ภาคประชาชน
54 องค์กร ยื่นหนังสือ กมธ.เด็ก สตรีฯ ร้องรัฐเร่งรับมือ “อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง”
ครูธัญชี้อคติในสังคมหลายรูปแบบ กฎหมายต้องปกป้องคนทุกกลุ่ม
วันที่
8 พฤษภาคม 2568 ที่ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา
ภาคประชาสังคมจาก 54 องค์กร รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อ
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ
และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร
เพื่อเรียกร้องให้รัฐเร่งดำเนินการผลักดันกฎหมายและนโยบายรับมือ “อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง” (Hate Crime) หลังเกิดเหตุสลดหญิงข้ามเพศถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งภาคประชาชนเห็นว่าเป็นคดีที่มีแรงจูงใจจากอคติทางเพศ
สะท้อนความเกลียดชังต่อความเป็นหญิงข้ามเพศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ซีซ่า
ฤทธิวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสิทธิมนุษยชนความยั่งยืนและระดมทรัพยากร
สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างยื่นหนังสือว่า
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่นิยามและรับมือกับ hate crime อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คดีลักษณะนี้ถูกจัดการในฐานะ “คดีอาญาทั่วไป”
โดยไม่สะท้อนแรงจูงใจเชิงอคติที่รุนแรงและอันตราย ไม่ว่าจะต่อเพศสภาพ เชื้อชาติ
กลุ่มความเชื่อ รสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์อื่นๆ จึงเห็นว่า hate crime ควรได้รับการตอบสนองด้วยกฎหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
ณชเล
บุญญาภิสมภาร รองประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน
ได้นำเสนอรายงานล่าสุดของธนาคารโลกภายใต้ชุดข้อมูล Equality of Opportunity for Sexual and
Gender Minorities (EQOSOGI) พบว่าจากการศึกษากว่า 16 ประเทศทั่วโลก มีเพียง 4 ประเทศที่มีกฎหมายซึ่งระบุชัดเจนให้คุ้มครองลักษณะทางเพศและรสนิยมทางเพศ
ขณะที่มีเพียง 2 ประเทศ คือคอสตาริกาและเม็กซิโก
ที่มีกฎหมายกำหนดให้มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดจากความเกลียดชังต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบนโยบายที่ตอบสนองต่อความเป็นจริง
ในรายงานระบุด้วยว่าประเทศส่วนใหญ่ขาดกลไกในการจัดการกับอาชญากรรมที่มีแรงจูงใจจากอคติ
โดยเฉพาะต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ พร้อมย้ำว่า
ประเทศไทยยังขาดข้อมูลพื้นฐานและกลไกในการติดตามคดีอย่างเป็นระบบ
ส่งผลให้ผู้เสียหายจำนวนมากเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม
กิตตินันท์
ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
แถลงข้อเสนอเพื่อผลักดันเชิงนโยบายและกฎหมาย
โดยเชื่อว่าการดำเนินการเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประเทศไทยที่ไม่มีใครต้องตกเป็นเป้าของความรุนแรงเพียงเพราะว่าตัวเขาเองเป็นใคร
เช่น นิยาม hate
crime และ hate speech อย่างชัดเจนในกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถแยกแยะแรงจูงใจจากอคติ
ออกจากคดีทั่วไป และดำเนินการได้อย่างแม่นยำ, เพิ่มโทษ
ปรับฐานการลงโทษในคดีอาญาที่มีแรงจูงใจจากความเกลียดชัง เช่น กลุ่มความเชื่อ
หรือร่างกายของกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง
โดยให้เพิ่มโทษอย่างน้อยหนึ่งในสามของโทษเดิม
จัดตั้งระบบฐานข้อมูลเฉพาะสำหรับเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ
hate
crime อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการออกแบบนโยบายสาธารณะ
และประเมินแนวโน้ม, สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรมให้เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชน
สามารถแยกแยะและชี้อคติของ hate crime ได้อย่างถูกต้อง,
เร่งรัดการผลักดันกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพบริการ
ซึ่งมีกลุ่มเปราะบางที่ถูกลิดรอนสิทธิและถูกกระทำความรุนแรง
ด้านธัญวัจน์
กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการผลักดันกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมจากความเกลียดชังครั้งนี้
มาจากกลุ่มคนข้ามเพศในประเทศไทยที่ยังคงถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากอคติ
นำไปสู่อาชญากรรมทางร่างกายและชีวิต นี่คือสิ่งที่เราไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
บทเรียนการฆาตกรรมคนข้ามเพศ
ภาคประสังคมร่วมหารือกัน เราต่างเห็นอคติในอีกหลายรูปแบบ
ที่เป็นอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น
ผู้ถูกกระทำที่เป็นผู้พิการ กลุ่มชาติพันธ์ุ ความแตกต่างของถิ่นกำเนิด
กลุ่มความเชื่อ เป็นต้น หรือการทะเลาะวิวาทของนักศึกษาอาชีวะต่างสถาบัน
ที่เกิดขึ้นจากอัตลักษณ์ทางกลุ่มซึ่งถูกสร้างให้เป็นศัตรูต่อกันตั้งแต่วัยเรียน
สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนของความเกลียดชังจากอคติที่ฝังรากในสังคมไทย
และยังไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปัญหาที่ต้องจัดการอย่างเป็นระบบ
“การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อเขียนเพิ่มในตัวบทกฎหมาย
แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศไทยจะไม่ยอมให้ความแตกต่างกลายเป็นข้ออ้างของความรุนแรงอีกต่อไป
และเป็นการปกป้องชีวิตของคนข้ามเพศและคนทุกกลุ่มในสังคมที่อาจตกเป็นเป้าแห่งความเกลียดชัง
ถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียนรู้ ยอมรับ และคุ้มครองชีวิตของกันและกัน” ธัญวัจน์กล่าว
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กมธเด็กสตรี