจากการยื่นคำร้องต่อศาลต้องทำเฉพาะเป็นกรณี และได้เรียกร้องให้มีการไต่สวนว่ามีความจำเป็นอย่างไรจึงจะต้องใส่เครื่องพันธนาการอานนท์ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องเตรียมคำอธิบายทุกกรณี
“ถ้าหากการเรียกร้องให้กับอานนท์ในกรณีนี้ทำสำเร็จ ก็จะเป็นการเสนอแนวทางปฏิบัติ กลับสู่ภาวะที่ควรจะเป็น ก็คือห้ามใส่เครื่องบรรณาการ ถ้าจะใส่ก็ต้องไต่สวนเป็นกรณียกเว้น วิธีนี้จะทำให้กรณียกเว้นเป็นกรณียกเว้น และข้อบัญญัติทั่วไปตามเจตจำนงของกฎหมายจะได้รับการเคารพและยึดถือตามที่ควรจะเป็น” ธงชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับอานนท์ นำภา ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 หลังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาโทษจำคุกในคดีมาตรา 112
ซึ่งในวันนี้ (28 พ.ค. 2568) ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีมาตรา 112 เป็นคดีที่ 8 กรณีปราศรัยหน้า สน.บางเขน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 โดยศาลเห็นว่าอานนท์มีความผิดและลงโทษจำคุก 2 ปี ทำให้จนถึงปัจจุบันอานนท์มีโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 22 ปี 25 เดือน 20 วัน (หรือประมาณ 24 ปีเศษ) และยังคงไม่ได้รับสิทธิประกันตัวออกมาต่อสู้คดี