“ศศินันท์” ถามนายกฯ ตกใจเด็กเกิดต่ำ แต่ทำไมจัดงบไม่สะท้อนวิกฤต
แนะนำรัฐบาล 4 ข้อ ลงทุนสร้างสวัสดิการ
เอื้อประชาชนตัดสินใจมีลูกง่ายขึ้น เรียกร้องนายกฯ
เซ็นรับรองร่างคุ้มครองแรงงานก้าวไกล เพิ่มวันลาคลอด 180 วัน
วันที่
5 มกราคม 2567 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพ เขต 11
พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 กล่าวถึงปัญหาเด็กเกิดต่ำในรอบ 71
ปี ว่าหลังจากเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
ระบุเด็กเกิดต่ำเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องทำการบ้าน รวมถึงกรณี รมว.สาธารณสุข
ที่ประกาศแก้วิกฤตเด็กเกิดต่ำเป็นนโยบายเร่งด่วนพร้อมออกแคมเปญส่งเสริมการมีบุตร
แต่ในทางกลับกัน
ตัวเลขงบประมาณของโครงการกลับไม่ได้แตกต่างอะไรกับการทำจัดทำงบประมาณปี 2566
ศศินันท์กล่าวว่า
วิกฤตเด็กเกิดต่ำเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกเผชิญพร้อมกัน
และจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา
ซึ่งไม่ใช่แค่การ “ขอร้อง” ให้ประชาชนมีลูกดังที่รัฐบาลไทยทำ ยกตัวอย่าง
รัฐบาลเกาหลีใต้ ทุ่มงบประมาณอุดหนุนการดูแลเด็กเพิ่มขึ้น 8 เท่าใน
14 ปี และเพิ่มเงิน 2 เท่าให้คนมีลูก
จาก 7,000-8,000 บาทต่อเดือน เป็น 26,000 บาทต่อเดือน หรือไต้หวัน เพิ่มเงินอุดหนุนเด็ก จาก 15,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เป็น 80,000 ล้านเหรียญ คิดเป็น 5
เท่าของงบประมาณและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ตนจึงขออภิปรายงบประมาณพร้อมกับเสนอแนวคิดจัดการวิกฤต
ผ่าน baby
birth journey หรือเส้นทางการเกิดอย่างมีคุณภาพของเด็ก
โดยรัฐต้องใส่ใจและส่งเสริมเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา
หากรัฐเข้าไปดูแลประชาชนจะได้คลายความกังวลที่จะต้องมีลูก
หรือคนที่ตั้งใจจะมีลูกจะได้อุ่นใจขึ้น แต่ในงบประมาณปี 2567 มีโครงการในกลุ่มแม่และเด็ก
เพื่อความพร้อมด้านสุขภาพของแม่ในช่วงตั้งครรภ์ มีงบในการดำเนินงานอยู่ทั้งหมด 46
ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับโครงการกระทรวงอื่นๆ
ที่ไม่ได้มีวาระแห่งชาติเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้งบประมาณในการขับเคลื่อนประเด็น
“ส่งเสริมการมีบุตร” ใช้งบประมาณ 2,184,000 บาท ซึ่งตนก็ไม่มั่นใจว่าตัวเลขเท่านี้เป็นรายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายในด้านใด
เพราะถ้าเทียบกับสัดส่วนงบประชุมของกระทรวง งบเท่านี้
จ่ายค่าประชุมและเบี้ยกรรมการก็หมดแล้ว นอกจากนี้ งบประมาณปี 2566 และปี 2567 ในโครงการสุขภาพแม่และเด็ก
มีงบประมาณต่างกันไม่ถึงสองแสนบาท หากรัฐบาลต้องการเห็นการแก้ไขวิกฤตจริง
จะไม่สะท้อนผ่านงบเช่นนี้
โดยสรุป
ศศินันท์มองว่าการแก้ปัญหาเรื่องวิกฤติเด็กเกิดต่ำ
ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องและปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ประชากรไทยไม่อยากมีลูก
เกิดจากโครงสร้างของประเทศที่ไม่ได้เอื้อให้พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
หากมีการจัดสวัสดิการที่ดีและเอื้อต่อการมีบุตร
จะช่วยให้การตัดสินใจมีบุตรง่ายขึ้น
พร้อมเสนอคำแนะนำ
4 ข้อต่อรัฐบาลดังนี้ (1) รัฐบาลจะต้องลงทุนสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดแบบถ้วนหน้าตามมติของคณะทำงานขับเคลื่อนสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า
และยกระดับวงเงินอุดหนุนเด็ก (2) ให้สิทธิผู้ปกครองเด็กได้ลาคลอดอย่างน้อย
180 วันและได้รับเงินค่าจ้างเต็มจำนวนตลอดวันลา
โดยขอให้นายกรัฐมนตรีเซ็นรับรองร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
ที่พรรคก้าวไกลเสนอเข้าสภาฯ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนทำงานที่ต้องมีลูกด้วย (3)
รัฐบาลจะต้องลงทุนส่งเสริมสวัสดิการต่างๆ
ที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตร เช่น สนับสนุนมุมนมแม่
ห้องให้นมทั่วถึงในสถานประกอบการ โดยนำร่องในกระทรวงต่างๆ และ (4) สร้างและพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก Day Care ให้มีมากขึ้นและมีมาตรฐานด้วย
“หากรัฐบาลยังจัดงบโดยไม่เข้าใจว่าวิกฤตเด็กเกิดต่ำ
คืออนาคตของประเทศที่วิกฤต การตัดใจไม่มีลูกของคนในวัยนี้
จะกลายเป็นเสียงประท้วงรัฐบาลของพวกเขาได้ดังที่สุด
ว่ายังใช้ภาษีในการจัดสรรสวัสดิการในการดูแลประชาชนไม่ได้ดีเท่าที่ควร
เพราะไม่มีพ่อแม่คนไหน อยากให้ลูกอยู่ในประเทศที่ไร้ซึ่งความหวัง” ศศินันท์กล่าว